ทำไมต้องมี ม.112?
………………………………………………………………….
ในการจัดทำรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 บทบัญญัติในมาตรา 11 กำหนดว่า “พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปโดยกำเนิดหรือโดยแต่งตั้งก็ตาม ย่อมดำรงอยู่ในฐานะ”เหนือการเมือง”
ซึ่งนี่คือคำตอบสำหรับเกรียนที่บอกว่าตัวเองอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย แต่ไม่เคยรู้และไม่เคยเข้าใจ ไม่ศึกษา ไม่เปิดตา ไม่เปิดใจ แต่ชอบเปิดปาก วิพากษ์วิจารณ์กันไปผิด ๆ
เช่น พูดกันเซ็งแซ่ ว่าทำไมต่อต้าน ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ฯ ลงเล่นการเมือง
คำตอบคือ กฏหมายรัฐธรรมนูญระบุว่า “พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปโดยกำเนิดหรือโดยแต่งตั้งก็ตาม ย่อมดำรงอยู่ในฐานะ “เหนือการเมือง” ซึ่งหมายรวมถึง ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย
………………………………………………………………….
สำหรับคำว่า “เหนือการเมือง” ได้มีการอภิปรายถึงความหมายกันพอสมควร เนื่องจากเห็นว่าในภาษาไทยมีความคลุมเครือ
คำนี้อาจมีความหมายถึง “เจ้านายมีอำนาจครอบงำการเมือง” หรือ “เจ้านายมีอำนาจเหนือกฎหมายของบ้านเมือง”
ซึ่งอาจทำให้ความหมายต่างไปจากความตั้งใจของทางคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ที่ต้องการให้ “เหนือการเมือง (Being above politics) เป็น “นอกวงการเมือง”นั่นเอง
จึงได้มีผู้เสนอให้การแปลถ้อยคำ “เหนือการเมือง” ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ทั้ง “เหนือจากการเมือง”, “พ้นการเมือง”, “นอกวงการเมือง”, “พ้นแล้วซึ่งการเมือง”
สุดท้าย พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย เป็นผู้ยืนยันให้ใช้คำว่า “เหนือการเมือง”
และเพื่อความรัดกุม จึงได้มีการแก้ไขคำแปลในปทานุกรมให้สอดคล้องกับความหมายที่ได้อภิปรายกันมา
ซึ่งในที่ประชุมก็ได้ข้อยุติว่า
*** “เหนือการเมือง” หมายถึง “การดำรงอยู่นอกการเมือง”
อันหมายถึงการจัดวางสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ “พ้นไปจากความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการเมืองทั้งหลายทั้งปวง”
หน้าที่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีมากมายหลายอย่าง พระราชกรณียกิจสำคัญอย่างยิ่งที่จะสร้างความสามัคคีในชาติ ให้ความร่มเย็นแก่ประชาชน ในการสังคมสงเคราะห์แก่ผู้ยากไร้เป็นหน้าที่สำคัญ ไม่ใช่หน้าที่ในด้านการเมือง เปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทร
………………………………………………………………….
สรุปเป็นภาษาชาวบ้านได้ว่า ในเมื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ถูกกฎหมายกำหนดให้อยู่เหนือการเมือง ซึ่งหมายถึง เมื่อกฏหมายห้ามพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
เพราะฉะนั้นการเมือง รวมทั้งผู้หนึ่งผู้ใด ก็ไม่ควรไปล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์
………………………………………………………………….
ทำไมถึงต้องมีกฎหมายระบุให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง และต้องมี ม.112 คุ้มครอง?
