”จะจบปัญหาการเมืองสามนิ้ว
ไทยต้องมีผู้นำที่เก่งเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ“
ผู้นำรัฐบาลในอดีตก็คือ พระมหากษัตริย์
ส่วนผู้นำรัฐบาลในปัจจุบันคือ นายกรัฐมนตรี
ซึ่งประเทศชาติต้องการผู้นำที่มีความสามารถพิเศษที่เฉพาะเจาะจงตามยุคสมัยและสถานการณ์การเมืองทั้งในและต่างประเทศ
เช่น สมัยกรุงศรีอยุธยาแตกจนถึงสร้างกรุงธนบุรีถึงกรุงรัตนโกสินทร์ เราต้องการผู้นำที่เป็นนักรบที่เชียวชาญเรื่องการทหารอย่างสมเด็จพระเจ้าตากสินและรัชกาลที่ ๑
พอถึงรัชกาลที่ ๒ บ้านเมืองสงบศึกจากสงครามแล้วก็เป็นยุคที่ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม ซึ่งพระองค์มีพระปรีชาสามารถทางด้านนี้มาก
หลังจากบ้านเมืองมั่งคั่งปลอดภัย ศิลปวัฒนธรรมก้าวล้ำแล้ว เราก็ได้ผู้นำที่เก่งเรื่องการค้าและธุรกิจระหว่างประเทศอย่างรัชกาลที่ ๓ ที่สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจทิ้งไว้เป็นมรดกเอาไว้รับมือกับคุกคามทางการเมืองจากชาติตะวันตกในเวลาต่อมา
หลังจากรัชกาลที่ ๓ อิทธิพลของชาติตะวันตกก็เข้ามาอย่างเต็มตัว ซึ่งรัชกาลที่ ๔ ก็เริ่มปรับเปลี่ยนและเตรียมตัว ส่งเสริมและสนับสนุนวิทยาการสมัยใหม่
พอถึงรัชกาลที่ ๕ เมืองไทยก็พร้อมสำหรับคลื่นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหว่างประเทศ ทรงปฏิรูประบบราชการ การศึกษาและสังคมชนิดพลิกฟ้าพลิกดิน รวมทั้งส่งพระราชโอรสไปศึกษาศิชปวิทยาการในยุโรป
รัชกาลที่ ๕ คือผู้นำที่มีความสามารถในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศระดับต้นๆ ของโลกอย่างแท้จริง
จะเห็นได้ว่า
รัชกาลที่ ๑ เก่งเรื่องการรบ การทหาร
รัชกาลที่ ๒ เก่งเรื่องศิลปวัฒนธรรม
รัชกาลที่ ๓ เก่งเรื่องเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ
รัชกาลที่ ๔ เก่งเรื่องวิทยาการสมัยใหม่
รัชกาลที่ ๕ เก่งเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ
รัชกาลที่ ๖ เก่งเรื่องการยกระดับศิลปวัฒนธรรม การศึกษาและสังคมสู่โลกยุคใหม่
รัชกาลที่ ๗ เก่งเรื่องการปฏิรูปการปกครอง
ซึ่งหลังจาก ๒๔๗๕ ผู้นำรัฐบาลเปลี่ยนไปเป็นนายกรัฐมนตรีตามระบอบประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม
รัชกาลที่ ๘ สวรรคตตั้งแต่ทรงพระเยาว์ยังไม่ทันจะได้ทรงงานอย่างเต็มตัว
รัชกาลที่ ๙ เก่งเรื่องการเกษตร ชลประทาน แก้ปัญหาความยากจน ความอยู่ดีมีสุขของประราชราษฎร์
รัชกาลที่ ๑๐ ทรงตั้งปณิธานจะต่อยอดและสานต่อภารกิจ
ส่วนผู้นำรัฐบาลในยุคใหม่ ซึ่งก็มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันก็มีความสามารถต่างกันไปตามยุคสมัย
ปัจจุบัน ผมเชื่อว่า ไทยเราต้องการผู้นำที่ต้อง “เก่งกาจเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ” เหมือนหรือใกล้เคียงกับรัชกาลที่ ๕
ซึ่งยุคปัจจุบันเรากำลังอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆ กับการถูกล่าอาณานิคม เพียงแต่อยู่ในรูปแบบใหม่ กับสงครามการค้าที่ต้องล่าอาณานิคมมาเป็นพันธมิตรที่สั่งให้หันซ้ายขวาได้
ผมเชื่อว่า ปัญหาการเมืองเรื่องของกลุ่มคนสามนิ้วในปัจจุบัน แม้กระทั่งพรรคการเมืองผู้อยู่เบื้องหลังมวลชนสามนิ้ว ถูกชักใยโดยชาติมหาอำนาจ
ดังนั้น หากเรามีผู้นำที่มีความสามารถหรืออย่างน้อยเข้าใจเรื่องการเมืองระหว่างประเทศอย่างลึกซึ้ง ได้อย่างรัชกาลที่ ๕ ที่ทรงสร้างและรักษาสมดุลแห่งอำนาจทางการเมืองของชาติมหาอำนาจทุกฝ่ายได้อย่างลงตัว ปัญหาการเมืองเรื่องของกลุ่มคนสามนิ้วในปัจจุบัน จะจบลงอย่างง่ายดาย
ชาติมหาอำนาจแทรกแซงกิจการภายใน ด้วยเงิน ยุทธวิธี กลยุทธ์และสรรพกำลังทุกรูปแบบผ่านการสร้างความวุ่นวาย แตกแยกและยึดครองผ่านพรรคการเมืองและกลุ่มผู้สนับสนุนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสภาเป็นกำลังพล
วิธีการกำจัดกลุ่มสามนิ้ว มิใช่การไปรบกับคนเหล่านั้น แต่ต้องใช้วิธีดีลกับชาติมหาอำนาจผู้อยู่เบื้องหลังของทุกสิ่ง เท่านั้น
เหมือนกับรัชกาลที่ ๕ ที่ทรงเดินทางไปดีลกับชาติมหาอำนาจต่างๆ ถึงที่ด้วยพระองค์เอง จนทำให้ไทยเป็นเพียงประเทศเล็กๆ ไม่กี่ประเทศในโลกที่รอดพ้นการเป็นอาณานิคม
หากนายกรัฐมนตรียังไม่เชี่ยวชาญเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ จะเป็นคำตอบและเป็นตัวช่วยที่ดี ที่จะช่วยให้ภารกิจของนายกรัฐมนตรี ในการสร้างและรักษาสมดุลแห่งอำนาจทางการเมืองของชาติมหาอำนาจทุกฝ่ายได้อย่างลงตัว
ปัญหาการเมืองภายในที่ถูกกำหนดจากการแทรกแซงจากต่างประเทศจะจบลงอย่างง่ายดาย ถ้าไทยมีผู้นำที่เก่งเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ
จะแก้ปัญหาใด ต้องแก้ให้ถูกจุด ไม่อย่างนั้นปัญหาก็ไม่จบ
จบทุกปัญหาเดิมๆ ที่ค้างคา เพื่อจะได้หันไปใช้สรรพกำลังทั้งหมดไปพัฒนาชาติให้ประชาราษฎร์ผาสุกต่อไปเสียที
อัษฎางค์ ยมนาค