ความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง…
ความสำคัญของ “วันมาฆบูชา”
….. คําว่า “มาฆบูชา” เป็นชื่อของพิธีบูชาและการทําบุญในพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง ซึ่งปรารภการประชุมใหญ่ของพระสาวก ที่เรียกว่า “จาตุรงคสันนิบาต”
….. “มาฆบูชา” ย่อมาจาก “มาฆปุณณมีบูชา” หรือ “มาฆบูรณมีบูชา” แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญเดือน ๓
….. วันเพ็ญเดือน ๓ นี้ เป็นวันสําคัญในพระพุทธศาสนา คือ เป็นวันที่พระพุทธองค์ประทาน “โอวาทปาติโมกข์” ในที่ประชุมพระสาวก ซึ่งประกอบด้วยองค์สี่ ที่เรียกว่า “จาตุรงคสันนิบาต” เพื่อให้พระสาวกเหล่านั้นมีหลักการร่วมกันในการประกาศพระศาสนา คือสั่งสอนธรรมแก่ประชาชนตามท้องถิ่น บ้านเมือง และประเทศต่างๆ ทั่วไป
….. คําว่า “จาตุรงคสันนิบาต” แปลว่า การประชุมพระสาวกซึ่งประกอบด้วยองค์สี่ หรือ การประชุมพร้อมด้วยองค์สี่ กล่าวคือ…
๑. พระสาวกทั้งหลายที่มาประชุมวันนั้นล้วนเป็น “เอหิภิกขุ” คือ ได้รับอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า
๒. พระสาวกเหล่านั้นล้วนเป็น “พระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญา ๖” ทั้งสิ้น
๓. พระสาวกที่ประชุมวันนั้น ซึ่งมีจํานวนถึง ๑,๒๕๐ องค์ มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
๔. วันนั้นเป็น วันอุโบสถ ขึ้น ๑๕ ค่ำ วันเพ็ญ เดือนมาฆะ พระจันทร์เต็มดวงบริบูรณ์
….. การประชุมครั้งสําคัญที่สุดในสมัยพุทธกาล ที่เรียกว่า “จาตุรงคสันนิบาต” นี้ ได้มีขึ้น ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ใกล้กรุงราชคฤห์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธ เริ่มแต่ตะวันบ่าย ก่อนค่ำ ของวันเพ็ญเดือน ๓ ในปีแรกที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือ หลังจากวันตรัสรู้ไป ๙ เดือน
….. การประชุมเช่นนี้ มีครั้งเดียวในศาสนานี้ เป็นการประชุมครั้งสําคัญที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง “โอวาทปาติโมกข์”
….. คําว่า “โอวาทปาติโมกข์” แปลว่า โอวาทที่เป็นประธาน หรือ คําสอนที่เป็นหลักใหญ่ หมายถึง ธรรมที่เป็นหลักสําคัญของพระพุทธศาสนา สาธุชนนิยมเรียก โอวาทปาติโมกข์ นี้ว่าเป็น “หัวใจของพระพุทธศาสนา”
….. ความใน “โอวาทปาติโมกข์” แบ่งออกเป็น ๓ ตอน พระพุทธองค์ตรัสเรียงลําดับต่อกันเป็น ๓ คาถาครึ่ง
….. คาถาแรกว่า ความอดทน คือความอดกลั้นเป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธะทั้งหลายกล่าวพระนิพพานว่ายอดเยี่ยม ผู้ทําร้ายผู้อื่นเป็นบรรพชิตไม่ได้ทีเดียว ผู้เบียดเบียนผู้อื่นเป็นสมณะไม่ได้
….. คาถาที่สองว่า การไม่ทําบาปทั้งปวง ๑ , การยังกุศลให้ถึงพร้อม ๑ , การทําจิตของตนให้ผ่องใส ๑ นี่คือ คําสั่งสอนของพระพุทธะทั้งหลาย
….. คาถาที่สามว่า การไม่กล่าวร้าย ๑ , การไม่ทําร้าย ๑ , ความสํารวมในพระปาติโมกข์ ๑ , ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ , ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑ , การประกอบความเพียรในอธิจิต ๑ นี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธะทั้งหลาย
