โมเดลรัฐประหารโดยคณะราษฎร
การก่อรัฐประหารของคณะราษฎรกลายมาเป็นโมเดลหรือต้นแบบของรัฐประหารตลอดมา นี่แหละหนึ่งในมรดกของคณะราษฎร
………………………………………………………………….
พิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า “ผ่านมา 90 ปี จากวันแห่งอิสรภาพ ประเทศไทยยังถูกกักขังในวังวนรัฐประหาร”
พรรคฝ่ายค้านและขบวนการสามนิ้ว มักยกย่อง เชิดชู คณะราษฎรว่าเป็นผู้ให้กำเนิดประชาธิปไตย และโจมตีกองทัพว่าเป็นตัวทำลายประชาธิปไตยด้วยการทำรัฐประหาร
คำพูดของพิธา ที่กล่าวว่า “ผ่านมา 90 ปี จากวันแห่งอิสรภาพ นั้นแปลไทยเป็นไทยได้ว่า คณะราษฎรเป็นผู้ประกาศอิสระภาพให้กับคนไทย แต่เมืองไทยพัฒนาไปไม่ถึงไหนเพราะอยู่ในวังวนของการทำรัฐประหาร
พิธาไม่รู้ประวัติศาสตร์หรือปิดบังความจริง
เนื่องจากตลอดเวลา 25 ปี นับตั้งแต่การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ถึง 2500 คณะราษฎรคือผู้ทำรัฐประหารถึง 5 ครั้งติดต่อกัน เพื่อรัฐประหารพวกเดียวกันหรือไม่ก็ทำรัฐประหารตัวเอง !
“จากวันแห่งอิสรภาพ ประเทศไทยยังถูกกักขังในวังวนรัฐประหาร” ที่พิธาว่าไว้นั้น พิธากำลังบอกว่าคณะราษฎรปฏิวัติยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์แล้ว กลับทำให้ไทยถูกกักขังในวังวนรัฐประหาร หรือ?
ไม่มีนักประชาธิปไตยที่ไหนในโลกที่แก้ปัญหาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยด้วยการทำรัฐประหาร นอกจากคณะราษฎร์ธิปไตย ที่แก่งแย่งแข่งขัน แย่งชิงอำนาจด้วยการทำรัฐประหารยึดอำนาจกันเอง ตลอด 25 ปีที่ครองอำนาจการปกครอง
………………………………………………………………….
ผมขอยกบทความในเฟสบุ๊คของคุณลุง อาคม มกรานนท์ อดีตวุฒิสมาชิก ผู้ประกาศข่าวและนักแสดงชื่อดัง ที่โพสต์เอาไว้เมื่อวันก่อน ใจความว่า
“24 มิ.ย. วันปล้นพระราชอำนาจ”
เริ่มเรื่องด้วย พลโทประยูร ภมรมนตรี บันทึกไว้ว่า “วันที่ 24 มิถุนายน 2475 หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้นำรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯถวาย ทรงตั้งพระทัยพิจารณาอย่างจริงจัง แต่ครั้นแล้วมีหลายตอนที่ทรงขัดข้องพระทัยยิ่งนัก จึงตรัสถามพระยาทรงสุรเดชว่า ได้อ่านรัฐธรรมนูญมาก่อนหรือเปล่า
ซึ่งพระยาทรงสุรเดชได้กราบทูลว่า “ไม่ได้อ่าน เพราะไม่ใช่หน้าที่ และท่านเจ้าคุณ(พระยาพหล)ได้กำชับหลวงประดิษฐ์มนูธรรมไว้แล้วว่า ให้ร่างรัฐธรรมนูญแบบอังกฤษ ซึ่งมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ”
ซึ่งทรงรับสั่งว่า “ต้องการจะให้เป็นเช่นนั้น แต่นี่เรื่องอะไรกัน ถึงต้องใช้คำเสนาบดีว่า “คณะกรรมการราษฎร” ซึ่งเป็นแบบรัสเซีย แบบคอมมิวนิสต์” ทรงไม่เข้าใจว่านี่มันอะไรกัน
พระยาทรงสุรเดชรู้สึกตกตะลึงอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นมาถวายคำนับว่า “ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานอภัยและขอถวายสัตย์ว่า จะไปร่างมาใหม่ให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ทุกประการ”
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯรับสั่งว่า “ถ้าพระยาทรงสุรเดชรับรองว่าจะเอาไปแก้ไขใหม่ ฉันจะยอมเชื่อพระยาทรงฯ แต่อย่างไรก็ตาม วันนี้หัวเด็ดตีนขาดไม่ยอมเซ็น” แล้วขอให้เป็นวันที่ ๒๗ คือต่อจากนี้ไปอีก ๒ วัน แล้วก็เสด็จฯขึ้น
พวกเราทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริด ทยอยกันออกมายืนที่ลานหน้าพระราชวัง พระยาทรงฯชี้หน้าหลวงประดิษฐ์ว่า “คุณหลวงทำฉิบหายป่นปี้ ไม่ทำตามทื่บอกกันไว้ ทำอะไรนอกเรื่อง” พระยาทรงฯพูดอย่างเคืองแค้น ความสัมพันธ์ระหว่างพระยาทรงฯกับหลวงประดิษฐ์ ได้แตกร้าวลงไปอย่างไม่มีทางที่จะประสานกันได้ตั้งแต่วาระนั้น
ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ผู้ก่อการยึดอำนาจ และจับตัวเจ้านายหลายพระองค์ไว้เป็นตัวประกัน แล้วทำหนังสือข่มขู่ว่า หากมีการขัดขืน จะทำร้ายเจ้านายที่จับเป็นตัวประกันถึงเสียชีวิต
พฤติกรรมเช่นนี้ ถ้าไม่เรียกว่า “ปล้นพระราชอำนาจ”แล้ว จะเรียกว่า “อภิวัฒน์สยาม”ได้อย่างไร?
หากพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว คณะราษฎรไม่ใช่ผู้ปฏิวัติ หรือ อภิวัฒน์สยาม แต่เป็น “กลุ่มโจรปล้นพระราชอำนาจ ปล้นพระราชทรัพย์ และปกครองประเทศโดยการโกหกหลอกลวง ฆ่าฟันล้างผลาญกันเอง เพื่อแย่งชิงอำนาจต่างหาก
คณะราษฎรปกครองประเทศตั้งแต่ พ.ศ.2475 ถึง พ.ศ.2500 ตลอดเวลา 25 ปี แย่งชิงอำนาจจนถูกจอมพลสฤษดิ์ฯยึดอำนาจ ทรราชที่ทำให้ประเทศเสียโอกาสพัฒนาประเทศไปถึง ๒๕ ปี หนีไปตายยังต่างประเทศ
………………………………………………………………….
คณะราษฎรธิปไตย แก่งแย่งแข่งขัน แย่งชิงอำนาจด้วยการทำรัฐประหารยึดอำนาจกันเอง ตลอด 25 ปีที่ครองอำนาจการปกครอง
ผมคิดว่าเราสามารถแบ่งการทำรัฐประหารออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่
ช่วงที่ 1
หลังจากปฏิวัติยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์แล้ว คณะราษฎร ก็ตั้งพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย
ปีรุ่งขึ้นก็เกิดการรัฐประหารขึ้นเป็นครั้งแรกในวันที่ 1 เมษายน 2476 ซึ่งเป็นการรัฐประหารโดย พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี ในเวลานั้น และอาจจะเรียกว่าเป็นการรัฐประหารผ่านการประกาศพระราชกฤษฎีกาเพื่อปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ต่อมาเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 คณะทหารบก, ทหารเรือ กองทัพอากาศ และพลเรือน นำโดยพระยาพหลพลพยุหเสนา, หลวงพิบูลสงคราม และหลวงศุภชลาศัย ได้ทำรัฐประหารเป็นครั้งที่ 2 โดยยึดอำนาจเพราะไม่พอใจพระยามโนปกรณ์นิติธาดา
จากการรัฐประหารครั้งนั้นทำให้พระยาทรงสุรเดช ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำถูกของคณะราษฎร์ถูกกีดกันออกจากแวดวงการเมือง ส่วนนายปรีดี หนึ่งในแกนนำของคณะราษฎร์อีกคนถูกบีบให้ไปอยู่ประเทศฝรั่งเศส ด้านพระยามโนปกรณ์นิติธาดาต้องเดินทางไปที่ปีนัง
รัฐประหารครั้งที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
รัฐประหารครั้งที่ 4 เกิดขึ้นเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2491 คณะนายทหารกลุ่มที่ทำรัฐประหารเมื่อ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 จี้บังคับให้ นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมอบตำแหน่งต่อให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
รัฐประหารครั้งที่ 5 เกิดขึ้นเมื่อ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 นำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง
รัฐประหารครั้งที่ 6 เกิดขึ้นเมื่อ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นการปิดตำนานคณะราษฎร์ธิปไตยอย่างสมบูรณ์ หลังจากคณะราษฎร์ครอบงำอำนาจนานถึง 25 ปี
………………………………………………………………….
ตกลงใครคือนักประชาธิปไตย ใครทำรัฐประหาร
ไม่มีนักนักประชาธิปไตยที่ไหนในโลกที่แก้ปัญหาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยด้วยการทำรัฐประหาร นอกจากคณะราษฎรธิปไตย
หลังจากปล้นพระราชอำนาจ ด้วยการอ้างประชาธิปไตย คณะราษฎรทำอะไรกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และทำอะไรกับบ้านเมือง
………………………………………………………………….
