โดย อัษฎางค์ ยมนาค
“สยามภายใต้การปกครองของราชวงศ์จักรี”
ตอนที่ 1: รบกับฝรั่งด้วยชั้นเชิงทางการทูต
วันนี้ในอดีต วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๐๐
คณะราชทูตชุดแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์เยือนสหราชอาณาจักร
คณะราชทูตชุดแรกประกอบด้วยพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) เป็นหัวหน้าคณะราชทูตเจ้าหมื่นสรรเพชญภักดี เป็นอุปทูต หมื่นมณเฑียรพิทักษ์ เป็นตรีทูต
โดยมีหม่อมราโชทัยเป็นล่ามหลวงของคณะทูต ที่เขียนบันทึกการเดินทางไปลอนดอนเรื่อง นิราศลอนดอน
นับเป็นคณะทูตชุดแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ได้นำพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการไปถวาย สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร
……………………………………………………………………..
“เมื่อชาวตะวันตกรุกฆาตตะวันออก”
ตั้งแต่สมัยโบราณ ชาวตะวันตกรู้จักและให้ความสนใจแค่อินเดียและจีน 2 มหาอำนาจในดินแดนตะวันออกไกลเท่านั้น
จุดเริ่มต้นจริงๆ ที่ทำให้ประเทศในดินแดนในแหลมอินโดจีนโดนคุกคาม นั้นมาจากพม่าที่เริ่มต้นไปกระตุกหนวดเสือ เพราะพม่าคิดว่าตัวเองเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ที่มีอิทธิพลอยู่ในแถบนี้ จึงส่งกองทัพไปบุกโจมตีเพื่อจะขยายอำนาจเข้าไปในเบงกอล ซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐอิสระในเขตอิทธิพลของอังกฤษในอินเดีย
แต่สงครามจบลงด้วยการพ่ายแพ้อย่างยับเยินของพม่า และที่สำคัญคือการทำให้อังกฤษสนใจจะขยายอำนาจจากอินเดียที่ตนครอบครองอยู่แล้ว เข้ามาสู่พม่าและดินแดนถัดไปในแหลมอินโดจีน ที่มีไทยอยู่ในจุดศูนย์กลาง
ส่วนฝรั่งเศสที่เข้ามาที่หลัง จึงทำทุกอย่างเพื่อจะขยายอำนาจเข้าสู่ภูมิภาคนี้ โดยไม่สนใจวิธี จนไม่เหลือคราบผู้ดี
ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ล้านช้าง (ประเทศลาว) เขมร และตอนบนของแหลมมาลายู เป็นเมืองขึ้นของไทย
ล้านนานั้นฝรั่งเรียกว่า Siamese Shan States คือเป็นรัฐฉานที่ปกครองโดยสยาม
ถัดขึ้นเหนือไปจากล้านนา คือดินแดนที่ไทยเรียกว่า สิบสองปันนา เป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมดินแดนทางใต้ของจีนและทางเหนือของพม่า ไทย ลาว ฝรั่งเรียกดินแดนสิบสองปันนานี้ว่า Independence Shan States รัฐอิสระฉาน หรือเขตปกครองตนเองรัฐฉาน ซึ่งสิบสองปันนานี้เป็นดินแดนแห่งปัญหาว่าใครคือเจ้าประเทศราชตัวจริง ระหว่างจีน พม่าและไทย
ส่วนรัฐฉานที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นดินแดนการปกครองชาวไทใหญ่นั้นอยู่ทางตอนเหนือของพม่า
…………………………………………………………………….
