ธนาธร ปิยบุตร พิธาและพลพรรคควรหันมาฟังคำเตือนของชัยธวัชกันได้แล้ว
ชัยธวัช กล่าวว่า“หยุดเอาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวพันกับการเมืองได้แล้ว”
ขอมาทบทวนให้ธนาธร ปิยบุตร พิธาและพลพรรค รวมถึงตัวของชัยธวัชเองด้วยว่า “ผู้ที่เอาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวพันกับการเมือง คือพรรคพวของตนนั่นเอง” โดยอาศัยคำว่า “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์”
ชัยธวัช ตุลาธร เคยให้สัมภาษณ์ว่า
“ผมไม่ได้คิดว่าเราจะซอฟต์ลง หลายเรื่องเราใช้เวทีสภาขยับเวทีเพดานสภาขึ้น เช่น เรื่องปฏิรูปสถาบัน”
ชัยธวัช ยังกล่าวต่อว่า
“เราตั้งพรรคการเมือง ไม่ได้หวังแค่ว่าทำอย่างไรให้ได้ ส.ส.เยอะที่สุด แต่หวังว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่นำเสนอความคิดที่ก้าวหน้า เปลี่ยนแปลงระบบการเมือง“
“คำว่า ปฏิรูปสถาบัน กับคำว่า เปลี่ยนแปลงระบบการเมือง” ของชัยธวัชหมายถึงอะไร“
แกนนำคนสำคัญจากพรรคอนาคตใหม่ถึงก้าวไกล ล้วนเป็นฝ่ายที่รณรงค์เรื่องยกเลิกมาตรา 112 และการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ส่งต่อไปสู่ม็อบเด็กสามนิ้วร่วมรณรงค์สิ่งที่พรรคอนาคตใหม่ถึงก้าวไกลเริ่มต้นไว้
ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคำแถลงการณ์เรื่องการปฏิรูปสถาบันทั้ง 10 ประการ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เอาไว้ว่า
“เป็นการสิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง
ขอยกตัวอย่างบางส่วนของเนื้อหาที่เอามาบิดเบือนให้ประชาชนเข้าใจผิด ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์มีปัญหาจนต้องรณรงค์ให้ปฏิรูป ได้แก่
1) บิดเบือนเรื่องภาษีและงบประมาณส่วนพระมหากษัตริย์
ทั้งที่พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ ทุกประเทศก็มีการจัดสรรงบประมาณสำหรับประมุขของประเทศ และเงินนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับพระมหากษัตริย์ใช้ส่วนพระองค์ แต่เป็นงบประมาณสำหรับหน่วยงานในสำนักพระราชวัง ที่มีคนทำงานเป็นจำนวนมาก เพื่อทำงานราชการ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขราษฎร ไม่ใช่พระมหากษัตริย์ใช้เงินภาษีเพื่อชีวิตส่วนตัว
ที่สำคัญ งบประมาณที่เป็นส่วนของพระมหากษัตริย์ ที่ฝ่ายที่รณรงค์ให้ปฏิรูปสถาบันฯ ชอบพูดบิดเบือนว่ามีปัญหา ความจริงเป็นงบแค่ราวร้อยละ 0.2 ของงบประมาณแผ่นดินทั้งหมด แต่พวกเขาจับงบอื่นๆ แล้วโยงว่าเป็นงบประมาณหลายหมื่นล้านบาทที่จัดสรรให้พระมหากษัตริย์ใช้ส่วนพระองค์
2) บิดเบือนว่า ม.112 มีปัญหา เช่น มีบทลงโทษที่สูงเกินไป และเป็นกฎหมายปิดปากประชาชนที่มีความเห็นต่างทางการเมือง จนนำไปสู่การรณรงค์ให้ยกเลิก ถึงขึ้นพรรคก้าวไกลใช้เป็นนโยบายหาเสียงเพื่อให้ประชาชนเลือกพรรคของตนเข้าไปยกเลิก ม.112
