“ประชานิยมของระบบทักษิณในรัฐบาลแพทองธาร”
โดย อัษฎางค์ ยมนาค
“ระบอบทักษิณ” (Thaksinism) เป็นคำที่ใช้เรียกแนวทางการบริหารประเทศและนโยบายของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ซึ่งดำรงตำแหน่งในช่วงปี 2544-2549 ก่อนจะถูกยึดอำนาจโดยการรัฐประหารในปี 2549
นโยบายภายใต้ระบบทักษิณเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น
1. นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค เน้นการให้บริการสุขภาพที่เข้าถึงได้สำหรับประชาชนทุกคน
2. โครงการกองทุนหมู่บ้าน เพื่อให้เงินทุนหมุนเวียนในระดับชุมชนและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในชนบท
3. นโยบายเศรษฐกิจพอเพียงในรูปแบบของธุรกิจ
การส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ระบบทักษิณยังถูกมองว่ามีความเป็น “ประชานิยม” เนื่องจากเน้นการพัฒนาประเทศโดยใช้ทรัพยากรและงบประมาณจากภาครัฐเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนโดยตรง เช่น การแจกเงินและการสร้างงานในระดับชุมชน การใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการ และนโยบายที่มุ่งเน้นการสร้างความนิยมในกลุ่มคนชนบท
ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ระบอบทักษิณมองว่านโยบายดังกล่าวทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมในสังคม และเป็นการสร้างฐานเสียงการเมืองผ่านการมอบผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มคนบางกลุ่ม รวมถึงการทุจริตที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่นำไปสู่การรัฐประหารในปี 2549
ส่วนประเด็นที่ว่าทักษิณ ชินวัตร จะมีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังรัฐบาลของแพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของเขาหรือไม่นั้น เป็นข้อสงสัยที่เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะเมื่อครอบครัวชินวัตรมีบทบาทในทางการเมืองมายาวนานและมีกลุ่มผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่ง ซึ่งทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับบทบาทที่แท้จริงของทักษิณในการกำหนดนโยบายของรัฐบาลในยุคปัจจุบัน
ความเป็นไปได้ที่ทักษิณยังมีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง
หลายคนคาดการณ์ว่าทักษิณอาจยังคงมีบทบาทในทางการเมืองอย่างไม่เป็นทางการ เนื่องจากเขามีความสัมพันธ์ทางครอบครัวที่ใกล้ชิดกับแพทองธาร และยังคงเป็นบุคคลที่มีความรู้และประสบการณ์ในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การมีอิทธิพลของทักษิณอาจไม่ได้เป็นรูปแบบที่ชัดเจนหรือทางการ แต่เป็นการให้คำปรึกษาและแนะนำในบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานรัฐบาล
ระบบทักษิณยังคงมีอยู่หรือไม่
นโยบายประชานิยมและแนวทางบริหารประเทศที่ทักษิณเคยใช้ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยังคงได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยและคนในชนบท ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของรัฐบาลนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างตรงไปตรงมาในลักษณะเดิม แต่แนวทางและนโยบายที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนและการสร้างสวัสดิการยังคงมีลักษณะคล้ายกับระบบทักษิณ เช่น นโยบายทางการศึกษา การเข้าถึงบริการสุขภาพ และการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น
อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างอาจอยู่ที่ยุคสมัยและสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป รัฐบาลปัจจุบันต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจและสังคมที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก และความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลของแพทองธารต้องปรับตัวและคิดค้นนโยบายใหม่ที่ตอบสนองต่อความท้าทายเหล่านี้
ระบบทักษิณ = ระบบประชานิยม ?