ช่วงที่ 2
หลังจากคณะราษฎรหมดอำนาจ เกิดการรัฐประหารโดยกองทัพอีก 6 ครั้ง ในรอบ 34 ปี คือตั้งแต่ 2500- 2534
………………………………………………………………….
ช่วงที่ 3
ตั้งแต่ 2534 – 2565 ซึ่งเป็นช่วงที่ประชาธิปไตยเบ่งบาน แต่ยังเกิดรัฐประหาร 3 ครั้ง ในรอบ 29 ปี
รัฐประหารทั้ง 3 ในช่วงที่ 3 นั้นเกิดในช่วงรัฐบาลประชาธิปไตยที่เบ่งบาน โดยมีนักการเมืองอาศัยประชาธิปไตยบังหน้าหากิน เกิดการคอรัปชั่นครั้งใหญ่ในรัฐบาลชาติชาย รัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนสถานการณ์บ้านเมืองถึงทางตัน จนกองทัพต้องใช้การทำรัฐประหารเป็นทางออก
หากนักการเมืองไม่คอรัปชั่น กองทัพก็หมดข้ออ้างหรือไม่มีความจำเป็นในการทำรัฐประหาร
ถ้าเราลองเอามาเปรียบเทียบดู
25 ปีแรก คณะราษฎรก่อรัฐประหารไปถึง 5 ครั้ง
34 ปีต่อมา ทหารทำรัฐประหารไป 6 ครั้ง
29 ปี เกิดรัฐประหาร 3 ครั้ง ที่เกิดจากจากนักการเมืองโกงกินสุดซอยจะเห็นได้ชัดเจนว่า
ตลอดเวลา 25 ปีที่คณะราษฎรครอบครองอำนาจนั้น คณะราษฎรก่อรัฐประหารถึง 5 ครั้ง ซึ่งเป็นความถี่ในการทำรัฐประหารสูงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
การก่อรัฐประหารของคณะราษฎรกลายมาเป็นโมเดลหรือต้นแบบของรัฐประหารตลอดมา นี่แหละหนึ่งในมรดกของคณะราษฎร
หลังจากก่อการปฏิวัติเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 สำเร็จแล้ว คณะราษฎร ไม่ได้ยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์แล้วมอบให้กับประชาชน เพราะประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้หนังสือ ยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ดังนั้นอำนาจอธิปไตยซึ่งควรจะเป็นของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย กลับไปตกอยู่ในมือคณะราษฎร์เพียงกลุ่มเดียว
ทรัพย์สมบัติของสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ คณะราษฎร์ก็ไม่ได้ยึดมาเป็นสมบัติของชาติ แต่ยึดเอาไปเป็นของตนเองและพวกพ้อง
คณะราษฎรครอบครองอำนาจอยู่นานถึง 25 ปี และตลอดเวลา 25 ปีนั้น เกิดการแย่งชิงอำนาจกันเอง ด้วยการก่อการรัฐประหารถึง 5 ครั้ง
การปฏิวัติเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 เป็นการชิงสุกก่อนห่าม เนื่องจากประชาชนยังไม่พร้อมสำหรับการปกครองตนเอง ถือเป็นการติดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก
แล้วหลังจากปล้นพระราชอำนาจไปแล้ว ก็แย่งชิงอำนาจและทรัพย์สินสมบัติ
ไม่ใช่การยึดพระราชอำนาจมาให้ประชาชน ไม่ใช่การยึดทรัพย์สมบัติให้ตกเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน
แต่ยึดอำนาจและทรัพย์สินสมบัติ ไปเป็นของตนเองและพวกพ้อง
ซึ่งทำให้ประเทศเสียโอกาศในการพัฒนาประเทศไปถึง 25 ปี
………………………………………………………………….
ใครทำลายประชาธิปไตย กองทัพ คณะราษฎรหรือนักการเมืองขี้โกง
ถ้าบอกว่ากองทัพทำชาติล้าหลังเพราะ
รัฐประหาร
แล้วคณะราษฎรกับนักการเมืองขี้โกง ที่ใช้คำว่าประชาธิปไตยบังหน้า เป็นนักประชาธิปไตยหรือนักกินบ้าน ปล้นเมือง
90 ปี จากวันปล้นชาติ ยึดพระราชอำนาจ ยึดทรัพย์สิน เมื่อได้ทั้งอำนาจและทรัพย์สินแล้วยังแย่งชิงอำนาจกันเอง
ทำให้ประเทศไทยถูกกักขังในวังวนำรัฐประหาร ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมไม่ได้รับการแก้ไข ประเทศเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศไปเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ทำไมไม่พูดถึง
การก่อรัฐประหารของคณะราษฎรกลายมาเป็นโมเดลหรือต้นแบบของรัฐประหารตลอดมา นี่แหละหนึ่งในมรดกของคณะราษฎร
………………………………………………………………….