อะไรบ้างที่สร้างความเป็นธนาธร?
ธนาธรเดอะซีรี่ย์
“ปอกเปลือกธนาธร”
เป็นเด็กเที่ยว ไม่ชอบเรียน หลังจากเข้ามาทำกิจกรรมก็เริ่มรู้สึกท้อแท้กับการศึกษา ไม่อยากเรียนแล้ว รู้สึกว่าการศึกษามันเหลวแหลก
แปลว่า รู้สึกว่าการศึกษามันเหลวแหลก เพราะตัวตนของตนเองมีพื้นฐานที่เป็นเด็กไม่ชอบเรียน
…………………………………………………………………
ธนาธนาและพานทองแท้ ชินวัตร เรียนเตรียมอุดมศึกษามาด้วยกัน พานทองแท้เป็นรุ่นพี่ธนาธรปีหนึ่ง หลังจากจบเตรียมอุดมก็ไปเรียนต่อธรรมศาสตร์ด้วยกัน เป็นเพื่อนเที่ยวเพื่อนกินเหล้าด้วยกัน
ข้อความต่อไปนี้จากปากของธนาธร….
ผมเป็นเด็กเที่ยว แล้วก็ขับรถเร็ว ด้วยความที่เราก็วัยรุ่น ชอบขับรถแข่ง ชอบแต่งรถ ตอนนั้นคิดเพียงว่าเป็นวิศวกรน่าจะดี ก็เลยเลือกเรียนวิศวะเครื่องกล แต่ในที่สุดก็แทบจะไม่ได้เข้าเรียนเลย
ตอนผมเด็กๆ ผมเลือกฟังแต่เพลงของคาราบาว เพลงของคาราวานนะ รู้สึกอินกว่าเพลงวัยรุ่น ถึงจะเป็นเด็กเที่ยวแต่ผมคิดว่าสำนึกทางการเมืองผมมีอยู่แล้ว
เพียงแต่ไม่เจอคนไม่เจอพรรคพวกไม่เจอช่องทางให้ผมไปทำกิจกรรม จนกระทั่งเมื่อผมสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม. ธรรมศาสตร์ได้ ผมมีโอกาสได้ไปค่าย ไปเข้าค่าย ๒ ครั้ง เพื่อนที่ไปด้วยกันก็มาชวนว่า เรามาทำกิจกรรมด้วยกันไหม
ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันโดนนะ มันเป็นอะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกอยากเข้ามาทำ เราก็ได้ร่วมทีมกับเพื่อนๆ กลุ่มหนึ่งลงสมัคร อมธ. (องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ตัวผมเองได้รับเลือกเป็นอุปนายก อมธ. ปี ๒๕๔๒
หลังจากเข้ามาทำกิจกรรมผมก็พบว่า ผมมีความรู้สึกอยากเห็นสังคมดีงาม ตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกท้อแท้กับการศึกษา ไม่อยากเรียนแล้ว รู้สึกว่าการศึกษามันเหลวแหลก เชื่อว่าความรู้เป็นเรื่องจริง ปริญญาเป็นสิ่งหลอกลวง
ไม่จำเป็นต้องมีปริญญาก็มีความรู้ได้ เป็นความรู้ที่เราสามารถแสวงหาเอง ไม่ต้องไปเรียนกับอาจารย์มหาวิทยาลัยก็ได้ สรุปแล้วเรารู้สึกว่าการศึกษามันรับใช้กลุ่มคนเพียงบางกลุ่ม วันนั้นก็ปฏิเสธการศึกษา
…………………………………………………………………
ตอนนั้นปี ๒๕๔๓ สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ชาวบ้านมาชุมนุมล้อมทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องให้เปิดประตูระบายน้ำเขื่อนปากมูล คืนนั้นเป็นวันมาฆบูชา หลังจากที่ชาวบ้านเดินเวียนเทียนที่วัดเบญจมบพิตร พอกลับมาที่ชุมนุม ชาวบ้านก็วิ่งไปเอาบันไดพาดปีนกำแพงเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จ