ประชานิยม (Populism) เป็นแนวทางทางการเมืองที่มุ่งเน้นการตอบสนองต่อความต้องการและผลประโยชน์ของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มที่รู้สึกว่าตนถูกละเลยหรือไม่ได้รับประโยชน์จากระบบการเมืองและเศรษฐกิจในปัจจุบัน มักเป็นนโยบายที่ถูกนำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งในหลายกรณีสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นได้ทั้งบวกและลบ
ข้อดีของประชานิยม
1. ตอบสนองความต้องการของประชาชน
ประชานิยมมักเน้นการให้ความสำคัญกับปัญหาของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มที่มักถูกละเลย เช่น ชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง การสร้างนโยบายที่เป็นประโยชน์โดยตรง เช่น สวัสดิการด้านสุขภาพหรือการสนับสนุนทางการเงินในภาคชนบท ทำให้คนกลุ่มนี้ได้รับการดูแลและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น นโยบาย Medicare for All ในสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองสายประชานิยมในพรรคเดโมแครต เพื่อลดความไม่เท่าเทียมในระบบสาธารณสุข
2. กระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น
นโยบายที่ออกมาในลักษณะประชานิยมมักช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทและชุมชนท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น นโยบาย “เบี้ยยังชีพ” ในบราซิล ภายใต้รัฐบาลลูลา ดา ซิลวา ซึ่งให้เงินช่วยเหลือแก่คนจนผ่านโครงการ Bolsa Família โครงการนี้ช่วยลดความยากจนและกระตุ้นการใช้จ่ายในระดับท้องถิ่น
3. สร้างการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ประชานิยมสามารถช่วยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่รู้สึกว่าเสียงของตนไม่ได้รับการรับฟัง การนำเสนอนโยบายที่เข้าใจง่ายและใกล้เคียงกับปัญหาที่ประชาชนเผชิญอยู่ช่วยให้เกิดความรู้สึกว่ารัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือและใส่ใจประชาชน
ข้อเสียของประชานิยม
1. การบริหารที่ขาดความยั่งยืน
นโยบายประชานิยมมักถูกวิจารณ์ว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุและขาดการวางแผนระยะยาว ตัวอย่างเช่น นโยบายประชานิยมด้านเงินอุดหนุนในเวเนซุเอลา ภายใต้รัฐบาลของฮูโก้ ชาเวซ ที่มีการแจกจ่ายเงินให้กับประชาชนอย่างมากเพื่อเพิ่มความนิยม แต่สุดท้ายเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำและราคาน้ำมันลดลง การแจกจ่ายนั้นไม่สามารถดำเนินการต่อได้ นำไปสู่ปัญหาการเงินและเศรษฐกิจที่ย่ำแย่
2. เสี่ยงต่อความไม่สมดุลทางการคลัง
นโยบายประชานิยมที่ให้สวัสดิการหรือเงินสนับสนุนแก่ประชาชนโดยไม่ได้มีแหล่งรายได้ที่ยั่งยืน อาจทำให้รัฐบาลประสบปัญหาทางการคลังระยะยาว เช่น การเพิ่มหนี้สาธารณะและการขาดดุลงบประมาณ ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ กรีซ ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ซึ่งรัฐบาลใช้นโยบายแจกจ่ายเงินช่วยเหลือและสวัสดิการโดยไม่มีแผนรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ส่งผลให้หนี้สาธารณะพุ่งสูงและประเทศต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
3. สร้างความแตกแยกทางการเมือง
ประชานิยมอาจนำไปสู่ความแตกแยกในสังคม โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้วาทกรรมที่แบ่งแยกประชาชนออกเป็น “พวกเรา” (คนทั่วไป) และ “พวกเขา” (กลุ่มชนชั้นนำหรือกลุ่มที่มีอำนาจ) ซึ่งอาจกระตุ้นความขัดแย้งทางการเมืองและสังคม ตัวอย่างเช่น Brexit ในสหราชอาณาจักร ที่กลุ่มผู้สนับสนุนประชานิยมผลักดันให้ออกจากสหภาพยุโรป โดยใช้วาทกรรมที่สร้างความกลัวและความแตกแยกในหมู่ประชากร ทำให้ประเทศต้องเผชิญกับความขัดแย้งและการแบ่งแยกทางการเมืองอย่างมาก
ประชานิยมสามารถเป็นแนวทางที่ดีได้หากมีการดำเนินนโยบายอย่างรอบคอบและยั่งยืน ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงสวัสดิการและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ถ้าหากขาดการวางแผนระยะยาวหรือเน้นที่การสร้างความนิยมเฉพาะช่วงเวลา นโยบายเหล่านี้อาจนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจและความแตกแยกทางสังคมในที่สุด ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวในประเทศต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นถึงทั้งข้อดีและข้อเสียของประชานิยมในบริบทที่แตกต่างกัน
