มรรคกฎหมายจริยธรรมของนักการเมือง คือเครื่องมือทำลายกันทางการเมือง?
โดย อัษฎางค์ ยมนาค
พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลไทยกำลังดำเนินการเสนอ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปรับปรุงเรื่อง มาตรฐานจริยธรรมของนักการเมือง โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดความชัดเจนในกระบวนการตั้งข้อกล่าวหาและการถอดถอนนักการเมืองที่ละเมิดจริยธรรม ซึ่งร่างดังกล่าวจะมุ่งเน้นการนิยามความผิดทางจริยธรรมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อลดการตีความที่คลุมเครือในปัจจุบัน
จุดสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้แก่
1. การกำหนดนิยามของการละเมิดจริยธรรมให้ชัดเจนและมีขั้นตอนการพิจารณาที่ชัดเจนขึ้น
2. การปรับกระบวนการถอดถอนให้สามารถเกิดขึ้นได้เฉพาะเมื่อศาลยอมรับคดีแล้ว เพื่อการใช้กระบวนการร้องเรียนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
3. การปรับแก้ระบบการตัดสินของศาลให้เป็นแบบเสียงข้างมากที่มากกว่าครึ่งเพื่อความยุติธรรมในกระบวนการตัดสิน
ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ที่อดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นตำแหน่งในเดือนสิงหาคม 2024 เนื่องจากการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่มีประวัติการติดสินบน ซึ่งเป็นหนึ่งในกรณีละเมิดจริยธรรมของนักการเมือง
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าการแก้ไขครั้งนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อประโยชน์ของกลุ่มการเมืองใดโดยเฉพาะ แต่เป็นการสร้างความเป็นธรรมและปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบและลงโทษนักการเมืองให้ชัดเจนและเป็นธรรมมากขึ้น
ความพยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “รัฐธรรมนูญปราบโกง” เป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนและก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางในสังคมไทย โดยเฉพาะในเรื่องของจริยธรรมและการตรวจสอบนักการเมือง
รัฐธรรมนูญปี 2560 ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมความโปร่งใสและสร้างกลไกในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐและนักการเมือง การมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้น
ทำให้นักการเมืองที่มีพฤติกรรมทุจริตหรือมีความประพฤติที่ผิดจริยธรรมต้องเผชิญกับการตรวจสอบและลงโทษอย่างหนัก ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนที่ต้องการเห็นการเมืองไทยที่โปร่งใสยิ่งขึ้น
ข้อถกเถียงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ:
1. ฝ่ายสนับสนุนการแก้ไข
– ฝ่ายที่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเห็นว่ามาตรการปัจจุบันอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามมากกว่าการปราบปรามการทุจริตที่แท้จริง เนื่องจากการตีความเรื่องจริยธรรมยังมีความไม่ชัดเจนและอาจถูกใช้ในการกดดันหรือกำจัดนักการเมืองบางกลุ่มได้
– การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนและมีความยุติธรรมมากขึ้นในการพิจารณาคดีจริยธรรมนักการเมือง อาจเป็นการช่วยสร้างความโปร่งใสและความเป็นธรรมในกระบวนการตรวจสอบมากขึ้น
2. ฝ่ายที่ต่อต้านการแก้ไข
– ฝ่ายที่คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเห็นว่าการปรับเปลี่ยนมาตรการด้านจริยธรรมอาจเป็นการลดทอนความเข้มงวดในการตรวจสอบและลงโทษนักการเมืองที่ทุจริต และอาจทำให้กลไกการปราบโกงที่มีประสิทธิภาพอ่อนลง