….. ความในคาถาแรก พระพุทธเจ้าตรัสเพื่อแสดงหลักการและแนวทางที่เป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธศาสนา ซึ่งทําให้สามารถแยกจากลัทธิศาสนาที่พระพุทธศาสนาไม่ยอมรับ
….. ตอนแรกที่ตรัสว่า ความอดทน คือทานไว้ ยืนหยัดอยู่ได้ เป็นตบะอย่างยิ่ง พระองค์ตรัสเพื่อแสดงให้เห็นว่า การบําเพ็ญตบะของนักบวชทั้งหลายที่นิยมทรมานตนเองด้วยวิธีการต่างๆนั้นไม่ใช่เป็นวิธีการเผาผลาญบาปชนิดที่พระพุทธศาสนายอมรับ สาระสําคัญของตบะที่พระพุทธเจ้าทรงยอมรับ หรือตบะที่ถูกต้อง ก็คือ ขันติธรรม ความอดทนที่จะดําเนินตามมรรคาที่ถูกต้องไปจนถึงที่สุด มีความเข้มแข็งทนทานอยู่ในใจ ดํารงอยู่ในหลักปฏิบัติที่ถูกต้องนั้นไม่ระย่อท้อถอย
….. สิ่งที่จะพึงอดทนที่สําคัญ คือ
๑. ความเหนื่อยยากลําบากตรากตรําในการปฏิบัติกิจหน้าที่ การงาน รวมทั้งความหนาว ร้อน หิวกระหาย และสิ่งรบกวนก่อความไม่สบายต่างๆ
๒. ทุกขเวทนา เช่น ความเจ็บปวดเมื่อยล้า ความเสียดยอก ระบมบาดเจ็บ ที่เกิดแก่ร่างกาย ในยามป่วยไข้ เป็นต้น
๓. อาการกิริยาท่าทีวาจาของผู้อื่น ที่กระทบกระทั่งหรือไม่น่าพอใจ เช่น ถ้อยคําที่เขาพูดไม่ดี เป็นต้น
….. ความอดทน อดกลั้น หรือ อดได้ ทนได้ หมายถึง การยอมรับได้ต่อสิ่งกระทบกระทั่งหรือไม่สบายฝืนใจเหล่านั้น ไม่ขึ้งเคียดขัดเคือง ไม่แสดงอาการผิดปกติ สามารถดํารงไมตรี คงอยู่ในเมตตา หรือรักษาอาการอันสงบมั่นคง ในการทํากิจหรือบําเพ็ญกุศลธรรม ทําความดีงามสืบต่อไป
….. ในหลายถิ่นและหลายยุคสมัย มนุษย์ทั้งหลายอดไม่ได้ ทนไม่ได้ แม้ต่อการที่มนุษย์กลุ่มอื่นพวกอื่นมีความเชื่อถือ สั่งสอน และปฏิบัติกิจพิธีตามประเพณีนิยมและลัทธิศาสนา รวมทั้งอุดมการณ์ที่แตกต่างจากตน มนุษย์เหล่านั้นไม่สามารถสัมพันธ์กันด้วยวิธีการแห่งปัญญา เช่น พูดจากันด้วยเหตุผล จึงทําให้เกิดการขัดแย้ง ทะเลาะวิวาท ตลอดจนสงครามมากมาย การขาดขันติธรรมได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของมนุษยชาติ
….. หากมนุษย์ปฏิบัติตามหลักโอวาทปาติโมกข์ข้อแรกนี้ ก็จะช่วยให้โลกดํารงอยู่ในสันติ และมนุษย์แต่ละพวกนั้นก็จะมีโอกาสพัฒนาชีวิตและสังคมของตนไปสู่ความดีงามที่สูงขึ้นไป
….. ตอนที่สอง ที่ตรัสว่า พระพุทธะทั้งหลายกล่าวพระนิพพานว่ายอดเยี่ยมนั้น ตรัสเพื่อชี้ชัดลงไปว่า จุดหมายของพระพุทธศาสนาคือ “นิพพาน” อันได้แก่ ความดับกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวงได้ หรือ ความเป็นอิสระหลุดพ้นจากอํานาจครอบงําของกิเลส คือ โลภะ โทสะ และโมหะ ไม่ใช่สวรรค์ ไม่ใช่การเข้ารวมกับพระพรหมผู้เป็นเจ้า เป็นต้น
….. ตอนที่สาม ที่ตรัสว่า ผู้ทําร้ายผู้อื่นเป็นบรรพชิตไม่ได้ทีเดียว ผู้เบียดเบียนผู้อื่นเป็นสมณะไม่ได้ นี้ตรัสเพื่อแสดงลักษณะของนักบวชในพระพุทธศาสนา คือ ชี้ให้เห็นว่า ความเป็นสมณะหรือนักบวช มิใช่อยู่ที่การประกอบพิธีกรรมเป็นเจ้าพิธี หรืออยู่ที่ความศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ สามารถบันดาลผลให้แก่คนที่อ้อนวอนปรารถนา มิใช่อยู่ที่การบําเพ็ญตบะ ประพฤติเข้มงวด หรือการปลีกตัวออกไปอยู่ในป่าในเขา ตัดขาดจากผู้คน มิใช่อยู่ที่การทําหน้าที่เป็นสื่อกลางคอยบอกแจ้งข่าวสารและความต้องการระหว่างสวรรค์กับหมู่มนุษย์ แต่อยู่ที่ความเป็นผู้ไม่เบียดเบียน ไม่ก่อความทุกข์ยากเดือดร้อนแก่ใครๆ มีแต่เมตตา กรุณา บําเพ็ญตนเพื่อประโยชน์สุขของคนทั้งปวง พูดสั้นๆ ว่า นักบวชหรือพระภิกษุสงฆ์ในความหมายของพระพุทธศาสนา คือเครื่องหมายของความไม่มีภัย เป็นสัญลักษณ์แห่งความร่มเย็น ปลอดภัย และการชี้นํามรรคาแห่งสันติสุข
