โดย อัษฎางค์ ยมนาค
ประเทศไทยไม่ต้องไปมุ่งเน้นที่ GDP เพียงอย่างเดียว
”ผู้ว่าแบงก์ชาติออกมาพูดในเชิงว่าประเทศไทยไม่ต้องไปมุ่งเน้นจีดีพีมาก ผมไม่รู้ท่านเรียนจบจากที่ไหนมา“
พิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ตั้งคำถาม
ความจริง แม้ว่า GDP (Gross Domestic Product) จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญสำหรับการวัดความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดเดียวที่สามารถใช้วัดความสามารถทางเศรษฐกิจหรือการพัฒนาประเทศได้
ตัวบ่งบอกความสามารถทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศที่สำคัญที่สุดนั้นประกอบด้วยหลายปัจจัย ไม่ใช่เพียงแค่ตัวชี้วัดเดียว แต่ต้องพิจารณาหลายด้านเพื่อให้ได้ภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น เช่น:
1. GDP (Gross Domestic Product)
– GDP คือมูลค่าผลผลิตทางเศรษฐกิจทั้งหมดที่ประเทศผลิตได้ในช่วงเวลาหนึ่ง และเป็นตัวชี้วัดหลักที่ใช้ในการบอกขนาดของเศรษฐกิจ หากพิจารณาเฉพาะ GDP แล้ว สหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก แต่จีนกำลังจะก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
– การทำนายในอนาคต: นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนคาดการณ์ว่า GDP ของจีนอาจแซงหน้าสหรัฐฯ ในอนาคต เนื่องจากจีนมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าอย่างต่อเนื่อง
2. Purchasing Power Parity (PPP):
– PPP เป็นการวัดความสามารถในการซื้อสินค้าหรือบริการในแต่ละประเทศ โดยปรับเปรียบเทียบกับราคาสินค้าในประเทศอื่น ๆ ถ้าพิจารณาจาก PPP จีนมีเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ เนื่องจากค่าครองชีพในจีนต่ำกว่า จึงสามารถซื้อสินค้าหรือบริการได้มากขึ้นจากเงินจำนวนเดียวกัน
3. การเติบโตทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน
– การเติบโตของ GDP: อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจบอกถึงความเร็วในการขยายเศรษฐกิจ จีนมีอัตราการเติบโตของ GDP สูงในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา สะท้อนถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมภายในประเทศ
– การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: จีนลงทุนมหาศาลในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างถนน รถไฟความเร็วสูง และโครงการพลังงาน ซึ่งช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
4. อิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
– สหรัฐฯ ยังคงมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ การเมือง และการทหารระดับโลก ซึ่งทำให้สหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก ทั้งนี้รวมถึงการเป็นผู้นำในองค์กรระหว่างประเทศ เช่น IMF, ธนาคารโลก และการมีบทบาทในการกำหนดกฎเกณฑ์ทางการค้าระหว่างประเทศ
– จีน กำลังเพิ่มอิทธิพลของตนเองผ่านการลงทุนในโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) และการเข้าร่วมองค์กรระหว่างประเทศ จีนยังเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในด้านการค้าและการผลิต ซึ่งสร้างอิทธิพลในเชิงเศรษฐกิจต่อหลายภูมิภาค
5. นวัตกรรมและเทคโนโลยี
– สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้นำโลกในด้าน นวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Apple, Microsoft, Google, และ Amazon
– จีน กำลังไล่ตามในด้านเทคโนโลยีและการวิจัย เช่น การพัฒนา AI, 5G, และการผลิตพลังงานหมุนเวียน ซึ่งส่งผลให้จีนมีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
6. คุณภาพชีวิตและความเท่าเทียม
– แม้ว่า GDP ของสหรัฐฯ จะสูงที่สุด แต่ยังมีปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมทางรายได้และการกระจายความมั่งคั่งที่ไม่สม่ำเสมอ
– จีน แม้ว่าจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว แต่ยังมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างเมืองใหญ่และพื้นที่ชนบท รวมถึงปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
ตัวชี้วัดที่บ่งบอกถึงความสามารถทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศที่สำคัญที่สุดมักจะประกอบด้วย GDP, PPP, การเติบโตทางเศรษฐกิจ, อิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ, และ นวัตกรรมและเทคโนโลยี
สหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกจากตัวชี้วัดหลายด้าน แต่จีนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและอาจมีศักยภาพในการแทนที่สหรัฐฯ ในอนาคต
แม้ว่า GDP (Gross Domestic Product) จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญสำหรับการวัดความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดเดียวที่สามารถใช้วัดความสามารถทางเศรษฐกิจหรือการพัฒนาประเทศได้
ยังมีตัวชี้วัดอื่น ๆ ที่สามารถวัดความเจริญก้าวหน้าและคุณภาพชีวิตของประชากรในด้านต่าง ๆ ที่หลากหลายกว่า ซึ่งรวมถึง:
1. Human Development Index (HDI)
– HDI เป็นตัวชี้วัดที่พัฒนาโดย United Nations Development Programme (UNDP) ซึ่งวัดความก้าวหน้าของประเทศในด้านที่หลากหลายกว่าการมุ่งเน้นที่ GDP อย่างเดียว โดย HDI ประกอบไปด้วยปัจจัย 3 ด้านหลัก:
– อายุขัยเฉลี่ย: วัดคุณภาพด้านสุขภาพและการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของประชากร
– การศึกษา: วัดอัตราการรู้หนังสือและจำนวนปีที่ผู้คนได้รับการศึกษา
– รายได้เฉลี่ยต่อหัว: วัดรายได้ที่ปรับตามความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ (PPP)
ประเทศที่มี HDI สูง มักแสดงถึงความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีความสมดุลมากกว่า
2. Gross National Happiness (GNH)
– แนวคิดที่พัฒนามาจาก ประเทศภูฏาน GNH เป็นการวัดที่มุ่งเน้นการพัฒนาความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีของประชากร โดยพิจารณาจากหลายมิติ เช่น:
– สุขภาพจิตและกาย
– การอนุรักษ์วัฒนธรรม
– ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
– คุณภาพของการบริหารจัดการ
– การวัด GNH ช่วยเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาความสุขของประชาชนมากกว่าการเพิ่มขึ้นของผลผลิตหรือรายได้
3. Gini Coefficient (ดัชนีความไม่เท่าเทียมกันของรายได้)
– Gini Coefficient เป็นตัวชี้วัดที่ใช้วัดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ภายในประเทศ โดยค่าที่ออกมาจะอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1:
– ค่าที่ใกล้ 0 แสดงถึงความเท่าเทียมในรายได้
– ค่าที่ใกล้ 1 แสดงถึงความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ที่สูงขึ้น
– การวัด Gini Coefficient ช่วยให้เห็นภาพของการกระจายความมั่งคั่งและการพัฒนาเศรษฐกิจในด้านความเท่าเทียม
4. Environmental Performance Index (EPI)
– EPI วัดการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น:
– คุณภาพอากาศ
– การจัดการน้ำและทรัพยากรธรรมชาติ
– การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
– ประเทศที่มี EPI สูง มักแสดงถึงความสามารถในการรักษาสิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรในระยะยาว
5. Social Progress Index (SPI)
– SPI เป็นตัวชี้วัดความก้าวหน้าทางสังคมที่ไม่เน้นรายได้หรือ GDP แต่เน้นที่การพัฒนาในมิติที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้คน เช่น:
– การเข้าถึงน้ำสะอาดและสุขาภิบาล
– การศึกษาและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร
– สิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล
– SPI ช่วยให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางสังคมที่ไม่เน้นที่ความมั่งคั่ง แต่เป็นการพัฒนาที่มีประโยชน์กับประชากรโดยรวม
6. Inclusive Wealth Index (IWI)
– IWI เป็นการวัดที่ครอบคลุมทั้งทรัพย์สินทางเศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพย์สินทางมนุษย์ (เช่น การศึกษาและทักษะ) ช่วยให้สามารถประเมินความยั่งยืนของการพัฒนาประเทศได้ในระยะยาว
นอกเหนือจาก GDP ยังมีดัชนีชี้วัดอื่น ๆ ที่สามารถวัดความสามารถทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศในมิติที่ครอบคลุมและหลากหลายมากขึ้น ซึ่งเน้นทั้งคุณภาพชีวิต ความยั่งยืน และความเท่าเทียมในสังคม
เราสามารถยกตัวอย่างการใช้งานดัชนีเหล่านี้ในประเทศต่าง ๆ ดังนี้:
1. สหรัฐอเมริกา (USA)
– GDP: สหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศที่มี GDP สูงที่สุดในโลก แต่เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นประเทศขนาดใหญ่ จึงมีความเหลื่อมล้ำทางรายได้ค่อนข้างมาก จึงต้องใช้ดัชนีอื่นร่วมด้วยเพื่อประเมินความเป็นอยู่ของประชากร
– HDI (Human Development Index): สหรัฐฯ มีค่า HDI ที่สูง โดยมีคะแนนในเรื่องการเข้าถึงการศึกษาและการรักษาพยาบาลที่ดี แต่ยังมีปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมในบางกลุ่มประชากร
– Gini Coefficient: สหรัฐฯ มีค่าความไม่เท่าเทียมทางรายได้ที่ค่อนข้างสูง ซึ่งแสดงถึงการกระจายความมั่งคั่งที่ไม่เท่ากันระหว่างชนชั้น
– EPI (Environmental Performance Index): แม้สหรัฐฯ จะมีทรัพยากรทางธรรมชาติมาก แต่คะแนน EPI ไม่สูงนัก เนื่องจากมีการใช้พลังงานฟอสซิลและปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมาก
2. จีน (China):
– GDP: จีนเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตของ GDP อย่างรวดเร็วในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา จนเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก
– HDI: จีนมีค่า HDI ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาและสุขภาพ แต่ยังคงมีความเหลื่อมล้ำในบางพื้นที่ชนบท
– Gini Coefficient: จีนมีค่าความไม่เท่าเทียมทางรายได้ที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีการพัฒนาเมืองใหญ่ที่รวดเร็ว แต่พื้นที่ชนบทยังคงยากจนอยู่
– EPI: จีนเป็นประเทศที่มีปัญหาสิ่งแวดล้อมค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะปัญหามลพิษทางอากาศ แม้จะมีการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน แต่ EPI ยังคงไม่สูงนัก
3. ญี่ปุ่น (Japan):
– GDP: ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มี GDP สูงที่สุดในโลก แม้จะเผชิญกับปัญหาประชากรสูงอายุและอัตราการเกิดที่ลดลง
– HDI: ญี่ปุ่นมีค่า HDI ที่สูงมาก โดยเฉพาะในด้านอายุขัยเฉลี่ยที่ยาวที่สุดในโลก และมีระบบการศึกษาที่เข้มแข็ง
– Gini Coefficient: ญี่ปุ่นมีค่าความไม่เท่าเทียมทางรายได้ที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับหลายประเทศพัฒนาแล้ว มีการกระจายรายได้ที่ค่อนข้างเป็นธรรม
– EPI: ญี่ปุ่นมีคะแนน EPI ที่ดี เนื่องจากมีการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและมีระบบการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในด้านการอนุรักษ์พลังงาน
4. ออสเตรเลีย (Australia)
– GDP: ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่พัฒนาอย่างมั่นคงและมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย แต่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก
– HDI: ออสเตรเลียมีค่า HDI ที่สูง เนื่องจากมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและการศึกษาที่มีคุณภาพ
– Gini Coefficient: ออสเตรเลียมีค่าความไม่เท่าเทียมที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตกอื่น ๆ มีการกระจายรายได้ที่ดีกว่า
– EPI: ออสเตรเลียมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย แต่การบริหารจัดการทรัพยากรยังคงเป็นประเด็นท้าทาย โดยเฉพาะในด้านการจัดการน้ำและพื้นที่เกษตรกรรม
ประเทศเหล่านี้ต่างใช้ตัวชี้วัดเศรษฐกิจและการพัฒนาหลายประเภทเพื่อสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชากร ตัวชี้วัดเช่น GDP, HDI, Gini Coefficient และ EPI เป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดความก้าวหน้าและความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรในแต่ละประเทศ