ขอยกตัวอย่างการตัดสินคดี 112 ล่าสุดของบัสบาส หรือมงคล ถิระโคตร ที่กลุ่มพรรคก้าวไกลและผู้สนับสนุนเอาไปบิดเบือนว่า นี่คือตัวอย่างว่า ม.112 มีโทษมากกว่าคดีฆ่าคนตาย และมีโทษหนักที่สุดในโลก
ทั้งที่ความจริง
ศาลตัดสินจำคุกเพียง 3 ปี แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงลดโทษลงหนึ่งในสาม เหลือจำคุก 2 ปี แต่นายมงคลท้าทายกฎหมายด้วยการกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก 11 กระทง ทำให้โทษจำคุก 2 ปี รวม 11 กระทง เป็นจำคุกรวม 22 ปี
รวมทั้ง เมื่อก่อนหน้านี้ เขายังกระทำผิดอีก 14 กระทง รวมเป็นโทษจำคุก 28 ปี
ซึ่งเมื่อรวม 26 กระทง จึงเป็นโทษจำคุกทั้งหมด 50 ปี
ศาลตัดสินลงโทษการละเมิด ม.112 แค่ 2 ปี ไม่ได้มีโทษสูงกว่าคดีฆ่าคนตายหรือมีโทษสู้ที่สุดในโลก เพียงแต่จำเลยทำผิกซ้ำๆ ถึง 26 กระทง โทษจึงกลายเป็น 50 ปี
ที่สำคัญ การละเมิด ม.112 ของนายมงคล (รวมทั้งผู้ละเมิด มี.112 ทุกคน) ไม่ใช่เรื่องของการแสดงความเห็นต่างทางการเมือง แต่เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์
นอกจากนี้ ปิยบุตรเคยกล่าวว่า
“ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองและผู้มีอำนาจ เอาไว้ใช้กำจัดศัตรู”
คำว่า “ผู้มีอำนาจ ชนชั้นปกครองของเขา” หมายถึง สถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาล วุฒิสภา ศาล องคมนตรีและทหาร
ซึ่งพฤติกรรมของปิยบุตรก็คล้ายกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในเครือข่ายพรรคก้าวไกล คือมีพฤติกรรม ”โจมตี ให้ร้ายและข่มขู่“
ธนาธร ปิยบุตร พิธา และคนอื่นๆ มักโจมตีว่า ชนชั้นปกครองและผู้มีอำนาจ อาศัยกฎหมายเป็นเครื่องมือทางการ
แต่ข้อเท็จจริงคือ…
“กฎหมายไม่ทำร้ายใคร ถ้าคนไม่ทำผิดแล้ววิ่งไปหากฎหมายเอง กฎหมายเขียนไว้ก่อนและบังคับใช้อย่างเท่าเทียม”
ที่สำคัญกรณีคดีของพิธา ล่าสุดศาลก็ตัดสินว่า พิธา ไม่ผิด
ถ้าศาล เป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองและผู้มีอำนาจ เอาไว้ใช้กำจัดศัตรู ทำไมพิธารอด นักการเมืองจากพรรคก้าวไกลอีกหลายคนก็รอดหลายคดี
“หยุดเอาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวพันกับการเมืองได้แล้ว”
การรณรงค์ให้ยกเลิก ม.112 ทั้งที่เป็นกฎหมายคุ้มครองประมุขของชาติ และเป็นเพียงกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลประเภทหนึ่ง แต่ถูกบิดเบือนว่า เป็นกฎหมายปิดปากประชาชนที่เห็นต่าง
การรณรงค์ให้ปฏิรูปสถาบันฯ โดยการให้ข้อมูลบิดเบือนว่า สถาบันฯ มีปัญหา เช่นเรื่องงบสถาบันฯ ที่เบียดบังภาษีของประชาชน
ล้วนเป็นความพยายามสร้างการบั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อนำไปสู่จุดหมายจาก “ปฏิรูปสถาบัน สู่ เปลี่ยนแปลงระบบการเมือง” ตามที่พรรคพวกรวมทั้งตัวชัยธวัชพูดเอาไว้ใช่หรือไม่ ?
หยุดบิดเบือน ที่แปลว่า ตอแหล กันเสียที
อัษฎางค์ ยมนาค