จบที่ศาล | คดีหุ้นสื่อของพิธา
แปด(เปื้อน)คุณสมบัติของคนในเครือข่ายพรรคก้าวไกล
•1 โจมตีให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์
•2 โจมตีให้ร้ายสถาบันตุลาการ
•3 โจมตีให้ร้ายฝ่ายบริหาร
•4 โจมตีให้ร้ายฝ่ายนิติบัญญัติ
•5 สนับสนุนม็อบผิดกฎมาย
•6 เรียกร้องความเท่าเทียมด้วยความเป็นอภิสิทธิ์ชนของตนเอง
•7 เรียกร้องประชาธิไตย แต่ไม่ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ ไม่ยอมรับกฎหมาย
•8 เล่นการเมืองนอกสภา นอกกติกา
ขอยกตัวอย่าง
ปิยบุตรเคยกล่าวว่า
“ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองและผู้มีอำนาจ เอาไว้ใช้กำจัดศัตรู”
คำว่า “ผู้มีอำนาจ ชนชั้นปกครองของเขา” ย่อมหมายถึง สถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาล วุฒิสภา ศาล องคมนตรีและทหาร
(หมายเหตุ เรื่องที่ปิยบุตรให้สัมภาษณ์นั้น กล่าวถึงประเทศอื่นด้วย เข้าใจว่ารวมประเทศที่มีศาลรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีสถาบันกษัตริย์ด้วย)
ก่อนวันอ่านคำพิพากษาคดีหุ้นไอทีวีของพิธา ปิยบุตรออกมาข่มขู่ศาลในลักษณะ “เขียนเสือให้วัวกลัว” ในทำนองว่า
“ถ้าศาลตัดสินไม่เป็นคุณต่อ ‘พิธา-ก้าวไกล’
จะกลายเป็น ‘มรณสักขี ก้าวไกลจะยิ่งได้รับความนิยมมากกว่าเดิม”
แต่บังเอิญศาลท่านไม่ใช่วัว และก้าวไกลไม่ใช่เสือ
มีคำเตือนจากท่านวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ฝากเอาไว้ว่า
“จบที่ศาล | คดีหุ้นสื่อของพิธา”
ซึ่งพฤติกรรมของปิยบุตรก็คล้ายกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในเครือข่ายพรรคก้าวไกล คือมีพฤติกรรม ”โจมตี ให้ร้ายและข่มขู่“
ธนาธน ปิยบุตร พิธา และคนอื่นๆ มักโจมตีว่า ชนชั้นปกครองและผู้มีอำนาจ อาศัยกฎหมายเป็นเครื่องมือทางการ
แต่ข้อเท็จจริงคือ…
“กฎหมายไม่ทำร้ายใคร ถ้าคนไม่ทำผิดแล้ววิ่งไปหากฎหมายเอง กฎหมายเขียนไว้ก่อนและบังคับใช้อย่างเท่าเทียม”
กฎหมายเรื่องหุ้นสื่อ เขียนขึ้นก่อนที่ธนาธรและพิธาจะลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือกฎหมายอีกหลายมาตรา เช่น ม.112 เขียนขึ้นก่อนสมาชิกหรือสาวกก้าวไกลเกิดเสียอีก
”กฎหมายไม่ทำร้ายใคร ถ้าคนไม่ทำผิดแล้ววิ่งไปหากฎหมายเอง กฎหมายเขียนไว้ก่อนและบังคับใช้อย่างเท่าเทียม“
ย้ำ “กฎหมายเขียนไว้ก่อนและบังคับใช้อย่างเท่าเทียม“