ก็เพราะแต่ดั้งแต่เดิมมา พระมหากษัตริย์มีสิทธิ์ขาดแต่เพียงผู้เดียว ทุกเรื่องในแผ่นดิน คำพูดของพระมหากษัตริย์คือกฎหมาย
เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงจำกัดสิทธิของพระองค์ เพื่อไม่ให้สถาบันพระมหากษัตริย์ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองต่อไป
ในขณะเดียวกัน เมื่อพระองค์โดนจำกัดสิทธิ์ จึงต้องมีกฎหมายที่ห้ามผู้อื่นไปล่วงละเมิด หมิ่นประมาท หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ต่อสถาบันฯ ด้วย
คือพูดง่าย ๆ ว่า ในเมื่อกฎหมายห้ามพระองค์ท่านยุ่งกับใคร ใครก็ห้ามยุ่งกับพระองค์ท่าน
ไม่เช่นนั้น อาจมีผู้ไปหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กล่าวให้ร้าย ฟ้องร้องต่อพระองค์ โดยที่พระองค์ไม่มีโอกาสได้กล่าวโทษ ฟ้องร้องใครได้เลย
สังเกตมั้ย ว่าปัจจุบันมีผู้ที่เรียกตัวเองว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” หมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากมาย แต่เราไม่เคยเห็นสถาบันพระมหากษัตริย์ฟ้องร้องดำเนินคดีกับใครเลย
มันยุติธรรมแล้วหรือ?
แล้วสังเกตดูได้ว่า ถ้ามีประชาชนคนใด ล่วงละเมิดผู้อื่น ก็จะโดนผู้นั้นฟ้องร้องดำเนินคดี
ถ้าใครล่วงละเมิดเรา เรายังฟ้องร้องดำเนินคดีกับคนนั้นเลย
แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ได้รับสิทธิ์นั้น
พระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ไม่สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีใครได้เลย
เราจึงมีกฎหมายคุ้มครอง เพื่อไม่ให้ใครหมิ่นประมาท ล่วงละเมิด ที่เรียกว่า หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
________________________________________
ม.112 ไม่ได้มีไว้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
แต่มีไว้เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ จากการเมือง
________________________________________
ส่วนผู้ที่ใช้ ม.112 เป็นเครื่องมือทางการเมือง คือนักการเมือง นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และผู้สนับสนุนกลุ่มการเมือง
________________________________________
รัฐสภา โดยผู้แทนราษฏร (ที่เป็นตัวแทนประชาชนทั้งชาติ) จึงออกกฎหมายคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อไม่ให้ใครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่เรียกว่า ม.112
แปลว่าอะไร?
แปลว่าพวกเราประชาชนทุกคน คือคนที่ออกกฎหมาย ห้ามสถาบันพระมหากษัตริย์ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
และพวกเราประชาชนทุกคน ก็คือ คนที่ออกกฎหมาย ม.112 เพื่อป้องกันไม่ให้ใครไปยุ่งเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
ซึ่งถือว่าให้ความยุติธรรมเสมอกัน
หรือพูดภาษาชาวบ้านว่า แฟร์ ๆ ต่อกันทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว
ซึ่งถือได้ว่า เรื่องนี้ยุติธรรม และยุติไปแล้ว
แต่ที่เกิดปัญหามากมาย เพราะมีคน “อยากจะให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์” มีคนยุยง “ให้ประชาชนช่วยกันโจมตีพระมหากษัตริย์” เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองส่วนตัว
ทั้ง ๆ ที่มีข้อตกลงแล้ว ว่า “ให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง” ในขณะเดียวกัน ประชาชนก็ต้อง “ไม่ล่วงละเมิด หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ด้วย
………………………………………………………………….
การปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง
ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทยเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ คนไทยหรือคนต่างด้าวไม่ว่ากระทำในหรือนอกราชอาณาจักรก็ต้องรับโทษ
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับเรื่อยมามีข้อที่กล่าวว่า
“องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้”
มาตรา 112 เป็นมาตราหนึ่งในประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งบัญญัติไว้ว่า
“ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
พระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ไม่เคยฟ้องร้องเป็นการส่วนพระองค์
ผู้ถูกตั้งข้อหามักไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว และถูกคุมขังในเรือนจำหลายเดือนก่อนมีการไต่สวนในชั้นศาล องค์การนิรโทษกรรมสากลถือว่านักโทษตามความผิดนี้เป็นนักโทษการเมือง มีบุคคลส่วนหนึ่งเลือกเดินทางออกนอกประเทศเพื่อมิให้ถูกดำเนินคดี
………………………………………………………………….
