กระบวนการ”ล้มเจ้า”
จาก”คณะ ร.ศ.130” ถึง “คณะราษฎร์”
จากแดง ถึง ส้ม
………………………………………………………………….
บันทึกประวัติศาสตร์การเรียกร้องประชาธิปไตย ด้วยการก่อการล้มเจ้าของ กบฏ ร.ศ.130 และคณะราษฎร
เมื่อหลายปีที่ผ่านมีเหตุเผาบ้านเผาเมือง ด้วยข้ออ้างในการเรียกร้องประชาธิปไตย
มาถึงปัจจุบันก็มีการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ ด้วยข้ออ้างเดียวกัน คือการเรียกร้องประชาธิปไตย ทั้งที่บ้านเมืองของเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยมาเกือบศตวรรษ
………………………………………………………………….
ประวัติศาสตร์การเมืองกับการเรียกร้องประชาธิปไตยของกลุ่มบุคคล เริ่มมีครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 6
มีข้อที่น่าสังเกตหนึ่งจากกลุ่มก่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2 กลุ่ม คือ กบฏ ร.ศ.130 กับคณะราษฎร ซึ่งเกิดขึ้นคนละยุค คนละเวลา แต่มีความสัมพันธ์ต่อกันในแบบที่คนทั่วไปอาจไม่เคยรู้มาก่อน
กบฏ ร.ศ.130 คือกลุ่มก่อการกลุ่มแรก ที่ก่อการไม่สำเร็จ แล้วกลับมาปลุกปั่นและเป็นต้นแบบให้กลุ่มคณะราษฏร กลุ่มก่อการกลุ่มหลัง ทำจนสำเร็จ
ด้วยการหาจุดอ่อนจุดแข็งในการก่อการในครั้งแรกที่ทำไม่สำเร็จ แล้วป้องกันจุดอ่อนไม่ให้เกิดขึ้นในครั้งหลัง จนเป็นที่มาของความสำเร็จในการปฏิวัติ ๒๔๗๕
ความพยายามจะล้มเจ้า ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่กลุ่มที่เรียกว่า กบฏ รศ.130
ว่ากันว่า จุดเริ่มต้นของ กบฎ รศ.130 นั้นเกิดขึ้นเมื่อปลายรัชกาลที่ 5 เมื่อทหารราบและทหารมหาดเล็กของรัชกาลที่ 6 (เมื่อยังเป็นพระบรมโอรสาธิราช)เกิดเหตุวิวาทกันด้วยเรื่องผู้หญิง และรัชกาลที่ 6 สืบสวนได้ว่าทหารบกเป็นฝ่ายผิดจึงลงโทษ และนายทหารกลุ่มนั้นก็เกิดความแค้นฝังใจ
ต่อมาเมื่อรัชกาลที่ 6 เถลิงถวัลยราชสมบัติ ได้ทรงตั้งกองเสือป่าขึ้น และเอาพระทัยใส่ในกิจการนี้เป็นอย่างดี
ในขณะที่มีนายทหารกลุ่มที่เคยโดนรัชกาลที่ 6 ลงโทษบางคนไม่เคยลืมเหตุการณ์เฆี่ยนหลังนายทหารตั้งแต่คราวนั้น ประกอบกับมีความรู้สึกว่า “กองเสือป่า” ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งนั้น เป็นกิจกรรมที่ซ้ำซ้อนกับการทหาร และยังทำงานชิงดีชิงเด่นกับทหารด้วย
ในที่สุดนายทหารกลุ่มดังกล่าวก็ก่อตั้งขบวนการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้น แต่ถูกจับได้เสียก่อน จึงกลายเป็น กบฏ ร.ศ.130
ประวัติศาสตร์ของฝ่ายปฏิวัติกล่าวว่า นายทหารกลุ่มนั้นเป็นนายทหารที่รักความก้าวหน้า และปรารถนาที่จะให้ประเทศชาติมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ทั้งที่ความจริงที่ซ่อนเร้นก็คือ ความเกลียดชังพระเจ้าอยู่หัว
มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฎว่า จุดประสงค์ของผู้ก่อการ คือความตั้งใจจะเปลี่ยนประเทศให้เป็นสาธารณรัฐ โดยมีประธานาธิบดี เป็นประมุข ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
แต่ก่อการไม่สำเร็จ จึงกลายเป็นกบฏ
………………………………………………………………….
