โดย อัษฎางค์ ยมนาค
“สายลับสองหน้าผู้สวมหน้ากากนักบุญ”
จากมิชชั่นนารี ในอดีต สู่ NGO ในปัจจุบัน
…………………………………………………………………….
มิชชันนารี (Missionary) คือ สมาชิกองค์การทางศาสนา ที่ถูกส่งไปยังต่างแดนเพื่อทำการประกาศและเผยแพร่ศาสนา
บาทหลวงหรือนักสอนศาสนาคริสต์ในยุคของนักล่าอาณานิคมชาติตะวันตก คือมิชชันนารีที่เข้ามาในประเทศไทย ด้วยภารกิจที่นอกจากการเผยแผ่ศาสนาแล้วยังมีภารกิจอันเป็นประโยชน์แก่ชาวพื้นเมือง ได้แก่ การสอนหนังสือและการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ จนชาวบ้านพากันเรียกมิชชันนารีว่า “หมอสอนศาสนา”
ซึ่งภาระกิจพ่อพระดังกล่าว ได้สร้างคุณูปการให้กับท้องถิ่น และสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับรัฐบาลและคนท้องถิ่น
แต่นอกจากภาระเบื้องหน้าเป็นสายนักบุญแล้ว คนเหล่านี้ยังมีภารกิจเบื้องหลังสายดาร์ก เป็นสายสืบหรือสายลับที่ทำงานลับๆ เพื่อหาข่าวคราวความเคลื่อนไหวภายในประเทศส่งกลับไปประเทศของตน โดยหวังผลประโยชน์ทางการเมืองระหว่างประเทศ
โดยการลักลอบ สื่อค้นและนำข้อมูลไปเผยแพร่ในประเทศของตนนั้น ใช้วิธีการหลายรูปแบบอย่างแนบเนียน ทั้งที่ได้มาจากการสังเกตเอาเอง จากคำบอกเล่า การจดไดอารี่ การลงพื้นที่ การสเก๊ตช์ภาพ หรือภาพถ่าย การจดจำรวมไปถึงการซื้อข้อมูล
ซึ่งสายลับสองหน้าที่เข้ามาเมืองไทยด้วยวาระซ้อนเร้นนี้มิได้มีอยู่ในวงการของมิชชันนารีเท่านั้น ยังมีบุคคลกลุ่มอื่นๆ อีกด้วย อาทิ นักเผชิญโชค นักสำรวจ นักท่องเที่ยว และนักการทูต
…………………………………………………………………….
ในที่นี่ขอยกตัวอย่าง นายชาร์ลส์ เดอ มงตีญี่ ราชทูตฝรั่งเศส ผู้ที่เข้ามาทำสนธิสัญญาการค้ากับสยามในสมัยรัชกาลที่ 4 หลังจากนั้นก็ได้ขออนุญาตเดินไปเยือนเขมร ประเทศราชของสยาม
แล้วในเวลาต่อมา เขาคือคนแรกที่เสนอให้รัฐบาลฝรั่งเศสเป็นผู้คุ้มครองอินโดจีน ซึ่งหมายความว่า เขาเป็นคนที่ปูทางและชักจูงให้ฝรั่งเศสขยายอิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคนี้
สายลับในคราบนักบุญคนสำคัญคนต่อมาคือ “บาทหลวงปาเลกัวซ์” โดยเขาเข้ามาฝั่งตัวอยู่ในสยามถึง 30 ปี และคลุกคลีกับคนไทยจนสามารถวิเคราะห์เจาะลึกลักษณะนิสัยของคนไทยและประเทศสยามอย่างทะลุปรุโปร่ง
แล้วถ่ายทอดออกมาเป็นคัมภีร์ที่เผยโฉมหน้าสยาม ภายใต้ตำราชื่อว่า “ Description de Royaume Thai ou Siam “ ให้กับรัฐบาลของตนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
คัมภีร์เล่มนี้เป็นบันทึกการเดินทางที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะเป็นคัมภีร์ที่บรรจุรายละเอียดของภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมืองและการปกครองของสยามประเทศ ที่ครบจบจริง
…………………………………………………………………….
ผมขอยกตัวอย่างข้อมูลในคัมภีร์สยาม ที่ไม่ได้เป็นเพียงการจดบันทึก แต่มีบทวิเคราะห์ถึงจารีตประเพณี รวมทั้งแง่มุมทางการเมืองการปกครอง และรัฐบรรณาการของสยาม โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า…
“ในบรรดากษัตริย์ในประเทศเล็กรัฐน้อยที่เป็นเมืองขึ้นของสยาม อาทิ เขมร ลาว ลานนา สิบสองปันนาและมลายู ต่างมีข้อผูกมัดในการแสดงตนว่าเป็นประเทศราช ด้วยการส่งต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง 3 ปีต่อครั้งเท่านั้น”
ซึ่งข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์วิจารณ์นี้ คือข้อมูลที่เปิดเผยจุดอ่อนและช่องโหว่ของการปกครองประเทคราชของสยาม
ที่ถูกส่งตรงไปถึงมือพระเจ้านโบเลียนที่ 3 ของฝรั่งเศส ผู้กระหายอำนาจ พร้อมแผนที่สยามประเทศที่ถูกเขาเขียนขึ้นเอง และได้รับการอุปโลกน์เป็นแผนที่ประเทศไทยสมัยใหม่ฉบับแรกไปโดยปริยาย
แผนที่ดังกล่าวยังนำ เจ้าชายอองรี เข้ามาสู่ภูมิภาคสยามและอินโดจีน และสร้าข้อมูลทางลบให้รัฐบาลฝรั่งเศสใช้ในการสร้างสถานการณ์จนเกิดวิกฤติ ร.ศ.112 ที่นำไปสู่การเสียดินแดนของสยามในเวลาต่อมา
ซึ่งในที่สุดอินโดจีน อันประกอบด้วย เวียดนาม เขมรและลาว รวมทั้งสิบสองปันนา ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของสยามมาก่อนต้องตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ด้วยเลห์กลทางการเมืองของฝรั่งเศส ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากภาระกิจสายลับสองหน้านั้นเอง
…………………………………………………………………….