การแจกเงินดิจิทัลหรือเงินให้กลุ่มเปราะบางของรัฐบาลแพทองธาร กับความเสี่ยงต่อความไม่สมดุลทางการคลังซึ่งเป็นข้อเสียของระบบประชานิยม
มุมมองต่อ “ข้อดี” ของนโยบาย
1. กระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น
การแจกเงินดิจิทัลหรือเงินช่วยเหลือโดยตรงให้กับกลุ่มเปราะบางสามารถช่วยกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น ซึ่งส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจ ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนัก เช่น กลุ่มที่มีรายได้น้อยหรือกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ชนบท
2. ลดความเหลื่อมล้ำและช่วยกลุ่มเปราะบาง
การให้เงินช่วยเหลือแก่กลุ่มที่ต้องการการสนับสนุนทางการเงิน เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือผู้ที่มีรายได้ต่ำ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มโอกาสให้คนกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการที่จำเป็น รวมถึงมีโอกาสพัฒนาในด้านเศรษฐกิจและสังคม
มุมมองต่อ “ข้อเสีย” ของนโยบาย
1. เสี่ยงต่อความไม่สมดุลทางการคลัง
การแจกเงินดิจิทัลหรือนโยบายเงินช่วยเหลือลักษณะนี้อาจสร้างความเสี่ยงต่อการคลังของประเทศ หากไม่ได้มีแหล่งรายได้ที่เพียงพอในการสนับสนุนงบประมาณเหล่านี้ ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินเพิ่ม ส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น กรณีของกรีซ ที่ใช้เงินสวัสดิการเกินตัว จนส่งผลให้เกิดวิกฤตหนี้สาธารณะและเศรษฐกิจถดถอย
2. อาจไม่กระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว
แม้ว่าการแจกเงินอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ถ้าหากไม่มีการวางนโยบายที่ชัดเจนในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว การกระตุ้นเศรษฐกิจนี้อาจหมดไปเมื่อเงินหมดตัวอย่างรวดเร็ว การแจกเงินครั้งเดียวอาจไม่ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยเฉพาะถ้าไม่มีการสร้างงานหรือลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
3. การคัดค้านของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ธปท. มักแสดงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายลักษณะนี้ เนื่องจากอาจสร้างความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางการเงิน เช่น การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ การบริหารจัดการหนี้สาธารณะที่อาจเป็นภาระหนักต่อรัฐบาลในอนาคต รวมถึงการกระจายตัวของนโยบายทางการเงินที่ขาดความสม่ำเสมอ นอกจากนี้ การแจกเงินดิจิทัลยังอาจทำให้เกิดความซับซ้อนในระบบการเงินและการคำนวณต้นทุนของนโยบายที่ไม่ชัดเจน
ข้อเสนอแนะ
หากรัฐบาลต้องการเดินหน้านโยบายดังกล่าว ควรมีการพิจารณาและปรับปรุงหลายประเด็น เช่น
– การวางแผนการเงินอย่างยั่งยืน
รัฐบาลควรวางแผนอย่างละเอียดเกี่ยวกับแหล่งงบประมาณที่เพียงพอและไม่ส่งผลกระทบต่อหนี้สาธารณะ
– สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ไม่ใช่เพียงการแจกเงินเท่านั้น แต่ควรมุ่งเน้นไปที่การสร้างงานและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถกระตุ้นการเติบโตได้อย่างยั่งยืน
– ปรึกษากับธนาคารกลางและนักเศรษฐศาสตร์
ควรรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอจากผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจเพื่อประเมินผลกระทบในระยะยาวและป้องกันการสร้างความไม่สมดุลในระบบการเงินของประเทศ
การแจกเงินดิจิทัลหรือเงินช่วยเหลือให้กับกลุ่มเปราะบางสามารถเป็นนโยบายที่ดีในการแก้ไขปัญหาในระยะสั้น แต่ต้องพิจารณาผลกระทบต่อความมั่นคงทางการคลังในระยะยาวอย่างรอบคอบ รัฐบาลแพทองธารควรรับฟังคำแนะนำจากธนาคารแห่งประเทศไทยและนักเศรษฐศาสตร์ในการวางแผนที่มีประสิทธิภาพ