หลังจากที่กลุ่มกบฎ รศ.130 พ้นโทษออกมา นักโทษการเมืองเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็เข้าไปทำงานเป็นสื่อสารมวลชนในหนังสือพิมพ์ โดยยังคงเผยแพร่แนวความคิดของพวกเขากับสังคม
ปรีดี พนมยงค์ เล่าว่า เมื่อท่านเป็นเด็กๆ ได้เห็นคนจีนตัดผมเปียทิ้งหลังจากที่ประเทศจีนปฏิวัติเปลี่ยนการปกครองจากระบอบกษัตริย์มาเป็นสาธารณรัฐ และท่านได้อ่านหนังสือพิมพ์ที่ได้รับจากนายทหารบก ซึ่งทำให้รู้เรื่องการปกครองระบอบกษัตริย์มีข้อบกพร่องอย่างไร ชาวจีนจึงได้ต่อต้านและล้มล้างระบอกกษัตริย์
ถ้าสังเกตให้ดีเราจะพบว่าผู้ใหญ่ที่มีความรู้ดี ก็อาจตีความเรื่องสำคัญๆ ผิดเพี้ยนได้ เพราะระบอบกษัตริย์ของจีนนั้นไม่เหมือนไทย
ราชวงศ์แมนจู ไม่ใช่คนจีนแท้ แต่เป็นชนเผ่าเร่ร่อนทางเหนือ ที่เข้ามายึดเมืองจีนและปกครองประเทศ
โดยเฉพาะซูสีไทเฮา ผู้ปกครองหลังม่านที่กดขี่ประชาชน สร้างความเดือดร้อนให้กับบ้านเมืองอย่างหนัก
ในขณะที่พระมหากษัตริย์ของไทยพยายามพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองทันสมัยตลอดมา โดยทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยอยู่แล้ว เพียงแต่ทรงวินิจฉัยว่าคนไทยยังไม่พร้อมเพราะยังไม่เข้าใจการปกครองแบบประชาธิปไตย จึงทรงดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป
………………………………………………………………….
ปรีดี พนมยงค์ ได้รับทุนหลวงไปเรียนกฎหมายที่ฝรั่งเศส พร้อมกับนำอุดมการณ์ในความต้องการจะเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะ รศ.130 ไปด้วย จนในที่สุดก็ก่อตั้งคณะราษฎร์ขึ้นที่ฝรั่งเศส
พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เล่าว่า เมื่อครั้งยังเป็นนายทหารหนุ่มนั้น ได้รับรู้เรื่องราวการปฎิวัตของคณะ ร.ศ.130 จากเหล่านายทหาร คณะ ร.ศ.130 ซึ่งเป็นดาราดวงเด่น ที่เข้ามาเล่าเรื่องปฎิวัติอยู่เป็นประจำในกองทัพ
ซึ่งก็หมายถึงอดีตกบฏ ร.ศ.130 ได้ทำการปลุกระดมคนรุ่นใหม่ ซึ่งในเวลาต่อมาก็คือคณะราษฎร์นั้นเอง
………………………………………………………………….
เมื่อคณะราษฏร์ปฏิวัติสำเร็จได้มีประกาศคณะปฏิวัติออกมาว่า
“ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง ถ้ากษัตริย์ตอบปฎิเสธหรือไม่ตอบ โดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจลงมา ก็จะชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองแบบอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกตั้งขึ้น”
ตอนบ่ายของวันที่ปฏิวัติสำเร็จ คณะ รศ.130 ได้พบกับปรีดี แกนนำฝ่ายพลเรือน
นายปรีดีกล่าวว่า “พวกผมถือว่า การปฎิวัติครั้งนี้เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันมาจากการกระทำเมื่อ ร.ศ.130 จึงเรียกคณะ ร.ศ.130 ว่า พวกพี่ๆ ต่อไป” ซึ่งแปลว่า คณะราษฎร ได้รับแนวคิดการปฎิวัติมาจาก คณะ ร.ศ.130 นั่นเอง
………………………………………………………………….