“สยามภายใต้การปกครองของราชวงศ์จักรี”
ก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ พม่าคือชาติมหาอำนาจในดินแดนแถบนี่ แล้วเวลาผ่านไปพม่าก็เริ่มเสื่อมลง แต่พม่ายังคงเข้าใจว่าตัวเองยิ่งใหญ่
เมื่ออังกฤษมีอำนาจเหนืออินเดีย พม่าจึงลองของ หวังจะแสดงฤทธานุภาพ
เช่นเดียวกับจีน ที่ ณ เวลานั้นความยิ่งใหญ่จากยุคที่เคยเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกในอดีต ทำให้จีนยังคงลำพอง ทั้งๆ ที่ไม่เคยพัฒนาอะไรใหม่ขึ้นมาเลย
ผิดกับชาติตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมสำเร็จ จนเป็นผู้นำแห่งเทคโนโลยี
เมื่ออังกฤษมาถึง ทั้งจีนและพม่าจึงพ่ายแพ้อย่างยับเยิน เพราะประเมินตัวเองสูง แต่ประเมินอังกฤษไว้ต่ำ
ในขณะที่ไทยเรา หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตก แล้วสมเด็จพระเจ้าตากสินมากู้แผ่นดิน ตามต่อมาด้วยพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ที่ตั้งใจทะนุบำรุงบ้านเมือง
ก่อนรัชกาลที่ 3 จะสวรรคต ได้สั่งเสียไว้ว่าการสงครามกับพม่ารามัญและประเทศเพื่อนบ้านกำลังจะหมดไป ในภายภาคหน้าต่อไปให้ระวังภัยจากชาติตะวันตก
ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์เป็นช่วงเวลาที่ฝรั่งเริ่มขยายอำนาจเข้ามา ซึ่งไทยก็เริ่มก่อร่างสร้างตัว
หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกเพราะพม่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมากอบกู้บ้านเมืองกลับมาอีกครั้ง
รัชกาลที่ 1 สร้างบ้านสร้างเมืองจนสยามมีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
รัชกาลที่ 2 สังคายนาศิลปวัฒนธรรมจนรุ่งเรือง
รัชกาลที่ 3 เศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศรุ่งเรืองถึงขีดสุด
รัชกาลที่ 4 นำพาประเทศสู่ความทันสมัยของโลกใหม่จากดินแดนตะวันตก
พอถึงรัชกาลที่ 5 สยามก็เป็นประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชียไปแล้ว
นับจากเสียกรุงฯ สยามใช้เวลา 6 รัชกาล 2 ราชวงศ์ ฟื้นฟูประเทศจนกลับมายิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่เฉพาะในภูมิภาคอุษาคเนย์ แต่เป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชาติหนึ่งในเอเชีย
…………………………………………………………………….
วิกฤตคือโอกาส
ภัยคุกคามจากชาติมหาอำนาจจากยุโรปที่มีวิทยาการอันทันสมัย ทำให้พระมหากษัตริย์ไทยใช้วิกฤตนี้เปลี่ยนไทยจากชาติที่ล้าหลังให้กลายเป็นประเทศที่ทันสมัยที่สุดในเอเชียชาติหนึ่งได้สำเร็จ
ในหลวงรัชกาลที่ 4 บวชเรียนอยู่หลายสิบปี ศึกษาศิลปวิทยาทั้งไทยและเทศ จนเป็นปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
เมื่อขึ้นครองราชสมบัติก็จ้างฝรั่งมาทำงาน รวมทั้งจ้างฝรั่งมาสอนภาษาและศิลปวิทยาการสมัยให้กับพระราชโอรสและพระราชธิดา ข้าราชบริพาร
สงครามสุดท้ายกับเพื่อนบ้านจบลงเมื่อต้นรัชกาลที่ 4 หลังจากนั้นไทยเราก็เจอศึกที่หนักหนาทึ่สุดในประวัติศาสตร์ นั้นคือภัยคุกคามจากประเทศมหาอำนาจจากยุโรปที่มีแสนยานุภาพที่ล้ำสมัย เกินกว่าไทยหรือชาติใดๆ ในเอเชียจะรับมือได้
กลยุทธ์ที่พระมหากษัตริย์ไทยนับตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 5 ใช้ในการรับมือชาติมหาอำนาจไม่ใช่การรบด้วยกองทัพ แต่เป็นการทูตระหว่างประเทศ ที่ทรงมีพระปรีชาสามารถยิ่งกว่าชาติใดในเอเชีย
วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๐๐ วันนี้ในอดีตคือวันที่คณะราชทูตชุดแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์เยือนสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการรบกับชาติมหาอำนาจด้วยกระบวนการทูต ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ และทำให้ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลก ที่รอดพ้นการเป็นเมืองขึ้นอาณานิคมของฝรั่ง ได้อย่างอัศจรรย์
…………………………………………………………………….