คืนนั้นชาวบ้านส่วนหนึ่งอยู่ข้างใน อีกส่วนชุมนุมอยู่หน้าทำเนียบ พอเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเรานักศึกษาก็เอาข้าวเอาน้ำไปส่ง และจะข้ามไปสมทบ เพื่อนผมก็กำลังปีนรั้ว
ท้ายที่สุดเข้าใจว่ามีคำสั่งลงมาให้ตำรวจสลายการชุมนุม ผมอยู่แถวหน้ากับเยาวชนกลุ่มปากมูล ก็โดนตีเข้าที่ขา ขยับไม่ได้เลย
ผมกับน้องเยาวชนเราล้มอยู่ด้วยกัน แล้วแนวรั้วเหล็กกั้นมันหล่นลงมาทับเราสองคน ตำรวจก็เหยียบขึ้นมาบนเหล็กแล้วก็ตี ตอนนั้นโชคดีที่ไม่ถูกจับ ถ้าถูกจับคงเป็นเรื่องใหญ่ เพราะวันนั้นบังเอิญตอนที่เรานั่งชุมนุมกันอยู่ ช่างภาพก็ไปถ่ายภาพ ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นแม่เห็นรูปผมในหนังสือพิมพ์
ท่านก็ส่งคนเข้ามาตามหาผมทั่วม็อบ พอกลับบ้านเราก็ทะเลาะกัน ช่วงนั้นผมกับคุณพ่อคุณแม่ทะเลาะกันบ่อยมากเรื่องว่าผมจะใช้ชีวิตยังไง
จนเรารู้สึกว่าเราจะมีชีวิตต่อไปอย่างนี้เรื่อยๆ ต้องทะเลาะต่อไปเรื่อยๆ หรือ ไม่เฉพาะกับคุณพ่อคุณแม่ เวลาเจอใครในครอบครัวก็โดนเขาถากถางตลอด ว่าเป็นพวกโน้น ไม่ใช่พวกเรา ถากถางบ้าง ต่อว่าบ้าง บอกให้กลับใจบ้าง บางคนก็ว่าโดนเขาหลอกไม่รู้ตัว ต่างชาติซื้อแกนนำไปหมดแล้ว ให้มาก่อความวุ่นวาย แล้วก็เอานักศึกษาโง่ๆ อย่างเราไปทำงาน
…………………………………………………………………
เราก็โดนอย่างนี้มาตลอด โดยเฉพาะกรณีโครงการก่อสร้างท่อก๊าซไทย-มาเลย์ ทะเลาะกับคุณอา (สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) บ่อยมาก
เพราะตอนนั้นคุณอาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ปรกติผมกับคุณอาไม่ค่อยเจอกัน จะเจอกันตามงานครอบครัว งานเช็งเม้ง ไหว้อากง เจอกันทีไรก็ทะเลาะกันทุกที เวลานั้นมีการจัดประชาพิจารณ์ท่อก๊าซและชาวบ้านต่อต้านด้วย เราก็ทะเลาะกันตลอด
…………………………………………………………………
คณะวิศวกรรมศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ ที่ผมเรียนนั้น ตามหลักสูตรต้องเรียนที่เมืองไทย ๒ ปี และอีก ๒ ปีกว่าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนอตติงแฮม ประเทศอังกฤษ
ผมบอกแม่ว่าผมไม่ไปแล้วนะ ผมจะอยู่ที่นี่ เพราะตอนนั้นหลังจากทำ อมธ. ผมก็ไปทำกิจกรรมร่วมกับสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ได้รับเลือกเป็นรองเลขาธิการ สนนท. ปี ๒๕๔๓
ตอนนั้นก็รู้สึกว่ามีพันธสัญญาร่วมกันกับเพื่อนอยู่ ผมก็ต่อรองแม่ว่าผมขอทำงาน สนนท. จนจบวาระนี้ก่อน ปีหน้าค่อยไป พอคุณแม่รู้ก็เสียใจ ผมก็ทะเลาะกับคุณพ่อคุณแม่ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วผมเป็นคนที่รักแม่มาก ไม่อยากให้แม่เสียใจ ไม่อยากเห็นแม่ร้องไห้