ซึ่งก็ทำให้เห็นได้ชัดว่าคณะราษฎร ได้รับแนวคิดการปฎิวัติมาจาก คณะ ร.ศ.130 นั่นเอง
คณะราษฏร์ประกอบด้วยบุคคล 2 กลุ่ม คือกลุ่มพลเรือนที่ถือว่าเป็นมันสมองของคณะผุ้ก่อการ มีนายปรีดีเป็นหัวหน้า
ฝ่ายพลเรือนกลุ่มนี้มีความตั้งใจตั้งแต่แรกที่จะเปลี่ยนประเทศจากการมีพระมหากษัตริย์ ไปเป็นสาธารรัฐโดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข
แต่โดนคัดค้านจากฝ่ายทหารที่เป็นฝ่ายกองกำลังซึ่งเป็นผู้มีพลังอำนาจตัวจริงที่ทำการปฏิวัติ ซึ่งนำโดยพระยาพหลฯ ที่คัดค้านให้คงมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้กฎหมาย
คนเหล่านั้นคือทหารและพลเรือนที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาสูงด้วยเงินทุนจากพระมหากษัตริย์ แต่กลับมาปฎิวัติพระมหากษัตริย์
คนบางคนบางกลุ่มที่มีการศึกษาสูง จนบางทีความรู้ล้น เกิดการตีความผิดๆ แล้วนำความเข้าใจผิดๆ นั้นไปสู่ประชาชน ปลุกปั่นผู้ค้นให้หลงเชื่อในความสำคัญผิดๆ เหล่านั้น
แล้วหลังจากปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองสำเร็จ คณะราษฎร์ก็พบกับความจริงว่า คณะราษฎร์ไม่สามารถปกครองประเทศและประชาชนได้โดยปราศจากสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะประชาชนไม่ยอมรับระบอบสาธารณรัฐ และยังคงสนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์
การเคลื่อนไหวใต้ดินของพวกเขาเหล่านั้น เราน่าจะศึกษาให้ละเอียด เพื่อเป็นกรณีศึกษาเมื่อกำลังเกิดขบวนการ ‘ล้มเจ้า’ ขึ้นอีกในปัจจุบัน
………………………………………………………………….
พวกเราซึ่งเป็นรุ่นลูกรุ่นหลานเกิดไม่ทันที่จะรับรู้เจตนาที่แท้จริงของฝ่ายปฏิวัติว่า มีความประสงค์ดีต่อชาติและประชาชนจริงตามเจตนารมณ์ที่ประกาศไว้หรือไม่
แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถมองเห็นได้ก็คือ พระมหากษัตริย์ของพวกเราชาวไทย ได้ทรงมีวิริยะอุตส่าหะในการทำนุบำรุงพัฒนาประเทศชาติเสมอมา
ในขณะที่นักการเมืองที่มักอ้างว่าทำเพื่อระบอบประชาธิปไตย ทำเพื่อชาติประชาชน จริงๆ แล้วเขาเหล่านั้นมักทำการต่างๆ เพื่อพวกพ้องและตนเองมาโดยตลอด
………………………………………………………………….
คณะ ร.ศ.130 ล้มเจ้าไม่สำเร็จ แต่คณะราษฏรทำสำเร็จโดยการเรียนรู้ความผิดพลาดของคณะ ร.ศ.130 จนล้มเจ้าสำเร็จ
ดูคุ้นๆ มั้ย ยุคปัจจุบันเสื้อแดงก็ทำไม่สำเร็จ แต่ส้มเน่ามารับไม้ต่อ และกำลังจะจับมือกัน อย่าชะล่าใจเด็ดขาด ประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอย
………………………………………………………………….
อัษฎางค์ ยมนาค