ความจริงมันมีเพียงหนึ่งเดียวและพิสูจน์ได้เสมอ
ฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้”
มาตรา 112 เป็นมาตราหนึ่งในประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งบัญญัติไว้ว่า
“ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
พระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ไม่เคยฟ้องร้องเป็นการส่วนพระองค์
ผู้ถูกตั้งข้อหามักไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว และถูกคุมขังในเรือนจำหลายเดือนก่อนมีการไต่สวนในชั้นศาล องค์การนิรโทษกรรมสากลถือว่านักโทษตามความผิดนี้เป็นนักโทษการเมือง มีบุคคลส่วนหนึ่งเลือกเดินทางออกนอกประเทศเพื่อมิให้ถูกดำเนินคดี
………………………………………………………………….
ความจริงมันมีเพียงหนึ่งเดียวและพิสูจน์ได้เสมอ
“พระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง”
เป็นคำที่ได้ถูกตีความ และถูกลงมติให้ใช้เป็นภาษากฎหมายโดยรัฐบาลของคณะราษฏร์
ส่วนคำว่า “พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมาย” ก็เป็นกฎหมายอีกข้อหนึ่งที่ระบุไว้ในกฎหมายโดยรัฐบาลของคณะราษฏร์เช่นกัน
แต่เป็นคนละข้อความ เป็นคนละความหมาย และเป็นคนละเรื่องกัน ไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ได้มีความหมายเดียวกัน อย่างที่เข้าใจ
สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เหมือนคนไทยทุกคน แต่ไม่สามารถเกี่ยวข้องกับการเมืองได้ ไม่สามารถเล่นการเมืองได้
จึงต้องมีกฎหมายคุ้มครอง ไม่ให้ใครหน้าไหน ไปเล่นการเมืองกับสถาบันพระมหากษัตริย์
………………………………………………………………….
ความจริงมันมีเพียงหนึ่งเดียวและพิสูจน์ได้เสมอ
เช่น พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตกเสมอ
สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และอยู่เหนือการเมือง คือข้อความที่ระบุอยู่ในกฎหมายมาตั้งแต่แรกที่เราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
และกฎหมายคุ้มครองพระมหากษัตริย์ ก็มีมาแต่แรก เพื่อปกป้องสถาบันจากการเมือง ที่เรารู้กันอยู่ว่า มันเล่นสกปรกกันตลอดมา
แต่นักการเมือง นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และผู้สนับสนุนกลุ่มการเมืองทุกยุคทุกสมัย ดึงสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาสู่การเมือง และใช้การเมืองไปล่วงละเมิดสิทธิตามกฎหมายของสถาบันฯ ที่ไม่มีความประสงค์จะยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
fact เป็นความจริงที่ไม่มีวันจะเป็นอย่างอื่นไปได้ ยกเว้นตัวเราเข้าใจผิด หรือผิดปกติ
อยากเล่นการเมืองฟาดฟัน ชิงดีชิงเด่นกันอย่างไรก็ทำไปตามกติกาของบ้านเมือง
แต่ต้องยุติการล่วงละเมิดกฎหมาย ด้วยการหมิ่นประมาท หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ทำกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเสียที
“สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง”
ดังนั้น จุดประสงค์หนึ่งของ ม.112 จึงถูกกำหนดขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้กิจกรรมทางการเมืองไปยุ่งเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
ม.112 มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือทางการเมือง
ม.112 ไม่ใช่มีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างที่เข้าใจ
………………………………………………………………….
อัษฎางค์ ยมนาค