“มาปลูกต้นไม้ ในใจกัน”
โดย อัษฎางค์ ยมนาค
ตอนที่มาถึงออสเตรเลียใหม่ๆ ผมมาเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ และในห้องเรียนมีเด็กไทยอยู่ด้วยกัน ๒-๓ คน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กผู้ชายที่มีอายุรุ่นน้องผมเล็กน้อยอยู่คนหนึ่งซึ่งเคยไปอยู่ที่ประเทศ…… (แบบผิดกฎหมาย) เพื่อทำงานและส่งเงินกลับไทย แต่หลังจากต้องกลับไปอยู่เมืองไทยก็กลับไปประเทศ…… ไม่ได้ เลยทำวีซ่านักเรียนเพื่อมาทำงานออสเตรเลีย
ด้วยประสบการณ์ที่เคยหางานและทำงานในประเทศ…… มานานคงทำให้เด็กไทยคนนี้หางานทำได้ตั้งแต่แรก ผิดกับผมใช้เวลาอยู่นานหลายเดือนกว่าจะได้งานพิเศษทำหลังเลิกเรียน การมีงานทำหลังเลิกเรียนจะทำให้มีเงินมาช่วยค่าใช้จ่ายบ้าง
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ผมมักบอกตัวเองเสมอว่า เราต้องทำกับคนอื่นเหมือนกับที่เราอยากให้เขาทำกับเรา และจะไม่ทำสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบกับคนอื่นเด็ดขาด มีตัวอย่างหนึ่งซึ่งเป็นประสบการณ์ที่พยายามจะลืม แต่กลับไม่เคยลืมเลย คือ
เพื่อนคนไทยที่เคยไปทำงานอยู่ที่ประเทศ…… คนนั้นและมาเรียนอยู่ห้องเดียวกันนั้น เขาไปอยู่ประเทศ…… มานานตั้งแต่เด็กๆ จนพูดภาษาของประเทศ…… ได้อย่างดี แต่เขาไม่ได้ภาษาอังกฤษ
ด้วยความที่เรานั่งติดกันในห้องเรียนเสมอ ผมก็คอยบอกทุกอย่าง อย่างใจเย็นเสมอ พอจะนึกภาพออกมั้ยว่า คนที่ไม่ได้ภาษาอังกฤษเลย เหมือนคนที่แทบไม่ได้เรียนมาเลยน่ะ เขาจะถามทุกๆ อย่าง เหมือนจะถามศัพท์ทุกตัว ถามทุกบรรทัด แต่ผมก็ใจเย็นช่วยทุกอย่างที่เราช่วยได้ โดยไม่ได้คิดอะไรเลย
จนเราเหมือนจะเป็นเพื่อนที่สนิทกัน และเขาก็ออกปากชวนให้ไปทำงานที่ร้านอาหารเพราะที่ร้านขาดคนพอดี แต่พอผมไปทำงานกับเขา มันก็เกิดสถานการณ์ที่สลับขั้วกันทันที เพราะผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับร้านอาหารเลย อยู่บ้านที่เมืองไทยก็ไม่เคยทำอะไร ยังไม่รู้จักว่าอันไหนขิงอันไหนข่า
ส่วนเค้ากลายเป็นคนเก่ง ฉลาด เป็นคนที่รู้งานทุกอย่าง แต่เขาไม่ได้ใจเย็นที่จะสอนงานเรา เหมือนอย่างที่เราใจเย็นสอนหนังสือเขามาตลอดเวลาที่ผ่านมาเลย
ผมไปฝึกงาน โดยเจ้าของร้านให้เจ้าเพื่อนคนนี้คอยเป็นพี่เลี้ยงได้เพียงแค่วันที่ ๒ ผมก็ขอกลับบ้าน เพราะเราเหมือนเป็นคนโง่ ที่คอยถ่วงให้งานของเขาไม่ราบรื่น
มันไม่เหมือนกับตอนที่อยู่ในห้องเรียน ที่เราไม่เคยทำให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นคนโง่ ไม่เคยคิดว่าเขาเป็นตัวถ่วงเลย ไม่ว่าอาจารย์จะสอนไปไกลขนาดไหน ไม่ว่าเพื่อนๆ ในชั้นจะเลยไปถึงไหนแล้ว เราก็อยู่กับเขา ช่วยให้เค้าผ่านตรงนั้นไปแบบใจเย็นที่สุด ไม่เคยใช้วาจาใดๆ ที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดีเลยสักครั้งเดียว
ตอนนั้นเขาหลุดปากพูดออกมาว่า เขาเจอมาเยอะ เรื่องเลวร้ายทั้งหลาย การถูกตำหนิ การดูถูกจากคนที่สูงกว่า จากคนที่มีอำนาจมากกว่า เพราะฉะนั้นก็สมควรแล้วที่เราจะต้องเจออย่างที่เขาเจอมาบ้าง
ประสบการณ์ชีวิตตรงนี้ทำให้ผมได้แง่คิด ๒ เรื่อง หนึ่งคือ…
ตอนนั้นถึงเข้าใจคำว่า “เราจะเห็นเพื่อน หรือเราจะเห็นใจของคนในตอนที่เราลำบากที่สุด” ขึ้นมาได้ทันที เราอยู่กับเขาตอนที่เขาลำบาก แต่ตอนที่เราลำบาก เขาทิ้งเราเลย (จริงๆ ว่าไปแล้วเจอแบบนี้อยู่เรื่อยๆ)
สองคือ….