….. ความใน คาถาที่สอง พระพุทธองค์ตรัสสรุปข้อปฏิบัติในพระพุทธศาสนาทั้งหมดลงเป็นหลักการสําคัญ ๓ ประการ คือ
๑. ไม่ทําบาปทุกอย่าง ได้แก่ ละเว้นความชั่วทุกชนิด ทุกระดับ ตั้งต้นแต่ประพฤติตามหลักศีล ๕ เช่น ไม่ทําลายชีวิต ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม เป็นต้น
๒. ยังกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ บําเพ็ญความดีให้บริบูรณ์ เช่น มีศรัทธา มีเมตตากรุณา ฝึกจิตให้เข้มแข็ง มีสมาธิ มีความเพียร มีสติรอบคอบ ซื่อสัตย์สุจริต มีความเสียสละ เป็นต้น
๓. ทําจิตของตนให้ผ่องใส ได้แก่ ชําระจิตให้บริสุทธิ์ สะอาด ให้หลุดพ้นจากกิเลส เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ซึมเซา เป็นต้น ด้วยการฝึกอบรมเจริญปัญญา ให้เกิดความรู้ความเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง จนกิเลสและความทุกข์ครอบงําจิตใจไม่ได้
….. จําง่ายๆ สั้นๆ ว่า เว้นชั่ว ทําดี ทําใจให้บริสุทธิ์
….. หลักปฏิบัติที่ตรัสในคาถาที่สองนี้ เป็นทั้งแนวทางและขอบเขตในการที่พระสาวกทั้งหลายจะไปอบรมสั่งสอนประชาชน ให้ตรงตามหลักการของพระพุทธศาสนา และสอนได้เป็นแนวเดียวกัน มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการเผยแผ่
….. ความใน คาถาที่สาม พระพุทธองค์ตรัสเพื่อเป็นหลักความประพฤติและการปฏิบัติตน หรือหลักปฏิบัติในการทํางาน สําหรับผู้ที่จะไปประกาศพระศาสนา หมายความว่า ทรงวางระเบียบในการไปสั่งสอนธรรมแก่ประชาชน ว่าผู้สอนต้องเป็นผู้ไม่กล่าวร้าย ต้องเป็นผู้ไม่ทําร้าย คือ ไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น ไม่ว่าด้วยกาย หรือวาจา มีวจีกรรมและกายกรรมบริสุทธิ์สะอาด พูดและทําด้วยเมตตากรุณา มีความสํารวมในพระปาติโมกข์ คือประพฤติเคร่งครัดในระเบียบแบบแผน รู้จักประมาณในภัตตาหาร ที่นอนที่นั่งก็ให้สงบสงัด เหมาะแก่สมณะ คือ ต้องไม่เห็นแก่กินแก่นอน และต้องมีใจแน่วแน่เข้มแข็ง ไม่ท้อถอย ฝึกอบรมจิตใจของตนอยู่เสมอ
….. รวมความว่า ไปทํางานก็ให้ไปทํางานจริงๆ ทํางานเพื่องาน มุ่งประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสําคัญ ไม่ใช่ไปหาความสุขสนุกสบาย
….. เนื้อความ ๓ คาถาของโอวาทปาติโมกข์นี้ แสดงให้เห็นวิธีสั่งงานของพระพุทธเจ้า การที่พระองค์ทรงส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนานั้น ก็คือ พระองค์ส่งพระสาวกให้ไปทํางาน ความจริงพระองค์เคยส่งพระสาวกออกไปแล้ว ๒ รุ่น รุ่นแรกเป็นพระอรหันต์ล้วน มีจํานวน ๖๐ องค์ รุ่นที่สอง เป็นพระอริยบุคคล ชั้นเสขภูมิ คือ ยังไม่เป็นพระอรหันต์ มีจํานวน ๓๐ องค์ ทั้งหมดนั้นพระองค์ทรงส่งไปอย่างธรรมดา คือ ตรัสสั่งเพียงว่า “จงจาริกไปประกาศพระศาสนา เพื่อประโยชน์และความสุขของพหูชน” และลงท้ายว่า “ด้วยเมตตาการุณย์แก่ชาวโลก” มิได้มีพิธีการพิเศษแต่อย่างใด
