“อำนาจ ศรัทธา อนาคต” ของใคร หลอกได้แต่คนพิการที่มีนิ้วไม่ครบมือ“
อัษฎางค์ ยมนาค: รายงาน
……………………………………………………………………….
เมื่อหนังของธนาธรเจ๊งไม่เป็นท่า
ทั้งที่พยายามจะจุดกระแส แต่ไม่ติด
แต่เฮือกสุดท้าย “มติชน” ซึ่งมีนางสมพร แม่ของธนาธรถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับ 2 ยังมีความพยายามที่จะช่วยธนาธรโปรโมทหนังที่ล้มแบบหมดท่าไปเรียบร้อย ด้วยการไปลากเอาจดหมายของ ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล ซึ่งก็เป็นพันธมิตรของธนาธร ที่ได้ตั้งคำถามไว้ 2-3 ข้อ ว่าด้วยภาพยนตร์สารคดีการเมืองเรื่อง “Breaking the Cycle” จะให้อ่านชื่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ว่ายังไง
อ.ธงชัยกล่าวว่า ต้องไม่อ่านคำว่า “อำนาจ” เพราะคำว่า อำนาจ มีการขีดฆ่า ทำให้ชื่อของภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็น “ศรัทธา อนาคต”
หรือต้องอ่านคำว่า “อำนาจ” ด้วย เพราะความจริงชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้คือ “อำนาจ ศรัทธา อนาคต“
และยังมีการปิดท้ายด้วยคำถามว่า ถ้าภาพยนตร์นี้ออกฉายก่อนการเลือกตั้ง 2566 จะเป็นยังไง?
ซึ่งคอมเมนท์ของโพสต์ข่าวของมติชนนี้มีคนไปคอมเมนท์ไม่มาก หรือจะเรียกว่าน้อยมากก็ได้ แต่ผมไปเห็นมีอยู่หนึ่งคอมเมนท์ที่น่าสนใจมาก ซึ่งเป็นคอมเมนท์ของ อาจารย์ LIZ ที่ตอบคำถาม อ.ธงชัย และผู้ที่มี ”อำนาจ ศรัทธา อนาคต“ อย่างธนาธรได้อย่างชัดเจน ระดับที่เรียกว่าหน้าหงาย
……………………………………………………………………….
อาจารย์ LIZ ยกเรื่องหุ้น พร้อมกราฟและตัวเลข ซึ่งเป็นหลักฐานทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่วัดค่าได้เที่ยงตรงและเป็นข้อเท็จจริง ที่ไม่สามารถเบี่ยงเบนได้ว่า…..
ตั้งแต่เลือกตั้งเสร็จ โลกโซเชียลก็แชร์ข้อสังเกตเรื่องหุ้นตกกันหนาตาและต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
การซื้อขายหุ้นมีการไหวตัวอย่างรวดเร็วบนความคาดหวังทางเศรษฐกิจอันมีผลมาจากรูปโฉมการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญ
ประเด็นสำคัญที่สื่อโดยกราฟนี้คือ การเพิ่มขึ้นของจำนวนนักลงทุน ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่สมัย คสช. และสูงชันขึ้นเป็นพิเศษในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (ทีีผ่านการเลือกตั้ง)
แม้แต่ในช่วงหลังวิกฤติโควิด ก็ยังสวนกระแสการปรามาสทิ่มแทงใส่ความของกลุ่มการเมืองฝั่งตรงกันข้าม
ซึ่งน่าจะหมายความว่า บุคคลเกรดนักลงทุนไม่ตกเป็นเหยื่อทางสติปัญญาของกลุ่มการเมืองบิดเบือนหลอกลวงประชาชน
ในปี ๒๐๒๒ เกิดประเด็นขึ้นในสังคมว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯครบ ๘ ปีและน่าจะต้องหมดวาระการเป็นนายกฯ จำนวน active account ก็หักกลับและเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง
ต่อมาเมื่อเกิดการรับรู้ว่านายพิธาน่าจะเป็นนายกฯ การรับรู้ว่าพรรคเพื่อไทยได้ฟอร์มรัฐบาล การได้นายเศรษฐาเป็นนายกฯ (ส.ค. ๒๐๒๓) ตลอดช่วงเหล่านี้ active account ลดลงอย่างต่อเนื่อง ใกล้จะกลับไปอยู่ในระดับก่อนที่จะพุ่งสูงชันขึ้นมา
อ่านรายละเอียดทั้งหมดของอาจารย์ LIZ ได้ที่นี่ : https://www.facebook.com/share/uoxqFUBCSD8noxtB/?mibextid=WC7FNe
……………………………………………………………………….
มันแปลว่าอะไร
มันแปลว่า นักลงทุน (ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องปากเรื่องท้อง อย่างดียิ่งกว่าใคร) มองว่าฝ่ายที่อ้างประชาธิปไตยเหล่านั้น ไม่มีศักยภาพพัฒนาเศรษฐกิจให้ดีได้ ??
หรือ พูดอีกทีได้ว่า นักลงทุน ไม่ไว้ใจและไม่เชื่อว่า พิธาและพรรคก้าวไกล รวมทั้งเศรษฐาและพรรคเพื่อไทย ว่าจะมีศักยภาพ หรือมีฝีมือในการพัฒนาประเทศ ได้เท่ากับรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์
โดยสามารถอ้างอิงตัวเลขและกราฟได้อย่างชัดเจนว่า นับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศ หุ้นก็ไต่ขึ้นเรื่อยๆ จนสูงชันและติดลมบนตลอดสมัย แต่หุ้นก็กลับมาล่วงอย่างรวดเร็วหลังจาก รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์หมดวาระ และหุ้นยิ่งร่วงหนักแบบดิ่ง เมื่อรู้ว่า พิธาและก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง ต่อเนื่องถึงพรรคเพื่อไทยได้ตัดตั้งรัฐบาล
ซึ่งก็แปลได้ต่อไปว่า นักลงทุน ไม่โดนไอ้พวกนักการเมืองกลุ่มนี้หลอกได้เหมือนพวกที่ชอบชูสามนิ้ว
พวกที่ชอบชูสามนิ้วที่อ้างว่ารักชาติ รักประชาธิปไตย แต่กลับเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญยังวินิจฉัยว่า พระมหากษัตริย์และชาติ คือเนื้อเดียวกัน กล่าวคือ คำว่าชาติก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์ และคำว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ก็คือชาติ
ดังนั้น การเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็เท่ากับการเป็นปฏิปักษ์ต่อชาติ
พวกที่ชอบชูสามนิ้วที่หลอกกันเองว่ารักชาติ ทั้งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเท่ากับการเป็นปฏิปักษ์ต่อชาติ ย่อมหมายความว่า ไม่ได้รักชาติ
มุ่งทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็เท่ากับการมุ่งทำลายชาตินั่นเอง
……………………………………………………………………….