คนเราทุกคนไม่มีใครเก่งไปทุกเรื่อง และไม่มีใครที่แย่ไปทุกเรื่อง เราเก่งอย่างหนึ่งเราอาจไม่ได้เรื่องอีกอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง หรือเราไม่ได้เรื่องบางอย่างแต่เราอาจได้เรื่องบางอย่างหรือหลายอย่างก็เป็นได้ เหมือนกับประสบการณ์ตรงในเรื่องที่เล่ามานี้ที่เป็นเรื่องเรียนหนังสือกับเรื่องทำงาน
สิ่งที่เราควรทำเมื่อเรารู้สึกว่าเราทำอะไรไม่ได้เรื่อง เช่น เรียนบางวิชาหรือบางสาขาไม่ได้เรื่อง ทำงานบางอย่างไม่ได้เรื่อง คือเปลี่ยนสาขาที่เรียนหรือเปลี่ยนงาน เอาตัวเราออกจุดที่แย่ๆ แล้วไปหาสิ่งที่เราทำได้ดี
พาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ทำให้เราเป็นที่ ๑ หรือเป็นคนสำคัญ ไปตามหาศักยภาพของตัวเองให้เจอ เพียงแค่นี้เราก็สามารถจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ทุกคนสามารถที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้
ไม่ใช่ว่าจะมีแต่คนที่เป็นหมอ วิศวกร สถาปนิก ทหาร ตำรวจเท่านั้นที่สังคมยกย่องว่าเก่ง นักกีฬา นักดนตรี เจ้าของอู่หรือช่างซ่อมรถ แม่ค้าขายอาหารหรือเจ้าของร้านอาหาร ก็คือคนที่มีฝีมือ มีสติปัญญาและมีทักษะเป็นเลิศตามแบบฉบับของตน ที่ไม่มีใครเหมือนใคร และไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
นอกจากนี้ ประสบการณ์ไม่ดีทั้งหลายมันอาจทำให้เราหดหู่ สิ้นหวัง หมดศรัทธาในตัวเอง หมดศรัทธาในการทำความดี ได้เป็นธรรมดา เพราะเราก็คือมนุษย์เดินดินคนหนึ่ง
ย้อนกลับไปเรื่องของผม
คงเพราะยังมีบุญ หรือไม่ก็คงเพราะผมยังมีพื้นฐานดีๆ ที่โดนปลูกฝังมาตั้งเล็กแต่น้อย เพราะถึงแม้จะเจอประสบการณ์ไม่ดี แต่ก็มีสติขึ้นได้ไว
สติช่วยให้ผมลุกขึ้น สติทำให้ผมไม่ทำตัวเองให้จมลงไปสู่จิตใจที่มัวหม่น
ในช่วงต้นๆ ที่ผมยังเรียนอยู่และทำงานพิเศษหลังเลิกเรียน หลังจากผมปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ในดินแดนใหม่ ทั้งสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน สิ่งแวดล้อมในที่ทำงาน จนผมมีงานทำที่มั่นคงแน่นอน ผมก็ทอดสะพาน ต่อคอนแน็คชั่นกับเพื่อนๆ น้องๆ ทั้งเก่าและใหม่
โดยที่ใครตกงาน ใครหางาน โทรหาผม ไม่ช้าไม่นาน ก็จะได้งานทำ เพราะผมจะเป็นธุระติดตาม ถามไถ่ไปถึงเพื่อนๆ คนอื่นๆ ที่อยู่ในเครือข่ายของเราว่า ที่ไหนหรือใครต้องการคนทำงานหรือไม่
แล้วถ้าใครได้มาทำงานที่เดียวกับผม ผมจะคอยบอกทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความใจเย็น เพราะคนที่ไม่รู้ ไม่ได้แปลว่าเขาโง่ เพียงแต่เขายังใหม่จึงยังไม่รู้ แค่ให้เวลาให้เค้าไปปรับตัว
มันมีสิ่งหนึ่งที่ผมทำเสมอ คือ”การปลูกต้นไม้ในใจตัวเอง” เหมือนกับเพลงๆ หนึ่งที่บอกว่า”รักไม่ได้เป็นเหมือนแก้วบาง ที่แตกแล้วไม่มีวันจะต่อได้อีก แต่รักเป็นดั่งต้นไม้ ที่ยิ่งตัดก็ยิ่งแตกกิ่ง ก้านสาขา มันเหมือนกับการที่ยิ่งให้ ก็ยิ่งได้รับ”
ถ้าใครไปเจอกับเรื่องไม่ดี ได้รับแต่สิ่งไม่ดี ก็มีโอกาสที่เขาเหล่านั้น จะส่งต่อสิ่งไม่ดีนั้นต่อไปให้กับคนอื่น สังคมก็จะเจอแต่สิ่งไม่ดี เจอแต่คนไม่ดี แต่ถ้าเราให้สิ่งดีๆ ออกไป คนที่ได้รับ ก็จะได้ให้สิ่งดีๆ นั้น ต่อๆ ไปอีก
เพราะฉะนั้น “เรามาฝึกปลูกต้นไม้ในใจกัน” ดีมั้ย