NGO สายลับหน้ากากนักบุญยุคดิจิตอล
NGO ก็มีภารกิจเบื้องหน้าและเบื้องหลังที่ไม่ได้ต่างไปจากมิชชั่นนารี ในยุคสมัยที่ผ่านพ้น กล่าวคือ…
NGO มีเบื้องหน้าเป็นนักบุญ นักสังคมสงเคราะห์ นักสิทธิมนุษยชน ที่คลุกคลีอยู่วงในอย่างใกล้ชิดกับชาวบ้านโดยเฉพาะคนรากหญ้า
แต่เบื้องหลังก็เป็นสายลับซีไอเอภาคพลเมือง ที่มีภารกิจทั้งหาข่าวและปล่อยข่าว ที่เป็นผลประโยชน์ทางการเมืองต่อรัฐบาลของตนเอง
พวกเราอาจไม่เคยรู้ความจริงหลายอย่างของ NGO ที่ผมได้ข้อมูลจากเพื่อนที่ทำงานเป็นผู้บริหารระดับสูงอยู่ในวงการ NGO เล่าให้ฟังว่า
เงินบริจาคที่ได้รับจากพวกเราประชาชน 100 บาท
ถูกนำไปใช้เป็นค่า operation (คือค่าดำเนินการและค่าบริหาร) ทั้ง 100 บาท โดยแบ่งเป็น
• เงินเดือน 70 บาท
• สวัสดิการ 30 บาท
คนที่ทำงานใน NGO ที่เราเห็นเขาแต่งตัวเหมือนศิลปินเพื่อชีวิต เราไม่เคยรู้เลยว่าเขามีเงินเดือนมหาศาล
แถมด้วยสวัสดิการสุดไฮโซ ที่เบิกได้ทั้งค่าบ้าน ค่ารถ ค่าเรียนลูกจนจบปริญญาตรี ค่าหาหมอแบบ No limit ไม่จำกัด ค่าประกันเป็นล้าน และอีกหลายค่าสารพัด แถม…ภาษีไม่ต้องจ่าย องค์กรจ่ายให้เอง
ช่วงวิกฤตโควิดตลอดเวลาปีกว่าที่ผ่านมา หลายคน work from home หลายคนตกงาน หลายคนโดนลดเงินเดือน
ส่วนพนักงานของ NGO ไม่โดนปลด ไม่โดนลดเงินเดือน แต่ work from home ด้วยภาระกิจแซะรัฐบาลและสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมเงินเดือนและสวัสดิการอู้ฟู่ครบทุกบาททุกสตางค์เหมือนเดิม
ทั้งหมดทุกค่าที่กล่าวมานั้น มาจากเงินบริจาคของประชาชนทั้งหมดทุกบาททุกสตางค์
ซึ่งมันแปลว่า “เงินที่เราตั้งใจบริจาคเพื่อทำบุญ ไม่เคยตกถึงผู้ด้อยโอกาส” อย่างที่เราตั้งใจอธิษฐานตอนบริจาคเงิน
มันหมายความว่า เราบริจาคเงินให้ NGO แต่ NGO เอาเงินบริจาคทั้งหมดนั้นไปจ่ายให้ พนักงานของ NGO มีกินมีใช้อย่างอู้ฟู่สะดวกสบาย
แม้แต่คนในองค์กร NGO ยังบอกเพื่อนฝูงครอบครัวว่าอย่าบริจาคให้ NGO
…………………………………………………………………….
คำถามคือ
แล้ว NGO เอาเงินที่ไหนไปทำ program หรือ project ทำสังคมสงเคราะห์?
คำตอบคือ
ไปขอตามทุนต่างๆ ที่เรียกว่า grant management เช่น กองทุนของ เช่น bill gates หรือ USAID
…………………………………………………………………….
และก็เหมือนกับในยุคก่อนที่นอกจากจะมีมิชชันนารีแล้วยังนักเผชิญโชค นักการทูต และนักอื่นๆ ที่เป็นสายลับสองหน้าที่สวมหน้ากากนักบุญ
ยุคนี้ก็เช่นกัน
ลุงและรัฐบาลของลุง ต้องเอาจริงกับพวก UN Embassy และ NGO เสียที
คนในองค์กรเหล่านี้ ด่ารัฐบาล ด้อยค่า เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดเวลาที่อยู่ในออฟฟิศ และออกไปล้างสมองชาวบ้านทุกวัน เพื่อให้ชาวบ้านกลับมาลุกฮือเพื่อล้มรัฐบาล ลามไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์และมุ่งหวังล้มล้างการปกครอง