….. แต่ในการซักซ้อมงานคราวนี้ พระสาวกมีจํานวนมากถึง ๑,๒๕๐ องค์ ซึ่งเป็นการชุมนุมครั้งใหญ่และครั้งสําคัญ พระองค์จึงทรงสั่งงานหรือนัดหมายงานอย่างชัดเจน และละเอียดถี่ถ้วน พระองค์ทรงสั่งงานอย่างนี้ ศาสนาของพระองค์จึงแพร่หลายไพศาลอย่างรวดเร็ว และยั่งยืนอยู่อย่างมั่นคงจนทุกวันนี้
….. โอวาทปาติโมกข์ที่พระพุทธเจ้าตรัสนี้ จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการสั่งงาน เพราะในการสั่งงานนั้น ถ้าผู้สั่งสั่งให้ชัดลงไปว่า ทําอะไร เพื่ออะไร ทําอย่างไร ดังนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติย่อมปฏิบัติสะดวก และงานก็จะสําเร็จเป็นผลดีตามความมุ่งหมายเสมอ
….. โดยเหตุที่พระพุทธเจ้าประทานโอวาทปาติโมกข์ในวันเพ็ญเดือน ๓ ฉะนั้น วันเพ็ญเดือน ๓ จึงเป็นวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนจัดทําพิธีสักการบูชาเป็นพิเศษ ที่เรียกว่า “มาฆบูชา”
….. พิธีมาฆบูชานี้ แต่ก่อนก็มิได้ทํากัน เพิ่งมาทําในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งพระราชวงศ์จักรี นี่เอง
….. พิธีมาฆบูชานี้ มีทั้งพระราชพิธีและพิธีของพุทธศาสนิกชนทั่วๆไป
….. ในที่นี้ จะกล่าวเฉพาะพิธีของพุทธศาสนิกชนทั่วๆไป เมื่อถึงวันมาฆบูชา ในตอนเช้า นอกจากจะมีการทําบุญตักบาตรตามปรกติแล้ว สาธุชนอาจรับอุโบสถศีลและฟังเทศน์ ตามวัดที่ใกล้เคียงหรือคุ้นเคย
….. ในตอนค่ำ นําธูปเทียน ดอกไม้ ไปประชุมพร้อมกันที่โบสถ์ หรือเจดียสถานแห่งใดแห่งหนึ่ง ที่ทางวัดจัดไว้ เมื่อพระสงฆ์ประชุมพร้อมแล้ว ยืนหันหน้าเข้าหาสิ่งที่เคารพ คือพระประธาน หรือสถูปเจดีย์อย่างใดอย่างหนึ่ง คฤหัสถ์ทั้งหลายยืนถือธูป เทียน ดอกไม้ ประนมมืออยู่ถัดพระสงฆ์ออกไป เมื่อพระภิกษุที่เป็นประธานกล่าวนําคําบูชา ที่ประชุมทั้งหมดว่าตามพร้อมๆกัน เมื่อกล่าวคําบูชาเสร็จแล้วพระสงฆ์เดินนําหน้า เวียนขวา รอบพระอุโบสถหรือพระสถูปเจดีย์ ๓ รอบ ซึ่งเรียกว่า เวียนเทียน คฤหัสถ์เดินตามอย่างสงบ
….. ขณะเวียนรอบแรก ให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ รอบที่ ๒ ระลึกถึงพระธรรมคุณ รอบที่ ๓ ระลึกถึงพระสังฆคุณ ไม่เดินคุยกัน ไม่หยอกล้อกัน หรือแสดงอาการไม่สุภาพอื่นๆ ในขณะเวียนเทียน เพราะเป็นการขาดความเคารพพระรัตนตรัย
….. เมื่อเวียนเทียนครบ ๓ รอบแล้ว เข้าในพระอุโบสถ สวดมนต์ ฟังเทศน์ กัณฑ์แรกจะได้ฟังเรื่องจาตุรงคสันติบาต กัณฑ์ต่อๆไป อาจเป็นเรื่อง โพธิปักขิยธรรม หรือเรื่องอื่นๆ ที่ทางวัดเห็นสมควร บางวัดมีเทศน์จนตลอดรุ่ง
….. ข้อที่ควรทําเป็นพิเศษในวันนั้น ก็คือ ควรพิจารณาความหมายของ การเว้นชั่ว ทําดี ทําจิตใจให้บริสุทธิ์ ให้เข้าใจ ชัดเจนลึกซึ้ง แล้วตั้งใจปฏิบัติให้ได้ตามนั้น”
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
ที่มา : จากหนังสือชื่อ “วันสำคัญของชาวพุทธไทย”
ของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๖ พ.ศ. ๒๕๕๖ หน้า ๑-๙
ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ – รวบรวม/ตรวจพิมพ์