สุดท้ายผมอยู่ในวาระได้ครึ่งเทอมก็ตัดสินใจไปเรียนต่อที่อังกฤษ คืนก่อนไปเรานั่งร้องไห้กับเพื่อนๆ สักพักพรรคพวกโทรศัพท์มาบอกว่าทหารจะเข้าไปไล่ที่เผาสลัม
…………………………………………………………………
ผมยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ เรานั่งกินเหล้ากันอยู่ที่พัทยาก็รีบกลับมาตอนเช้า ก่อนจะไปอังกฤษผมยังไปนั่งอยู่ที่สลัมเลย ไปพูดคุยไปช่วยเหลือชาวบ้าน พอตกเย็นวันนั้นก็บินไปอังกฤษ
พอไปอยู่อังกฤษผมก็ไม่ได้เรียนเหมือนเดิมนะ ผมจบมาได้เพราะการเรียนที่อังกฤษมันค่อนข้างง่าย สามารถอ่านเองได้
ผมก็ไม่เคยเข้าเรียน แต่ผมอ่านหนังสือเยอะมาก ตอนผมอยู่ที่ธรรมศาสตร์ ผมอ่านหนังสือแนวแสวงหา ฉันจึงมาหาความหมาย ของ วิทยากร เชียงกูล หนังสือของ ติช นัท ฮันห์ ศุ บุญเลี้ยง อะไรประมาณนั้น แต่พอไปอยู่อังกฤษ ผมเริ่มอ่านแนวเศรษฐศาสตร์การเมือง ผมอ่านงานของเลนินชิ้นแรกตอนผมอยู่อังกฤษ
ผมเริ่มอ่านงานของมาร์กซ์ของเลนินตอนอยู่ที่อังกฤษ แล้วตอนอยู่ที่โน่นผมยังไปสมัครเข้ากลุ่มที่อาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ เคยอยู่มาก่อน คือ SWP-Socialist Worker Party เป็นองค์กรจัดตั้งใหญ่ องค์กรจัดตั้งระดับนักศึกษาเรียกว่า SWSS-Socialist Worker Student Society เป็นชมรมที่ค่อนข้างซ้ายซึ่งมีอยู่ชมรมเดียวในอังกฤษ
ผมก็ไปเข้าชมรมนี้ ร่วมทำกิจกรรมกับพวกเขา รณรงค์แจกแผ่นพับ จัดงานวันเมย์เดย์ ฯลฯ ก็เป็นประสบการณ์อีกด้านหนึ่งที่ได้เรียนรู้
ที่มา: (เข้าใจว่า) เป็นบทสัมภาษณ์ในนิตยสารสารคดี
สังเกตมั้ยว่า คนพรรคนี้กลุ่มนี้ ที่อ้างว่าเป็นนักประชาธิปไตย ที่อ้างจะมาพัฒนาประชาธิปไตย แต่ตัวตนจริงๆ ของพวกเขานิยม มาร์กซ์ของเลนิน ซึ่งเป็นเจ้าลัทธิ สังคมนิยม ที่เป็นปฏิปักษ์กับ เสรีนิยม
เห็นมั้ยว่าธนาธรไปเรียน แต่ไม่เรียน
เห็นความสนใจของธนาธรกับกลุ่มคนซ้ายจัดมั้ย
เห็นความสัมพันธ์ของธนาธรกับฝ่ายนั้นมั้ย
เห็นแนวทางการเมืองที่ธนาธรฝักใฝ่มั้ย
เห็นสิ่งที่สร้างธนาธรมั้ย
ผมเดาว่า พ่อของธนาธร ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของธนาธร และถ้าพ่อยังอยู่ เขาอาจถูกพ่อขวางไม่ให้ก้าวเข้ามาบนเส้นทางการเมืองแบบนี้ หรือไม่ก็ต้องแตกหักกับพ่อ
แต่พ่อไม่อยู่แล้ว และความผูกพันรักใคร่ของแม่ลูก ทำให้แม่ตามใจลูกมากกว่าพ่อ
ธนาธรจึงก้าวออกจากอาณาจักรธุรกิจทุนนิยมที่เขาไม่นิยม เพื่อสร้างสังคมนิยมที่เขานิยม
…………………………………………………………………
อัษฎางค์ ยมนาค