รบกับฝรั่งด้วยชั้นเชิงทางการทูต
ในขณะที่จีน ซึ่งเคยเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ของเอเชียและของโลก และพม่าชาติที่มีกองทัพมึ่เกรียงไกรในภูมิภาคนี้ต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน
วันที่พม่าเสียเมือง คณะราชทูตไทย และคณะราชทูตพม่าอยู่ที่อังกฤษเรียบร้อยแล้ว แต่พม่าเดินเกมการเมืองผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น ยากจะเยียวยา
วันนั้น คณะราชทูตพม่า ประเทศที่เคยเป็นศัตรูสู้รบกันมาหลายร้อยปี ยังไม่ทันมีโอกาสจะเข้าเจรจาการทูต เพราะพม่าเสียเมืองให้อังกฤษไปเสียก่อนแล้ว จึงมาขอเข้าพบเพื่อปรับทุกข์กับคณะราชทูตของไทย
คณะราชทูตพม่าต้องมานั่งร้องไห้เสียใจกับคณะราชทูตของไทย กับการเสียเมืองในคราวนั้น
ในขณะที่คณะราชทูตไทยประสบความสำเร็จในการเจริญสัมพันธไมตรี
อังกฤษไม่คุยกับทูตพม่าเลย เพราะถือว่าพม่าคือเมืองขึ้นของอังกฤษ ในขณะที่ไทยกลายเป็นประเทศคู่ค้ามหามิตรจากตะวันออกไกลของอังกฤษ
การดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลพม่า ทำให้รัฐน้อยใหญ่ภายใต้การปกครองของพม่าพลอยล่มสลายไปด้วย
…………………………………………………………………….
ตอนจบของเรื่องนี้เป็นอย่างที่เรารู้กันดี ว่าพม่าเสียเมือง สิ้นแสงฉาน แต่สยามยังอยู่ยั้งยืนยงคงเอกราชเอาไว้ได้จนถึงปัจจุบันนี้
ก็เพราะพระบารมี พระปรีชาสามารถ และพระวิริยอุตสาหะในการบำนุบำรุงชาติและประชาชนของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีทุกพระองค์
เกิดเป็นไทยแล้ว ต้องรู้คุณแผ่นดิน ต้องรู้คุณพระมหากษัตริย์ไทย อย่าได้ให้ใครมาทำร้ายลูกหลานเหลนโหลนของราชวงศ์จักรี ที่ทุ่มเททุกอย่างให้คนไทยมีแผ่นดินอยู่ได้อย่างผาสุกมาถึงทุกวันนี้
…………………………………………………………………….
ผู้นำของชาติในอดีตคือพระมหากษัตริย์ แต่หลังจาก 2475 ก็เปลี่ยนไปเป็นนายกรัฐมนตรี
ผู้นำของชาติทั้งในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์และยุคประชาธิปไตย บางช่วงเวลาต้องเป็นผู้นำกองทัพ บางช่วงเป็นผู้นำที่เชี่ยวชาญทางรัฐศาสตร์-นิติศาสตร์ บางช่วงเป็นผู้นำที่เชี่ยวชาญในศิลปวิทยาการ บางช่วงเป็นผู้นำที่เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ และบางช่วงเป็นผู้นำที่เชี่ยวชาญทางการทูตและกิจการระหว่างประเทศ
ผมเชื่อเหลือเกินว่า ยุคปัจจุบันเรากำลังถูกคุกคามในลักษณะใกล้เคียงกับยุคสมัยของรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ที่เราต้องการผู้นำที่ต้องเชี่ยวชาญทางการทูตและกิจการระหว่างประเทศ
การเดินเกมทางการเมืองเพื่อช่วยชิงความเป็นใหญ่ในภูมิภาคต้องอาศัยชั้นเชิงทางการทูตเท่านั้น ถึงจะพาชาติพ้นภัย
โปรดติดตามตอนต่อไป
…………………………………………………………………….
ภาพประกอบ : คณะราชทูตไทย