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนของประเทศที่ประสบปัญหาจากนโยบายประชานิยมจนเกิดความไม่สมดุลทางการคลังคือ “เวเนซุเอลา” และ “อาร์เจนตินา“ ซึ่งทั้งสองประเทศประสบปัญหาทางเศรษฐกิจจากการใช้นโยบายประชานิยมอย่างหนักหน่วงจนสร้างความไม่มั่นคงทางการคลัง
เวเนซุเอลา
ภายใต้การบริหารของ ”ฮูโก้ ชาเวซ“ (Hugo Chávez) และต่อมาภายใต้ ”นิโคลัส มาดูโรค“ (Nicolás Maduro) เวเนซุเอลาใช้นโยบายประชานิยมอย่างหนัก โดยการให้สวัสดิการสังคมที่กว้างขวาง เช่น การแจกเงิน การควบคุมราคาสินค้า การแจกอาหารและน้ำมันราคาถูก นโยบายเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนยากจน เพราะทำให้พวกเขาเข้าถึงสินค้าพื้นฐานในราคาที่ต่ำกว่าตลาด
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเวเนซุเอลาพึ่งพารายได้จากน้ำมันเป็นหลัก เมื่อราคาน้ำมันลดลงอย่างมากในช่วงปี 2014 รัฐบาลไม่สามารถสนับสนุนนโยบายเหล่านี้ได้ต่อไป และการบริหารการคลังที่ไม่รัดกุมทำให้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ประเทศประสบปัญหาขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคขั้นพื้นฐาน อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงถึงระดับที่เกินควบคุม และค่าเงินโบลิวาร์ของประเทศสูญเสียมูลค่าอย่างมหาศาล ส่งผลให้เศรษฐกิจเวเนซุเอลาล่มสลายและกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในภูมิภาคนี้
อาร์เจนตินา
อาร์เจนตินาเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ประสบปัญหาจากนโยบายประชานิยมหลายครั้งในประวัติศาสตร์ หนึ่งในกรณีที่สำคัญคือภายใต้การบริหารของ ”คริสติน่า เฟอร์นันเดซ เดอ เคิร์ชเนอร์“ (Cristina Fernández de Kirchner) ในช่วงปี 2007-2015 โดยเธอใช้นโยบายประชานิยมที่เน้นการให้สวัสดิการสังคม การควบคุมราคาสินค้า และการแจกจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ
ในช่วงแรกนโยบายนี้ได้รับความนิยมและสร้างการเติบโตในเศรษฐกิจระยะสั้น แต่เนื่องจากไม่มีการวางแผนการคลังอย่างยั่งยืน และการควบคุมราคาสินค้าทำให้ธุรกิจเอกชนขาดแรงจูงใจในการผลิตสินค้า ส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนสินค้าและบริการพื้นฐาน นอกจากนี้ การกู้เงินจำนวนมากเพื่อสนับสนุนโครงการสวัสดิการและเงินอุดหนุนทำให้หนี้สาธารณะของอาร์เจนตินาเพิ่มสูงขึ้น
เมื่อเศรษฐกิจโลกตกต่ำในช่วงปี 2008-2009 อาร์เจนตินาไม่สามารถรับมือกับปัญหาหนี้สาธารณะและการขาดดุลงบประมาณได้ ทำให้ประเทศเผชิญกับวิกฤตการเงิน และต้องหันไปพึ่งพาความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หลายครั้ง อีกทั้งยังเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงและค่าเงินเปโซตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจอาร์เจนตินาอยู่ในภาวะซบเซาเป็นเวลานาน
ทั้ง ”เวเนซุเอลา“ และ ”อาร์เจนตินา“ แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของนโยบายประชานิยมที่ขาดความยั่งยืนและการวางแผนทางการคลังที่รอบคอบ แม้ว่านโยบายดังกล่าวอาจสร้างประโยชน์ในระยะสั้น แต่หากไม่มีการบริหารการคลังที่มีประสิทธิภาพและการรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ นโยบายเหล่านี้อาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงินและเศรษฐกิจที่รุนแรงในระยะยาว
บทสรุปของระบบทักษิณ ระบบประชานิยม และการแจกเงินของรัฐบาลแพทองธาร
”ระบอบทักษิณ“ ได้รับการจดจำในฐานะยุคที่มีการนำเสนอนโยบายประชานิยม เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น นโยบายเหล่านี้เน้นการตอบสนองความต้องการของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มชนบทและชนชั้นกลางล่าง ซึ่งทำให้ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัวได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งในเวทีการเมืองไทย
การใช้นโยบายประชานิยมในรัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของ “แพทองธาร ชินวัตร” ลูกสาวของทักษิณ ยังคงสืบทอดแนวคิดการช่วยเหลือประชาชนโดยตรง นโยบายการแจกเงินดิจิทัลหรือเงินให้กลุ่มเปราะบางยังคงเป็นแนวทางหลักที่รัฐบาลใช้เพื่อสร้างความนิยมและกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แม้จะได้รับการต้อนรับจากกลุ่มคนที่ได้รับผลประโยชน์ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์จากหลายฝ่าย รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย ที่กังวลว่านโยบายดังกล่าวอาจสร้างปัญหาทางการคลังในระยะยาว ทำให้เศรษฐกิจขาดเสถียรภาพและความยั่งยืน
ในขณะที่ปัญหาที่แท้จริงของไทยที่รัฐบาลควรให้ความสนใจแก้ไขเป็นอันดับต้น ๆ แม้ว่านโยบายประชานิยมจะตอบสนองความต้องการในระยะสั้น แต่ปัญหาที่แท้จริงของประเทศไทยที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญมากกว่านี้ ได้แก่:
1. ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม
ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ยังคงเป็นปัญหาหลัก ซึ่งขาดนโยบายที่สามารถลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนได้อย่างยั่งยืน ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนเป็นปัญหาที่รุนแรงในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่ขาดโอกาสทางเศรษฐกิจและการเข้าถึงบริการสาธารณะที่เท่าเทียม ปัญหานี้สะท้อนผ่านการเข้าถึงการศึกษา การรักษาพยาบาล และโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจของประชาชนในภูมิภาคต่าง ๆ หากรัฐบาลไม่สามารถจัดการกับความเหลื่อมล้ำนี้ได้ อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมในระยะยาว รวมถึงทำให้เกิดความขัดแย้งและการแบ่งแยกในสังคมมากขึ้น
2. ปัญหาเศรษฐกิจหลังการฟื้นตัวจาก COVID-19
แม้สถานการณ์การระบาดจะคลี่คลายไปแล้ว แต่เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัญหาใหญ่ เช่น การขาดโอกาสการลงทุน และการขาดแคลนการจ้างงานที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ เช่น การพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและดิจิทัล รวมถึงการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญ
3. การศึกษาที่ไม่ทันสมัย
ปัญหาการศึกษาและทักษะในยุคดิจิทัล ที่ไม่สามารถเตรียมแรงงานรุ่นใหม่ให้พร้อมสำหรับความเปลี่ยนแปลงของตลาดงานในยุคดิจิทัลและเทคโนโลยี การศึกษาเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แต่ระบบการศึกษาของไทยยังขาดความยืดหยุ่นและไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงานในยุคดิจิทัลได้เพียงพอ การปรับปรุงระบบการศึกษาเพื่อเพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยี การเขียนโปรแกรม การวิเคราะห์ข้อมูล และความรู้เกี่ยวกับ AI จะช่วยให้คนรุ่นใหม่สามารถมีทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต และเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
4. ปัญหาความเชื่อมั่นในระบบการเมือง
ซึ่งยังคงส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ ปัญหาความไม่ไว้วางใจต่อระบบการเมืองและความขัดแย้งทางการเมืองยังคงเป็นประเด็นสำคัญในประเทศไทย การสร้างความไว้วางใจในกลไกของรัฐเพื่อให้ประชาชนรู้สึกว่าตนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมือง รวมถึงการกระจายอำนาจและทรัพยากรไปยังระดับท้องถิ่นเพื่อแก้ไขปัญหาในแต่ละพื้นที่ได้อย่างตรงจุด
5. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
การจัดการกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากประเทศไทยได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติธรรมชาติอย่างรุนแรง เช่น น้ำท่วมและภัยแล้ง การพัฒนานโยบายที่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด การส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืน และการปกป้องสิ่งแวดล้อมจะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเติบโตของประเทศในระยะยาว
แม้ว่าประชานิยมจะมีข้อดีในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนและช่วยเหลือประชาชนในระยะสั้น แต่รัฐบาลจำเป็นต้องจัดการกับปัญหาพื้นฐานที่มีผลกระทบในระยะยาวเพื่อสร้างเสถียรภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับประเทศ