โดย อัษฎางค์ ยมนาค
สรุปประเด็นแก้วตาของพรรคประชาชนพม่า
ธิษะณา แก้วตาของประชาชนพม่าเรียกร้อง 3 ข้อสำคัญ
1.การศึกษาให้เด็กข้ามชาติ
2.การให้การรักษาพยาบาลแก่แรงงานพม่า
3.ให้ใบอนุญาตบุคคลกรทางการแพทย์ของพม่าทำงานในโรงพยาบาลของไทย
แรงงานต่างชาติกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสวัสดิการของแรงงาน
1. แรงงานต่างชาติ มีทั้งผลดีและผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจของชาติ ผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ ได้แก่ แรงงานต่างชาติมีผลดีในแง่ของการเพิ่มประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ การเติมเต็มช่องว่างในตลาดแรงงาน และการสนับสนุนธุรกิจที่ต้องการทักษะเฉพาะทาง แต่ในขณะเดียวกัน หากไม่มีการจัดการที่ดี แรงงานต่างชาติอาจก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม
2. หนึ่งในข้อดีที่เห็นกันชัดๆ คือ แรงงานต่างชาตินำรายได้ส่วนหนึ่งไปใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ และแรงงานต่างชาติชำระภาษีให้แก่รัฐ ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลสำหรับการจัดสรรงบประมาณไปใช้ในโครงการสาธารณะต่าง ๆ
3. อย่าลืมว่าแรงงานเหล่านี้ก็มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทำงานในอุตสาหกรรมที่จำเป็น เพราะฉะนั้น การที่ภาครัฐใช้เงินภาษีจากประชาชนในประเทศเพื่อดูแลแรงงานต่างชาติในบางกรณี ถือเป็นการลงทุนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม อันได้แก่
4. การให้การศึกษาที่เหมาะสมแก่เด็กที่เป็นบุตรของแรงงานต่างชาติ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสังคมในอนาคต และยังช่วยให้เด็กเหล่านี้สามารถพัฒนาเป็นบุคลากรที่มีทักษะในระบบเศรษฐกิจของประเทศที่พวกเขาอาศัยอยู่ (หมายถึงบุตรของแรงงานต่างชาติอาจกลับมาเป็นแรงงานที่มีคุณภาพให้กับประเทศไทย)
5. การให้แรงงานต่างชาติเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องสุขภาพของแรงงานเอง แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคในประชากรทั่วไป
6. อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลต้องใช้งบประมาณจากภาษีเพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการศึกษาและการรักษาพยาบาลสำหรับแรงงานต่างชาติ อาจทำให้ภาระภาษีของคนไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม
7. นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อการจัดสรรงบประมาณสาธารณะ งบประมาณที่ถูกใช้เพื่อดูแลแรงงานต่างชาติอาจกระทบต่อการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการอื่น ๆ เช่น การพัฒนาสาธารณูปโภค การศึกษา และการรักษาพยาบาลของคนไทยเอง
8. การสร้างนโยบายที่ให้สิทธิพิเศษกับแรงงานต่างชาติอาจมีข้อดี แต่ควรพิจารณาในบริบทของ การจัดการงบประมาณ ที่สมดุล ไม่ให้เป็นภาระเกินไปต่อประชาชนไทยผู้เสียภาษี เช่นเดียวกับนโยบายในประเทศพัฒนาแล้ว ที่มักจะกำหนดข้อจำกัดหรือเงื่อนไขสำหรับแรงงานต่างชาติในการเข้าถึงสิทธิประโยชน์เหล่านี้
9) วิธีการที่เหมาะสมในการดูแลสุขภาพของแรงงานต่างชาติ คือการจัดให้มี “ระบบประกันสุขภาพ“ ที่แบ่งภาระค่าใช้จ่ายระหว่างแรงงาน นายจ้าง และรัฐบาล คือการให้ทั้ง 3 ฝ่ายช่วยเฉลี่ยกันจ่ายเงินเข้าระบบประกันสุขภาพ
10) ซึ่งมีประโยชน์ในหลายแง่มุม ทั้งการลดภาระทางการคลังของรัฐ และการทำให้แรงงานต่างชาติสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างเพียงพอ
สรุป
สวัสดิการสำหรับแรงงานพม่าเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงและควรจัดการให้เหมาะสม เพราะแรงงานพม่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย แต่ต้องทำให้ถูกต้อง ดังเช่นในประเทศที่พัฒนาแล้ว แรงงานต่างชาติยังต้องมีส่วนรับผิดชอบในสวัสดิการนั้น มิใช่โยนให้เป็นภาระของรัฐแต่ฝ่ายเดียว
การอภิปรายของธิษะณา ชุณหะวัณ ในเรื่องเสนอสวัสดิการแก่แรงงานพม่ามีข้อบกพร่องหลายส่วน อาจเป็นเพราะไม่มีความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อประเด็นดังกล่าว
………………………………………………………………………….
เข้าสู่ละเอียดของเนื้อหาทั้งหมด
“แก้วตาของพรรคประชาชนพม่า”
นางสาวธิษะณา ชุณหะวัณ สส.กทม.พรรคประชาชน อภิปราย ในสภาฯ ในมุมที่เห็นอกเห็นใจชาวเมียนมา ที่หนีสงคราม หนีร้อนมาพึ่งเย็น ในประเทศ ควรมีการรับรองอย่างเป็นระบบ
แก้วตา ธิษะณา ยังได้ยกตัวอย่าง เรื่องการศึกษา ที่ถึงแม้ว่าตอนนี้โรงเรียนบางแห่งจะเปิดกว้างรับนักเรียนข้ามชาติเข้าเรียน แต่ยังไม่เพียงพอที่รับนักเรียนข้ามชาติเหล่านี้ ซึ่งมองว่าเด็กทุกคนควรได้รับการศึกษา แม้อาจจะใช้งบประมาณของเพิ่มรัฐเพิ่มบ้าง
รวมไปถึงระบบสาธารณสุข ที่รัฐบาลไทย ควรให้ใบอนุญาตชั่วคราว ของบุคคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่หนีภัยสู้รบมาอยู่ฝั่งไทย หลายคนเป็นหมอในโรงพยาบาลชั้นนำ ให้พวกเขามีสิทธิ์ในการทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และรักษาพยาบาลผู้ป่วยชาวเมียนมา เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญ ที่จะแบ่งเบา บุคลากรระบบสาธารณสุขในไทย รวมถึงเปิดโอกาสในแรงงานทำงานบางประเภทที่ประเทศไทยยังขาดแคลน
สรุป ธิษะณา แก้วตาของประชาชนพม่าเรียกร้อง 3 ข้อสำคัญ
1.การศึกษาให้เด็กข้ามชาติ
2.การให้การรักษาพยาบาลแก่แรงงานพม่า
3.ให้ใบอนุญาตบุคคลกรทางการแพทย์ของพม่าทำงานในโรงพยาบาลของไทย
การที่ ธิษะณา ชุณหะวัณ เรียกร้องให้รัฐบาลดูแลและรับผิดชอบเรื่อง ค่าเล่าเรียนของบุตรหลานแรงงานพม่า และต้องการให้มีการรักษาพยาบาลฟรีสำหรับแรงงานต่างชาติในประเทศไทย “อาจถือเป็นการสร้างภาระให้กับรัฐและประชาชนในแง่ของการเพิ่มค่าใช้จ่ายในงบประมาณภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากนโยบายนี้ต้องใช้งบประมาณจากเงินภาษีของประชาชนไทย
การศึกษาให้เด็กข้ามชาติ
เปรียบเทียบเรื่องนี้กับประเทศพัฒนาแล้ว
1. ในประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย มักมีการจำกัดสิทธิ์ในการเข้าถึงการศึกษาฟรีและการรักษาพยาบาลสำหรับแรงงานต่างชาติ
– สหรัฐอเมริกา: ลูกหลานของแรงงานต่างชาติที่เข้ามาอย่างถูกกฎหมายสามารถเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนของรัฐได้ฟรี อย่างไรก็ตาม แรงงานต่างชาติเองอาจไม่สามารถเข้าถึงระบบการรักษาพยาบาลได้ฟรี และต้องมีประกันสุขภาพส่วนตัวที่ครอบคลุมค่าใช้จ่าย
– สหราชอาณาจักร: เด็กต่างชาติสามารถเรียนในโรงเรียนรัฐได้ฟรี แต่ผู้ปกครองต้องชำระ Immigration Health Surcharge (IHS) เพื่อให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลของระบบ NHS โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในระบบสาธารณสุขยังคงเกิดขึ้นจากงบประมาณที่รัฐได้รับจากภาษีของประชาชน
– ออสเตรเลีย: ระบบการศึกษาของรัฐมีค่าใช้จ่ายสำหรับลูกหลานของแรงงานต่างชาติ เช่น ต้องจ่ายครึ่งหนึ่งของอัตราค่าเรียนนักเรียนต่างชาติ
ตัวอย่างค่าเรียนในโรงเรียนรัฐบาลของออสเตรเลียสำหรับนักเรียนต่างชาติ: แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ โดยมีรายละเอียดดังนี้: (อัตราแลกเปลี่ยนโดยประมาน 1 ดอลล่าร์ออสเตรเลีย = 23 บาท)
รัฐนิวเซาท์เวลส์ (NSW): ค่าเล่าเรียนสำหรับนักเรียนต่างชาติอยู่ที่ประมาณ A$15,000 – A$18,400 ต่อปี ขึ้นอยู่กับระดับการศึกษา เช่น ประถมหรือมัธยม
รัฐควีนส์แลนด์: ค่าเล่าเรียนอยู่ในช่วง A$14,100 – A$17,600 ต่อปี
รัฐวิกตอเรีย: ค่าเล่าเรียนอยู่ในช่วง A$13,200 – A$26,820 ต่อปี ขึ้นอยู่กับประเภทและโปรแกรมการเรียน
รัฐออสเตรเลียใต้: ค่าเล่าเรียนอยู่ที่ประมาณ A$11,400 – A$15,000 ต่อปี
นอกจากนี้ ในออสเตรเลีย แรงงานต่างชาติยังต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลผ่านระบบประกันสุขภาพที่จัดหาโดยนายจ้าง
ประเด็นภาระงบประมาณในประเทศไทย
เพิ่มภาระภาษีของประชาชน
หากรัฐบาลต้องใช้งบประมาณจากภาษีเพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการศึกษาและการรักษาพยาบาลสำหรับแรงงานต่างชาติ อาจทำให้ภาระภาษีของคนไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม
ผลกระทบต่อการจัดสรรงบประมาณสาธารณะ
งบประมาณที่ถูกใช้เพื่อดูแลแรงงานต่างชาติอาจกระทบต่อการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการอื่น ๆ เช่น การพัฒนาสาธารณูปโภค การศึกษา และการรักษาพยาบาลของคนไทยเอง
การสร้างนโยบายที่ให้สิทธิพิเศษกับแรงงานต่างชาติอาจมีข้อดีในแง่ของการเพิ่มความเป็นธรรมในสังคม และการดูแลประชากรที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยให้ได้รับการศึกษาที่ดีและการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียมกัน แต่ควรพิจารณาในบริบทของ การจัดการงบประมาณ ที่สมดุล ไม่ให้เป็นภาระเกินไปต่อประชาชนไทยผู้เสียภาษี เช่นเดียวกับนโยบายในประเทศพัฒนาแล้ว ที่มักจะกำหนดข้อจำกัดหรือเงื่อนไขสำหรับแรงงานต่างชาติในการเข้าถึงสิทธิประโยชน์เหล่านี้
สิทธิมนุษยชนในการดูแลแรงงานต่างชาติ
เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องคำนึงถึงทั้งในด้านศีลธรรม กฎหมายระหว่างประเทศ และนโยบายระดับชาติ โดยเฉพาะในเรื่องการให้บริการทางการแพทย์และการศึกษาแก่เด็กที่ติดตามพ่อแม่มา ขอบเขตในการดูแลควรพิจารณาจากหลักสิทธิมนุษยชนสากลที่สอดคล้องกับความสามารถของรัฐในการจัดการงบประมาณและทรัพยากร ดังนี้:
1. สิทธิมนุษยชนในด้านการรักษาพยาบาล
– หลักการสิทธิมนุษยชน: สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานระบุว่าทุกคนควรมีสิทธิในการเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็น โดยเฉพาะในกรณีของแรงงานต่างชาติที่อาจอยู่ในสถานะที่เปราะบาง การให้บริการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานควรถูกจัดให้เป็นสิทธิที่จำเป็น
– หลักการไม่เลือกปฏิบัติ (Non-Discrimination): แรงงานต่างชาติไม่ควรถูกปฏิเสธการรักษาพยาบาลโดยเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับสถานะทางกฎหมายหรือเชื้อชาติ หลายประเทศ เช่น อังกฤษ หรือแคนาดา มีนโยบายรับประกันสิทธิในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล แม้แรงงานต่างชาติจะต้องมีส่วนร่วมในการชำระค่าธรรมเนียมบางประการ
– การจัดสรรทรัพยากร: ในหลายประเทศ ระบบประกันสุขภาพสามารถช่วยบรรเทาภาระของรัฐและแรงงาน โดยที่รัฐอาจจัดให้มีการรักษาพยาบาลพื้นฐานฟรี แต่แรงงานต่างชาติต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพเพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
2. สิทธิในการศึกษาแก่เด็กที่ติดตามพ่อแม่มา
– สิทธิเด็กในการศึกษา: หลักการของ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) ซึ่งรับรองโดยสหประชาชาติ ระบุว่าเด็กทุกคนควรได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมโดยไม่คำนึงถึงสถานะการอพยพของพวกเขา การศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐควรให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะสำหรับเด็กที่ไม่มีทางเลือกในการตัดสินใจที่จะอพยพ
– ตัวอย่างในประเทศพัฒนาแล้ว: หลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ อนุญาตให้เด็กที่เป็นบุตรของแรงงานต่างชาติเข้าถึงการศึกษาในโรงเรียนของรัฐได้ฟรี แม้ว่าพ่อแม่อาจมีสถานะทางกฎหมายที่ไม่ชัดเจน ในขณะที่บางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย อาจมีข้อจำกัดในการเข้าถึงการศึกษาโดยต้องจ่ายค่าเรียนในบางกรณี
– ความยั่งยืนและการแบ่งภาระ: การให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษามีผลดีในระยะยาว เนื่องจากเด็กที่ได้รับการศึกษาในประเทศจะสามารถเติบโตขึ้นเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ ช่วยพัฒนาประเทศได้ในอนาคต
ขอบเขตในการดูแล
– การรักษาพยาบาล: ควรจัดให้มีการรักษาพยาบาลพื้นฐานสำหรับแรงงานต่างชาติ เช่น การรักษาในกรณีฉุกเฉิน การดูแลสาธารณสุขเบื้องต้น (Preventive Care) แต่รัฐอาจใช้ระบบประกันสุขภาพส่วนตัวหรือการชำระค่าธรรมเนียมบางประการในการเข้าถึงบริการที่ซับซ้อนกว่า
– การศึกษา: ควรเปิดโอกาสให้เด็กที่ติดตามพ่อแม่มาเข้าถึงการศึกษาระดับพื้นฐานได้ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนของรัฐหรือโรงเรียนเอกชน โดยที่รัฐอาจกำหนดนโยบายเรื่องการแบ่งจ่ายค่าเรียนร่วมกันระหว่างพ่อแม่และรัฐบาล เพื่อไม่ให้เป็นภาระเกินไปต่อรัฐ
การดูแลแรงงานต่างชาติและบุตรของพวกเขาในด้านการรักษาพยาบาลและการศึกษาควรยึดหลักสิทธิมนุษยชน แต่ในขณะเดียวกัน รัฐควรจัดการทรัพยากรอย่างเหมาะสมและยั่งยืน ผ่านนโยบายที่สมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานและความรับผิดชอบทางงบประมาณ
แรงงานต่างชาติ มีทั้ง ผลดีและผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจของชาติ ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการและโครงสร้างของตลาดแรงงานในแต่ละประเทศ โดยสามารถแบ่งเป็นประเด็นต่าง ๆ ได้ดังนี้:
ผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ:
1. เติมเต็มช่องว่างในตลาดแรงงาน
– ในหลายประเทศ แรงงานต่างชาติมักเข้ามาทำงานในตำแหน่งที่คนในประเทศไม่สนใจ เช่น งานเกษตรกรรม การก่อสร้าง การดูแลผู้สูงอายุ หรือบริการสาธารณะอื่น ๆ ซึ่งเป็นงานที่ขาดแคลนแรงงาน แรงงานต่างชาติจึงช่วยเติมเต็มช่องว่างในตลาดแรงงาน ทำให้ภาคเศรษฐกิจสำคัญสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. กระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ
– แรงงานต่างชาติสามารถช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยการเพิ่มกำลังการผลิตในหลายภาคส่วน การขยายธุรกิจ และการสร้างงานในระดับที่สูงขึ้น แรงงานเหล่านี้ยังช่วยเพิ่มการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น เนื่องจากพวกเขาใช้เงินในการบริโภคสินค้าและบริการต่าง ๆ
3. การพัฒนาความหลากหลายทางเศรษฐกิจ
– การนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศสามารถช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับทักษะและประสบการณ์ในตลาดแรงงาน เช่น ในบางอุตสาหกรรมที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง แรงงานต่างชาติสามารถนำความรู้และทักษะใหม่ ๆ มาช่วยพัฒนาธุรกิจในประเทศได้
4. การชำระภาษี
– แรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายจะต้องชำระภาษีให้แก่รัฐ ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลสำหรับการจัดสรรงบประมาณไปใช้ในโครงการสาธารณะต่าง ๆ เช่น การศึกษา การสาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐาน
ผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ
1. การแข่งขันกับแรงงานในประเทศ
– ในบางกรณี แรงงานต่างชาติอาจสร้างการแข่งขันกับแรงงานในประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีค่าจ้างต่ำ หากแรงงานต่างชาติมีต้นทุนต่ำกว่า นายจ้างอาจเลือกจ้างแรงงานต่างชาติมากกว่า ซึ่งอาจทำให้ค่าจ้างของแรงงานในประเทศลดลง หรืออาจส่งผลให้แรงงานในประเทศตกงานได้ในบางกลุ่ม
2. การกดค่าแรง
– แรงงานต่างชาติมักทำงานในอัตราค่าจ้างที่ต่ำกว่าแรงงานในประเทศ ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้เกิดปัญหาการกดค่าแรงในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะงานที่ต้องการทักษะต่ำ ทำให้แรงงานในประเทศไม่ได้รับค่าจ้างที่สมควรแก่คุณภาพของแรงงาน
3. เพิ่มภาระทางสังคม
– ในบางกรณี แรงงานต่างชาติอาจเข้ามาใช้ทรัพยากรและบริการสาธารณะ เช่น การรักษาพยาบาล การศึกษา และการขนส่ง โดยไม่ชำระค่าบริการในอัตราที่เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจเป็นภาระงบประมาณของรัฐ หากไม่มีระบบการจัดเก็บภาษีหรือค่าบริการที่มีประสิทธิภาพ
4. ปัญหาสังคมและการบูรณาการ
– แรงงานต่างชาติที่ไม่ได้รับการสนับสนุนในการปรับตัวเข้ากับสังคมในประเทศที่ทำงาน อาจทำให้เกิดปัญหาทางสังคม เช่น ความไม่เท่าเทียม ความขัดแย้งทางวัฒนธรรม หรือความไม่ปลอดภัยในชุมชน ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสังคมโดยรวม
แรงงานต่างชาติมีผลดีในแง่ของการเพิ่มประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ การเติมเต็มช่องว่างในตลาดแรงงาน และการสนับสนุนธุรกิจที่ต้องการทักษะเฉพาะทาง แต่ในขณะเดียวกัน หากไม่มีการจัดการที่ดี แรงงานต่างชาติอาจก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น การกดค่าแรง การแข่งขันกับแรงงานในประเทศ และการเพิ่มภาระทางสังคม ดังนั้น การจัดการที่สมดุลระหว่างการสนับสนุนแรงงานต่างชาติและการคุ้มครองแรงงานในประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ความจำเป็นที่ไทยต้องรับแรงงานต่างชาติมาทำงาน
ประเทศไทยมีความจำเป็นในการรับแรงงานต่างชาติ เนื่องจาก:
– ขาดแคลนแรงงานในบางอุตสาหกรรม: โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น เกษตรกรรม การก่อสร้าง และอุตสาหกรรมประมง แรงงานไทยไม่เพียงพอและมีความสนใจทำงานในบางตำแหน่งน้อยลง แรงงานต่างชาติเข้ามาช่วยเติมเต็มความต้องการในตลาดแรงงานเหล่านี้
– ค่าจ้างที่แตกต่าง: แรงงานต่างชาติมักมีต้นทุนการจ้างที่ต่ำกว่าแรงงานไทยในบางภาคส่วน ทำให้นายจ้างสามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้ และส่งผลดีต่อการแข่งขันของธุรกิจไทยในตลาดโลก
– แรงงานในภาคบริการและการดูแล: การดูแลผู้สูงอายุหรือการบริการที่ต้องใช้แรงงานมาก เช่น การดูแลบ้านเรือน เป็นงานที่แรงงานไทยไม่เพียงพอ แรงงานต่างชาติ เช่น จากพม่า เข้ามามีบทบาทสำคัญในภาคส่วนนี้
มูลค่าทางเศรษฐกิจที่แรงงานต่างชาติเช่นพม่าช่วยสร้างให้ไทย
แรงงานต่างชาติ โดยเฉพาะแรงงานพม่า มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานจำนวนมาก เช่น:
– เกษตรกรรม: แรงงานต่างชาติมีส่วนช่วยให้ภาคการเกษตรไทยสามารถผลิตสินค้าในปริมาณมาก ส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ โดยแรงงานพม่ามีบทบาทสำคัญในพื้นที่การเกษตรในภาคกลางและภาคเหนือของประเทศไทย
– อุตสาหกรรมก่อสร้าง: แรงงานพม่าและต่างชาติในอุตสาหกรรมก่อสร้างช่วยลดต้นทุนการก่อสร้าง ทำให้ไทยสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้เร็วขึ้น
– ภาคประมง: แรงงานพม่ามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมประมงของไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศผ่านการส่งออก
มูลค่าทางเศรษฐกิจ:
รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า แรงงานต่างชาติช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้หลายหมื่นล้านบาทต่อปี โดยมีการส่งกลับเงินรายได้ส่วนหนึ่งไปยังประเทศต้นทาง
ปัญหาจากแรงงานต่างชาติที่เกิดขึ้น
การรับแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานในไทยมักมาพร้อมกับปัญหาที่ต้องได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม:
– ปัญหาด้านการบริหารจัดการแรงงาน: บางครั้งการจัดการเรื่องสิทธิและสวัสดิการของแรงงานต่างชาติ เช่น การจ่ายค่าจ้างที่เป็นธรรม การรักษาพยาบาล และความปลอดภัยในการทำงาน ยังมีช่องว่างที่ต้องพัฒนา
– การแทรกซึมของแรงงานผิดกฎหมาย: แรงงานต่างชาติที่เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นแรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการขาดการคุ้มครองและอาจสร้างปัญหาทางสังคมและความปลอดภัยได้
– แรงงานล้นตลาดในบางภาคส่วน: การมีแรงงานต่างชาติมากเกินไปในบางอุตสาหกรรม อาจส่งผลกระทบต่อแรงงานไทยในแง่ของการแข่งขันในตลาดงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีค่าจ้างต่ำ
– ภาระในระบบสาธารณสุขและการศึกษา: การเพิ่มจำนวนแรงงานต่างชาติและบุตรหลานที่ติดตามมา อาจทำให้ระบบสาธารณสุขและการศึกษาต้องรับภาระเพิ่มขึ้น เช่น การให้บริการด้านสุขภาพและการศึกษา ซึ่งบางครั้งรัฐต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้
การรับแรงงานต่างชาติมาทำงานในไทยมีความจำเป็นในการสนับสนุนอุตสาหกรรมหลัก ๆ ที่ขาดแคลนแรงงานและช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาท้าทายที่ต้องได้รับการจัดการ เช่น การควบคุมแรงงานผิดกฎหมาย การบริหารจัดการสวัสดิการ และผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขและการศึกษา
ทำไมคนไทยต้องจ่ายภาษีเพื่อดูแลแรงงานต่างชาติ?
การที่ประชาชนในประเทศต้องจ่ายภาษีเพื่อดูแลแรงงานต่างชาติ สามารถอธิบายได้จากมุมมองเชิงเศรษฐกิจและสังคมหลายประการที่เกี่ยวข้องกับทั้งผลกระทบระยะสั้นและระยะยาว:
1. ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
– แรงงานต่างชาติสนับสนุนเศรษฐกิจ: แรงงานต่างชาติหลายคนทำงานในอุตสาหกรรมที่สำคัญและมีความจำเป็น เช่น การก่อสร้าง เกษตรกรรม การบริการสุขภาพ และการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งบางครั้งคนในประเทศอาจไม่ต้องการทำงานในตำแหน่งเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้ แรงงานต่างชาติจึงช่วยลดปัญหาขาดแคลนแรงงานที่จำเป็นและช่วยให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้
– การใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ: แรงงานต่างชาตินำรายได้ส่วนหนึ่งไปใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ เช่น การซื้อสินค้าและบริการในประเทศ รวมถึงจ่ายภาษีบางประเภท เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ
2. การแบ่งเบาภาระงานในภาคส่วนที่ขาดแคลน
– ในหลายประเทศ แรงงานต่างชาติมักมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนภาคบริการสุขภาพและภาคการดูแล ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีความต้องการแรงงานสูง เช่น ในสหราชอาณาจักรที่แรงงานต่างชาติในภาคสาธารณสุขมีส่วนช่วยเหลือในการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลและสถานดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระงานที่อาจเกินกำลังของคนในประเทศ
– การดูแลแรงงานเหล่านี้ด้วยการจัดสวัสดิการทางการแพทย์หรือการศึกษาสำหรับบุตรของพวกเขาจึงช่วยให้แรงงานมีสุขภาพที่ดี มีขวัญกำลังใจในการทำงาน และมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจมากขึ้น
3. ความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชน
– หลายประเทศมีการลงนามในข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน เช่น อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของแรงงานอพยพ ที่เน้นเรื่องการคุ้มครองแรงงานอพยพและครอบครัวของพวกเขา การให้สิทธิในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและการศึกษาจึงเป็นการปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างประเทศเพื่อคุ้มครองแรงงาน
– การจัดสวัสดิการให้แรงงานต่างชาติยังเป็นการส่งเสริมความเท่าเทียมทางสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ และสนับสนุนสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
4. ผลกระทบทางสังคมระยะยาว
– การศึกษาของบุตรแรงงานต่างชาติ: การให้การศึกษาที่เหมาะสมแก่เด็กที่เป็นบุตรของแรงงานต่างชาติ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสังคมในอนาคต และยังช่วยให้เด็กเหล่านี้สามารถพัฒนาเป็นบุคลากรที่มีทักษะในระบบเศรษฐกิจของประเทศที่พวกเขาอาศัยอยู่ ทำให้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์เศรษฐกิจในอนาคต
– ลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค: การให้แรงงานต่างชาติเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องสุขภาพของแรงงานเอง แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคในประชากรทั่วไป
การที่ประชาชนในประเทศต้องจ่ายภาษีเพื่อดูแลแรงงานต่างชาติในบางกรณีถือเป็นการลงทุนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม แม้จะมีการจัดสวัสดิการให้แรงงานต่างชาติ แต่แรงงานเหล่านี้ก็มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทำงานในอุตสาหกรรมที่จำเป็น และช่วยสร้างความมั่นคงทางสังคมในระยะยาว
วิธีการที่เหมาะสมในการดูแลสุขภาพของแรงงานต่างชาติ คือการจัดให้มี “ระบบประกันสุขภาพ“ ที่แบ่งภาระค่าใช้จ่ายระหว่างแรงงาน นายจ้าง และรัฐบาล คือการให้ทั้ง 3 ฝ่ายช่วยเฉลียกันจ่ายเงินเข้าระบบประกันสุขภาพซึ่งมีประโยชน์ในหลายแง่มุม ทั้งการลดภาระทางการคลังของรัฐ และการทำให้แรงงานต่างชาติสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างเพียงพอ
ประโยชน์ของระบบประกันสุขภาพที่แรงงานต่างชาติต้องจ่ายบางส่วน นายจ้างจ่ายบางส่วน และรัฐสมทบ:
1. การแบ่งเบาภาระภาครัฐ
– หากแรงงานต่างชาติและนายจ้างร่วมกันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการประกันสุขภาพ จะช่วยลดภาระงบประมาณภาครัฐในการจัดสรรค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษาพยาบาลให้กับแรงงานต่างชาติ แต่ยังคงให้รัฐมีบทบาทในการสมทบค่าใช้จ่ายเพื่อให้ระบบมีความยั่งยืนและครอบคลุมเพียงพอ
– ตัวอย่างเช่น ในบางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ระบบประกันสุขภาพจะถูกบังคับใช้ให้แรงงานต่างชาติมีประกันสุขภาพก่อนเข้าประเทศ ในขณะที่นายจ้างอาจรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่ง
2. สร้างความรับผิดชอบร่วมกัน
– เมื่อแรงงานต่างชาติ นายจ้าง และรัฐร่วมกันจ่ายค่าประกันสุขภาพ จะสร้างความรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งในด้านสุขภาพของแรงงานและคุณภาพการรักษาพยาบาล แรงงานเองจะรู้สึกมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของตนเอง ขณะที่นายจ้างมีส่วนสนับสนุนเพื่อให้แน่ใจว่าแรงงานที่เขาจ้างมีสุขภาพดีและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– ในหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร รัฐบาลจะกำหนดให้แรงงานต่างชาติที่มีวีซ่าทำงานจ่ายค่าธรรมเนียม **Immigration Health Surcharge (IHS)** เพื่อให้ครอบคลุมการเข้าถึงบริการของ NHS
3. เพิ่มความยั่งยืนของระบบสุขภาพ
– การที่รัฐมีส่วนสมทบในระบบประกันสุขภาพทำให้แรงงานต่างชาติสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างเท่าเทียม การที่แรงงานต่างชาติจ่ายบางส่วนทำให้การบริหารจัดการงบประมาณและการเข้าถึงการรักษาพยาบาลมีความยั่งยืนมากขึ้น โดยที่ภาครัฐไม่ต้องรับภาระทั้งหมดแต่เพียงฝ่ายเดียว
4. ลดความเสี่ยงด้านสุขภาพในสังคม
– การให้แรงงานต่างชาติมีประกันสุขภาพยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของโรคในสังคม เนื่องจากทุกคนจะมีโอกาสเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ทันเวลา ทำให้โรคที่อาจเกิดจากการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานต่างชาติสามารถถูกจัดการได้
ตัวอย่างจากนานาชาติ
- สิงคโปร์: มีระบบ **Foreign Worker Medical Insurance (FWMI)** ที่นายจ้างต้องจ่ายประกันสุขภาพให้กับแรงงานต่างชาติที่จ้างเข้ามาทำงาน โดยกำหนดความคุ้มครองขั้นต่ำที่นายจ้างต้องจัดหาสำหรับแรงงานต่างชาติ เพื่อให้แรงงานเหล่านี้ได้รับการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน
- เยอรมนี: ระบบสุขภาพแบบประกันที่ทุกคนในประเทศรวมถึงแรงงานต่างชาติต้องมีประกันสุขภาพ โดยที่ส่วนหนึ่งเป็นหน้าที่ของนายจ้างในการจัดหาให้แรงงาน ในขณะที่แรงงานต้องจ่ายส่วนแบ่งของตนเอง
การมีระบบประกันสุขภาพที่แบ่งภาระระหว่างแรงงาน นายจ้าง และรัฐ เป็นวิธีการที่เหมาะสมในการสร้างความยั่งยืนในระบบสุขภาพ ช่วยให้แรงงานต่างชาติมีการดูแลสุขภาพที่ดี ขณะที่ภาครัฐและนายจ้างสามารถบริหารจัดการงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รับแพทย์พม่าทำงานในไทยช่วยแบ่งเบา บุคลากรระบบสาธารณสุขในไทย ?
การที่แพทย์ต่างชาติจะเข้ามาทำงานในประเทศไทยมีกระบวนการและข้อกำหนดที่ค่อนข้างเข้มงวด เนื่องจากการแพทย์เป็นวิชาชีพที่ต้องมีมาตรฐานสูง และต้องมั่นใจว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้และทักษะที่ตรงตามมาตรฐานของไทย ข้อกำหนดหลัก ๆ มีดังนี้:
1. การขอใบประกอบวิชาชีพแพทย์
– แพทย์ต่างชาติที่ต้องการทำงานในประเทศไทยจำเป็นต้องยื่นขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการแพทย์จาก **แพทยสภา** (Medical Council of Thailand)
– หนึ่งในข้อกำหนดหลักคือแพทย์ต่างชาติต้องผ่านการทดสอบ **ภาษาไทย** เนื่องจากการทำงานในประเทศไทยจำเป็นต้องมีความสามารถในการสื่อสารกับผู้ป่วยเป็นภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว
2. คุณสมบัติและเอกสารที่ต้องเตรียม
– แพทย์ต่างชาติจะต้องมีใบรับรองการเป็นแพทย์จากประเทศต้นทางที่ยอมรับตามมาตรฐานของไทย
– ต้องมีเอกสารที่แสดงว่าผู้สมัครได้รับการฝึกอบรมและมีประสบการณ์การทำงานทางการแพทย์อย่างเพียงพอในประเทศต้นทาง
– ต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติและเอกสารอื่น ๆ เช่น วุฒิบัตรทางการแพทย์ ประวัติการทำงาน และการตรวจประวัติอาชญากรรม
3. การทดสอบและฝึกอบรมเพิ่มเติม
– แพทย์ที่ได้รับอนุญาตอาจต้องเข้าร่วมการฝึกอบรมเพิ่มเติมในประเทศไทยตามระเบียบของแพทยสภา หากจำเป็น เพื่อให้แน่ใจว่ามีความรู้ความสามารถเพียงพอในการปฏิบัติงานตามมาตรฐานของไทย
– แพทย์บางกลุ่ม เช่น แพทย์เฉพาะทาง อาจต้องผ่านการฝึกอบรมในระบบสาธารณสุขไทยหรือต้องเข้าร่วมการอบรมทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง
4. การทำงานในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล
– แพทย์ต่างชาติส่วนใหญ่จะได้รับอนุญาตให้ทำงานในบางประเภทของสถานพยาบาล เช่น โรงพยาบาลเอกชนหรือโรงพยาบาลเฉพาะทาง แต่ไม่สามารถทำงานในโรงพยาบาลของรัฐได้หากไม่มีการผ่านข้อกำหนดทั้งหมดของแพทยสภา
ข้อจำกัดและเงื่อนไข
– บางครั้งการทำงานของแพทย์ต่างชาติในไทยอาจถูกจำกัดในเรื่องของประเภทงานที่สามารถทำได้ เช่น การรับผู้ป่วยที่มีความต้องการเฉพาะทาง หรือการทำงานในโรงพยาบาลเอกชนเท่านั้น
– ประเทศไทยยังคงเน้นการสนับสนุนแพทย์ไทยในการให้บริการทางการแพทย์ จึงมีข้อจำกัดบางประการต่อการจ้างแพทย์ต่างชาติมาทำงานในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลของรัฐ
แพทย์ต่างชาติที่ต้องการทำงานในประเทศไทยต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติอย่างเข้มงวด รวมถึงการทดสอบภาษาไทย และอาจต้องเข้ารับการฝึกอบรมเพิ่มเติมในบางกรณี การขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเป็นข้อกำหนดสำคัญที่แพทยสภากำหนดไว้เพื่อให้มั่นใจว่าแพทย์ต่างชาติมีความสามารถเพียงพอในการให้บริการทางการแพทย์ตามมาตรฐานของประเทศไทย
ตัวอย่างการอนุญาตให้แพทย์ต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศพัฒนาแล้ว
ในประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย การอนุญาตให้แพทย์ต่างชาติเข้ามาทำงานมีข้อกำหนดและขั้นตอนที่เข้มงวด โดยแพทย์ต่างชาติมักต้องผ่านกระบวนการรับรองและอาจต้องศึกษาเพิ่มเติมในบางกรณีเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานในประเทศนั้น ๆ ได้
1. สหรัฐอเมริกา
– แพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมจากต่างประเทศ (International Medical Graduates หรือ IMG) ต้องผ่านการรับรองจาก **Educational Commission for Foreign Medical Graduates (ECFMG)** ซึ่งประกอบด้วยการสอบ **USMLE** และการฝึกงานในระบบแพทย์ประจำบ้าน (residency) ในสหรัฐฯ โดยแพทย์จะต้องเข้าร่วมโปรแกรมฝึกอบรมนี้ ไม่ว่าจะผ่านการฝึกงานมาแล้วในประเทศของตนหรือไม่ก็ตาม
2. สหราชอาณาจักร
– แพทย์ต่างชาติที่ต้องการทำงานในสหราชอาณาจักรต้องสมัครเพื่อรับการลงทะเบียนกับ **General Medical Council (GMC)** ซึ่งจำเป็นต้องผ่านการทดสอบความรู้และทักษะทางคลินิก เช่น การสอบ **Professional and Linguistic Assessments Board (PLAB)** ยกเว้นในบางกรณีที่แพทย์มีคุณสมบัติตามมาตรฐานที่ GMC ยอมรับจากประเทศต้นทาง
3. ออสเตรเลีย
– แพทย์ต่างชาติที่ต้องการทำงานในออสเตรเลียต้องผ่านกระบวนการรับรองจาก **Australian Medical Council (AMC)** แพทย์สามารถเลือกเข้าโครงการต่าง ๆ เช่น **Competent Authority Pathway** หากมาจากประเทศที่ AMC ยอมรับการฝึกอบรมหรือคุณสมบัติ เช่น สหราชอาณาจักร หรือแคนาดา
– หากแพทย์ไม่ได้อยู่ในเส้นทางที่รับรอง แพทย์ต้องผ่านการทดสอบและอาจต้องเข้าโปรแกรมฝึกงานเพิ่มเติมก่อนที่จะได้รับการรับรองเพื่อทำงานในออสเตรเลียได้
การอนุญาตให้แพทย์จากต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศตะวันตกนั้นมีความซับซ้อน โดยแพทย์มักต้องผ่านการทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่ามีความรู้และทักษะเพียงพอสำหรับมาตรฐานทางการแพทย์ของประเทศนั้น ๆ แม้ในบางกรณีที่มีการยอมรับคุณวุฒิของแพทย์จากประเทศต้นทาง แต่แพทย์ต่างชาติมักต้องผ่านการศึกษาเพิ่มเติมหรือฝึกงานใหม่
การอภิปรายของธิษะณา ชุณหะวัณ ในเรื่องเสนอสวัสดิการแก่แรงงานพม่ามีข้อบกพร่องหลายส่วน อาจเป็นเพราะไม่มีความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อประเด็นดังกล่าว จึงฟังความได้ว่า สวัสดิการแก่แรงงานพม่าเป็นปัญหาใหญ่เร่งด่วน ทั้งที่ปัญหาในประเทศอีกหลายอย่างกับไม่ได้รับความสนใจจากธิษะณา
เช่น ปัญหาอุทกภัยที่ภาคเหนือ ปัญหานโยบายประชานิยมด้วยการแจกเงินของพรรคเพื่อไทยที่อาจสร้างปัญหาต่อฐานะการคลังของชาติ ที่พรรคประชาชนเหมือนไม่สนใจเท่ากับสวัสดิการแรงงานพม่า จนดูเหมือนว่าเธอเป็นผู้แทนที่ดูแลผลประโยชน์เพื่อประชาชนชาวพม่ามากกว่าประชาชนคนไทย จนดูเหมือนว่าเธอเป็นแก้วตาดวงใจของประชาชน(พม่า)เสียมากกว่าประชาชนคนไทย
สวัสดิการสำหรับแรงงานพม่าเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงและควรจัดการให้เหมาะสม เพราะแรงงานพม่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย แต่ต้องทำให้ถูกต้อง ดังเช่นในประเทศที่พัฒนาแล้ว แรงงานต่างชาติยังต้องมีส่วนรับผิดชอบในสวัสดิการนั้น มิใช่โยนให้เป็นภาระของรัฐแต่ฝ่ายเดียว