นอกจากนี้ คำพูดของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยที่ระบุว่าไม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นที่ GDP เพียงอย่างเดียว สามารถอธิบายได้โดยอ้างอิงถึงแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่เกี่ยวกับ ความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) หรือ เศรษฐศาสตร์แบบยั่งยืน (Sustainable Economics) ซึ่งเน้นว่าตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจไม่ควรจำกัดอยู่แค่การเติบโตของ GDP เท่านั้น เพราะการเติบโตของ GDP อาจไม่สะท้อนถึงคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากรหรือความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ
1. ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ความเป็นอยู่ที่ดี (Welfare Economics):
ทฤษฎีนี้เน้นว่าความสำเร็จของเศรษฐกิจไม่ได้วัดจากผลผลิตรวม (GDP) เพียงอย่างเดียว แต่ควรคำนึงถึงความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน เช่น การเข้าถึงการศึกษา การรักษาพยาบาล และคุณภาพชีวิตด้านอื่น ๆ การเน้นเพียง GDP อาจทำให้ละเลยปัญหาทางสังคมและความเหลื่อมล้ำที่อาจเกิดขึ้นจากการกระจายรายได้ที่ไม่เท่าเทียม
– ตัวอย่างประเทศที่มี GDP สูง แต่มีความไม่เท่าเทียมสูงอาจเจอปัญหาทางสังคม เช่น อัตราอาชญากรรมสูงหรือสุขภาพที่ไม่ดีของประชากร
– การวัด ความเป็นอยู่ที่ดี จึงอาจใช้ดัชนีเช่น HDI (Human Development Index) ที่วัดทั้งด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ และการศึกษา
2. ทฤษฎีการเติบโตที่ยั่งยืน (Sustainable Growth Theory)
ทฤษฎีนี้เน้นความสำคัญของการเติบโตที่ไม่เพียงแต่เพิ่ม GDP แต่ยังรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงรักษาความมั่นคงทางสังคมในระยะยาว การมุ่งเน้นที่ GDP เพียงอย่างเดียวอาจทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างเกินตัว ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม และลดโอกาสในการพัฒนาที่มั่นคงในอนาคต
– การใช้ทรัพยากรธรรมชาติเกินกว่าความสามารถของระบบนิเวศในการฟื้นตัว อาจนำไปสู่ปัญหาการเสื่อมสภาพของสิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือการสูญเสียทรัพยากรทางธรรมชาติ
– การเน้นการพัฒนาแบบยั่งยืน (Sustainability) จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอนาคตของเศรษฐกิจในระยะยาว
3. ทฤษฎีความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness – GNH)
ประเทศภูฏานเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ไม่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจโดยวัดจาก GDP แต่ใช้ดัชนีความสุขมวลรวมประชาชาติ (GNH) ซึ่งรวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน เช่น การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และความเป็นธรรมในสังคม
– GNH สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสุขของประชาชนมากกว่าการเพิ่มรายได้ต่อหัว
– ประเทศอื่น ๆ อาจไม่จำเป็นต้องใช้ GNH แต่อาจพัฒนาแนวทางที่รวมการวัดปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต
4. ทฤษฎีเศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy)
เศรษฐกิจแบ่งปันเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ไม่มุ่งเน้น GDP มากเกินไป แต่เน้นการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การแบ่งปันยานพาหนะ การเช่าบ้านพักส่วนตัว หรือการใช้แหล่งพลังงานที่สามารถใช้ซ้ำได้ การพัฒนาเศรษฐกิจลักษณะนี้ช่วยลดต้นทุนและส่งเสริมความยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจ
การมุ่งเน้นที่ GDP เพียงอย่างเดียวอาจไม่สะท้อนถึงคุณภาพชีวิตและความยั่งยืนของประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้น ความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) ของประชาชน และการเติบโตที่ยั่งยืนจึงเป็นแนวทางที่สมดุลและตอบสนองต่อความต้องการระยะยาวของสังคม
ความสามารถทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศเข้ากับแนวคิด FutureTech Economy
มีความเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจนในหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่จะมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจในอนาคต
1. ความเชื่อมโยงระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
– ทั้ง สหรัฐฯ และจีนต่างก็พัฒนาเศรษฐกิจผ่านการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI, บล็อกเชน, IoT และ 5G
FutureTech Economy เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศต่าง ๆ สามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น การลงทุนใน AI, พลังงานสะอาด, เทคโนโลยีชีวภาพ, และการแพทย์สมัยใหม่ สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจในอนาคตมีการเติบโตแบบยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. นวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนความสามารถทางเศรษฐกิจ
– การที่สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้นำโลกทางเศรษฐกิจนั้นไม่ได้พึ่งพาเพียงขนาด GDP เท่านั้น แต่ยังเกิดจากการลงทุนในนวัตกรรม เช่น ซิลิคอนวัลเลย์ที่เป็นศูนย์กลางของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งสะท้อนถึง FutureTech Economy ที่มุ่งเน้นการเติบโตจากเทคโนโลยีที่ทันสมัย
– จีน กำลังเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางเทคโนโลยี โดยมีการลงทุนมหาศาลใน AI, 5G, และการผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วยให้จีนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลักในเศรษฐกิจโลก สอดคล้องกับแนวคิด FutureTech Economy ที่เน้นการใช้นวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว
3. ความยั่งยืนและเทคโนโลยีอนาคต
– FutureTech Economy ยังเน้นถึงการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน การจัดการทรัพยากรธรรมชาติด้วยระบบอัจฉริยะ และการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน สหรัฐฯ และจีนต่างก็ลงทุนในโครงการพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานฟอสซิลในอนาคต
– การเติบโตที่ยั่งยืนนี้ไม่เพียงแต่เพิ่ม GDP แต่ยังส่งเสริมการสร้างสังคมที่สมดุล โดยใช้เทคโนโลยีในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคม เช่น การใช้ AI ในการจัดการปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการใช้ smart cities ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต
4. โอกาสและความท้าทายในอนาคต
– การที่จีนอาจแซงหน้าสหรัฐฯ ในด้าน **GDP** ในอนาคต เป็นผลมาจากการลงทุนในเทคโนโลยีและการพัฒนาที่ก้าวหน้า แต่ทั้งสองประเทศยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความเป็นผู้นำในเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในยุค **FutureTech Economy** ที่การแข่งขันด้านนวัตกรรมจะมีบทบาทสำคัญอย่างมาก
– ประเทศที่ต้องการเข้ามาแข่งขันในเศรษฐกิจโลกในอนาคตจึงจำเป็นต้องลงทุนในเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยด้าน AI, Blockchain หรือ Quantum Computing ที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของเศรษฐกิจในระยะยาว
แนวคิด FutureTech Economy มีความเชื่อมโยงอย่างแนบแน่นกับการพัฒนาเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันและอนาคต ทั้งในสหรัฐฯ และจีน ต่างก็พยายามใช้เทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของตน การเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคต่อไปจะไม่เพียงแต่ขึ้นอยู่กับ GDP แต่ยังรวมถึงความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อนำพาประเทศเข้าสู่อนาคตที่มีการเติบโตแบบยั่งยืน
GDP เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการวัดขนาดของเศรษฐกิจของประเทศ แต่ไม่ได้สะท้อนถึงความสามารถทางเศรษฐกิจโดยรวมอย่างครบถ้วน เนื่องจากมันมุ่งเน้นเฉพาะผลผลิตทางเศรษฐกิจ ไม่ได้วัดคุณภาพชีวิต ความเท่าเทียม หรือความยั่งยืนของการพัฒนา ดังนั้น นักเศรษฐศาสตร์จึงใช้ดัชนีอื่น ๆ ร่วมด้วย
“ผมไม่รู้พิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เรียนจบจากที่ไหนมา“