ถ้าจะพูดถึงปัญหาการเติบโตของพลพรรคก้าวไกลและสาวก ยังไงก็คงไม่พูดถึงลุงๆ ทั้งหลายไม่ได้ ผมสนับสนุนลุงๆ หลายๆ เรื่อง ลุงๆ ทำดีมีผลงานมากมาย แต่เรื่องการเติบโตของกลุ่มคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ลุงๆ สอบตกอย่างไม่น่าให้อภัย
”เสียดายเวลาที่ลุงอยู่ ลุงๆ ทำดีก็จริง แต่ลุงๆ ยังแก้ไม่ถูกทางทั้งหมด“
สุดท้ายส้มโตจนลุงต้องหันไปจับมือกับแดง เพื่อหวังจะสกัดส้ม เปิดทางให้ตั๋งโต๊ะ เอ้ย ทักษิณเข้าเมือง
ผมคุยกับเพื่อนรักที่เรียนหนังสือกันมาตั้งแต่มัธยมจนเรียนจบรัฐศาสตร์มาด้วยกัน ปัจจุบันเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แล้ว บ่นกับผมว่า เพื่อนอีกคนอยู่ต่างประเทศและไม่ได้ติดตามข่าวสารจากเมืองไทยเท่าไหร่ ถามว่าทำไมลุงๆ จับมือกับแดงตั้งรัฐบาล
เพื่อนผมตอบว่า
ถ้าไม่มีอะไรกินและอาจจะอดตาย อาหารที่พอจะมีเหลืออยู่มีแค่ “ผลไม้เน่าหรือผลไม้พิษ” ไม่มีทางเลือกอื่น เราจะกินเลือกกินอะไร
ถ้าเลือกกินผลไม่พิษคือเลือกสีส้ม ตายแน่ แต่ถ้ากินผลไม้เน่า อย่างมากก็ท้องเสียแต่ไม่ตาย
ตอนนี้ทำอย่างไงก็ได้ให้รักษาชีวิต คือ รักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ให้ได้ไว้ก่อน แล้วค่อยแก้ปัญหาอื่น
บางครั้งบางเรื่องต้องยอม เพราะต้องดูว่าหัวใจหลักคืออะไร กำลังไม่พร้อมต้องยอมถอยเพื่อรักษาเรื่องสำคัญเอาไว้
แต่ผมขอเสริมว่า ลุงๆ จำใจเลือกกินผลไม้เน่า เป็นการเลือกที่ถูกทางแล้วในสถานการณ์เช่นนั้น แต่….
ที่ผ่านมาก่อนหน้านั้น ลุงปล่อยให้เหลือสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างผลไม้เน่ากับผลไม้พิษทำไม
ตอนนี้เรามีผลไม้เน่าเพิ่มขึ้น คือผลไม้เน่าเดิมก็ยากจะแก้แล้ว เกิดผลไม้เน่าอันใหม่ขึ้นมาให้กินเข้าไปอีก สุดท้ายก็อาจตายได้เหมือนกัน
เพื่อนผมเสนอว่า…
วิธีการแก้อย่างเดียวเลยคือ สร้างจิตสำนึกของประชาชนไม่ให้ยอมตกอยู่ภายใต้ความไม่ถูกต้อง
เราอาจโทษคนรุ่นใหม่ที่มองไม่เห็นปัญหาอย่างที่คนรุ่นใหญ่เห็นได้ไม่เต็มปาก เพราะความแตกต่างของช่วงวัย
ปัญหาความไม่เข้าใจกันของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นใหญ่คือ ผู้ใหญ่คิดถึงอนาคตของครอบครัวและลูกหลาน ในขณะที่วัยรุ่นคนหนุ่มสาวคิดถึงผลลัพธ์ความสะดวกสบายที่จับต้องได้ในปัจจุบัน
ทุกวันนี้คนทำผิด ม.112 มากขึ้นตลอดเวลา เพราะกฎหมายให้ผลช้า ถ้ามีการลงโทษที่เฉียบขาดจริงๆ คนที่จะทำผิดคงกลัวไม่กล้าทำผิด แต่ในทางปฎิบัติคนบังคับใช้กฎหมายกลัวภัยจากสังคมเลยไม่กล้าทำอะไร
ซึ่งเพื่อนผมบอกว่า ”จริงๆ จะเอาชนะกันเรื่องมวลชนต้องเข้าใจธรรมชาติของคนก่อน ธรรมชาติของคนมีอยู่ 3 เรื่องหลักๆคือ 1.ความกลัว 2. ความอยาก 3.ความใคร่
พรรคพวกส้มและแดง มีความอยาก เมื่ออยากมีอำนาจ ก็ใช้วิธีไปสร้างความกลัวในกับประชาชน ส่วนนักกการเมือง-ข้าราชการที่มีความใคร่ เช่นใคร่อยากมีอำนาจ มียศฐาบรรดาศักดิ์ มีเงินทอง ก็เลือกเข้าข้างฝ่ายที่จะทำให้ตนเองสำเร็จความใคร่นั้น โดยไม่สนใจเรื่องถูกผิด
มนุษย์จะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร ก็เพราะ 3 เหตุผลหลักนี้
ย้ำว่า….เสียดายเวลาที่ลุงๆ อยู่ในอำนาจ ลุงๆ ทำดีก็จริง แต่ลุงๆ ยังแก้ไม่ถูกทางทั้งหมด“
“ลุงๆ ช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกินผลไม้พิษได้ก็จริง แต่ลุงๆทำได้ดีที่สุดก็เพียงการเลี้ยงประชาชนด้วยผลไม้เน่า ทั้งผลไม้แดงเน่าและผลไม้ส้มเน่า สุดท้ายเมื่อกินแต่ผลไม้เน่าก็อาจป่วยตายได้อยู่ดี เพราะผลไม้เน่ามากๆ ก็คือผลไม้พิษดีๆ นี้เอง“
สุดท้ายขอย้ำว่า “กฎหมายเขียนไว้ก่อนและบังคับใช้อย่างเท่าเทียม“
และไม่ได้เป็นอย่างที่ปิยบุตรและพรรคพวก เครือข่าย พูดซ้ำๆ อยู่เสมอว่า
“ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองและผู้มีอำนาจ เอาไว้ใช้กำจัดศัตรู”
เพราะพิธาก็รอดจากคดีหุ้นสื่อ
ซึ่งฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับฝ่ายส้ม อาจมีความเห็นในใจต่างไปจากคำวินิจฉัยของศาลบ้างว่า ไอทีวีไม่มีใบประกอบวิชาชีพสื่อแล้วก็ตาม แต่ยังอาจประกอบธุรกิจสื่อได้ เหมือน Voice TV หรือ The Standard ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจสื่อ แต่ทุกวันนี้ Voice TV หรือ The Standard อาศัยโซเชียลมีเดียทำธุรกิจสื่อได้อยู่
อย่างไรก็ตาม เราซึ่งเป็นฝ่ายอนุรักษนิยมอาจมีความเห็นในใจต่างไปจากคำวินิจฉัยของศาลบ้าง ก็ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลโดยดุษฎี
ดังนั้น “ขอให้ทุกฝ่าย รวมทั้งก้าวไกล เครือข่ายและสาวก ยอมรับเป็นบรรทัดฐานต่อไป”
สุดท้าย ฝากถึงเพื่อนๆ ฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่อาจผิดหวังกับคดีหุ้นสื่อของพิธา ให้พึ่งระลึกว่า คดีหุ้นสื่อของพิธาจบลงแล้ว แต่คดีของพรรคก้าวไกลยังไม่จบ
คดีที่ “พิธา” และพรรคก้าวไกล เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาเพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ วรรคหนึ่ง หรือไม่
และฝากถึงก้าวไกล เครือข่ายและสาวกด้วยว่า อย่าลืมเรื่อง การยอมรับบรรทัดฐานที่ว่า “เมื่อศาลวินิจฉัยออกมาเช่นไรก็ต้องถือว่าจบ”