– นอกจากนี้ บางฝ่ายยังเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจถูกมองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับนักการเมืองบางกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากกฎระเบียบปัจจุบัน
ความถูกต้องในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ:
การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นไม่ใช่เรื่องผิดถ้าการแก้ไขเกิดขึ้นเพื่อเพิ่มความเป็นธรรมในกระบวนการตรวจสอบและลงโทษ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขควรต้องระมัดระวังไม่ให้เป็นการลดทอนความเข้มงวดที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการทุจริตของนักการเมือง ควรพิจารณาถึงความต้องการของประชาชนที่ต้องการเห็นการเมืองที่โปร่งใสและมีมาตรฐานจริยธรรมที่ชัดเจน
ขอย้ำว่า ความคิดจะแก้รับธรรมนูญ จะต้องระวังไม่ให้มาตรการที่มีอยู่เพื่อปราบโกงถูกลดทอนจนเกิดช่องโหว่ในการทุจริตอีกครั้ง
ความเคลื่อนไหวในการจะแก้รับธรรมนูญนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ที่อดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นตำแหน่งในเดือนสิงหาคม 2024 เนื่องจากการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่มีประวัติการติดสินบน ซึ่งเป็นหนึ่งในกรณีละเมิดจริยธรรมของนักการเมือง และเป็นประเด็นที่ซับซ้อน และมีความเกี่ยวข้องกับการตีความกฎหมายและมาตรฐานจริยธรรมทางการเมือง
มุมมองเรื่องจริยธรรม:
1. การตั้งคำถามเรื่องจริยธรรม
การแต่งตั้งบุคคลที่เคยถูกแจ้งข้อหาหรือเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตหรือการให้สินบน มีแนวโน้มที่จะถูกมองว่าเป็นการขัดต่อมาตรฐานจริยธรรม โดยเฉพาะในกรณีที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายปัจจุบันมีมาตรการเข้มงวดเกี่ยวกับการปราบโกงและการป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีพฤติกรรมไม่โปร่งใสหรือมีประวัติทุจริตเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง
2. การตีความเรื่องจริยธรรมในรัฐธรรมนูญ 2560
รัฐธรรมนูญปี 2560 มีมาตรการที่ชัดเจนในเรื่อง “จริยธรรมของนักการเมือง“ โดยเน้นการป้องกันการทุจริตและการใช้อำนาจในทางที่ผิด มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “รัฐธรรมนูญปราบโกง” ซึ่งออกแบบมาเพื่อควบคุมนักการเมืองและบุคคลในตำแหน่งสูงให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความโปร่งใสและมีจริยธรรม
การแต่งตั้งบุคคลที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตอาจถูกตีความว่าเป็นการขัดต่อจริยธรรม โดยเฉพาะหากการแต่งตั้งนั้นทำให้เกิดข้อกังขาในเรื่องความโปร่งใส
3. ผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาล
การแต่งตั้งบุคคลที่มีประวัติคดีความอาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในสายตาประชาชนและนานาชาติ โดยเฉพาะในบริบทที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันในการสร้างความโปร่งใสทางการเมือง การแต่งตั้งบุคคลที่มีข้อกังขาทางจริยธรรมอาจถูกมองว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามหลักการความโปร่งใสและการปฏิบัติหน้าที่ด้วยจริยธรรมที่เข้มงวด
สรุป
ในกรณีนี้ การแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน ที่เคยมีประวัติการทำผิดกฎหมายอาจถูกมองว่าเป็นการผิดจริยธรรม หากพิจารณาตามมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
เพราะฉะนั้น พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นต้นสังกัดของนายกฯ เศรษฐา จะแก้รัฐธรรมนูญในหมวดจริยธรรม ย่อมเป็นความพยายาม “จะทำผิดให้เป็นถูก” ใช่หรือไม่?
การแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดจริยธรรม โดยพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นต้นสังกัดของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน อาจถูกมองจากบางฝ่ายว่าเป็นความพยายามที่จะทำให้สิ่งที่ผิดกลายเป็นถูก โดยเฉพาะในกรณีที่นักการเมืองหรือบุคคลที่มีข้อครหาเกี่ยวกับการทุจริตหรือการละเมิดจริยธรรมได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ข้อคิดเห็น:
1. การแก้ไขเพื่อลดความเข้มงวดของมาตรฐานจริยธรรม
หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีจุดประสงค์เพื่อลดความเข้มงวดของมาตรฐานจริยธรรมหรือลดการตรวจสอบนักการเมือง อาจถูกมองว่าเป็นการทำให้กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดในการปราบปรามการทุจริตอ่อนแอลง ซึ่งจะนำไปสู่ความเสี่ยงในการสร้างช่องว่างให้บุคคลที่เคยมีประวัติการทุจริตหรือกระทำผิดจริยธรรมสามารถเข้ารับตำแหน่งได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้อาจถูกมองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในลักษณะนี้เป็นความพยายามที่จะ “ทำผิดให้เป็นถูก“ หรือ “เปลี่ยนกฎเกณฑ์เพื่อปกป้องนักการเมืองที่มีข้อกล่าวหาหรือข้อครหาทางจริยธรรม“
2. ความเสี่ยงในการสูญเสียความน่าเชื่อถือ
การแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดจริยธรรม หากไม่โปร่งใสหรือไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล อาจทำให้พรรคการเมืองที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรัฐบาลโดยรวม สูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชนและนานาชาติ
ระบบการตรวจสอบที่เข้มงวดในรัฐธรรมนูญปี 2560 ได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันการทุจริตและการกระทำที่ผิดจริยธรรม การเปลี่ยนแปลงในส่วนนี้อาจทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความตั้งใจในการรักษาความโปร่งใสของรัฐบาล
ดังนั้น…
หากพรรคเพื่อไทยแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดจริยธรรมด้วยวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องนักการเมืองที่มีข้อครหาหรือประวัติการละเมิดจริยธรรม อาจถูกมองว่าเป็นการพยายามทำให้สิ่งที่ผิดกลายเป็นถูกได้ การกระทำดังกล่าวอาจสร้างความเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและระบบการเมืองของประเทศ
ตัวอย่างในต่างประเทศ เกี่ยวกับรัฐธรรมมนูญ เรื่องจริยธรรมของนักการเมือง!
ในหลายประเทศทั่วโลกมีการบังคับใช้ “มาตรฐานจริยธรรมสำหรับนักการเมือง“ ผ่านรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายเฉพาะ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันการทุจริตและเสริมสร้างความโปร่งใสในการทำงานของรัฐบาล นี่คือตัวอย่างบางประเทศที่มีมาตรฐานจริยธรรมของนักการเมืองที่ถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญหรือนโยบายระดับชาติ:
1. สหรัฐอเมริกา
– ในสหรัฐฯ มาตรฐานจริยธรรมสำหรับนักการเมืองได้รับการบังคับใช้ผ่าน รัฐธรรมนูญและกฎหมายเฉพาะ ที่เกี่ยวข้อง เช่น Ethics in Government Act (1978) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีบทบาทในการป้องกันและตรวจสอบความขัดแย้งทางผลประโยชน์ การเปิดเผยทรัพย์สิน และการตรวจสอบทางการเงินของเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมือง
– การละเมิดจริยธรรมในสหรัฐฯ อาจนำไปสู่การถอดถอนจากตำแหน่งทางการเมือง (impeachment) หากพบว่ามีการกระทำที่ขัดต่อจริยธรรมในระดับร้ายแรง เช่น การใช้อำนาจโดยมิชอบหรือการทุจริต
2. สหราชอาณาจักร
– ในสหราชอาณาจักร นักการเมืองต้องปฏิบัติตาม “Nolan Principles” ซึ่งเป็นหลักการทางจริยธรรม 7 ประการสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งในภาครัฐที่รวมถึง “ความซื่อสัตย์สุจริต ความเป็นธรรม และความโปร่งใส“ หลักการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ถูกบังคับใช้ในภาครัฐ แต่ยังรวมถึงนักการเมืองในสภา
– หากมีการละเมิดจริยธรรม นักการเมืองอาจถูกสอบสวนโดยหน่วยงานอิสระ เช่น Parliamentary Commissioner for Standards ซึ่งมีอำนาจในการตรวจสอบและให้คำแนะนำในการลงโทษนักการเมืองที่กระทำผิด
3. เกาหลีใต้
– ในเกาหลีใต้ นักการเมืองต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบทางจริยธรรมที่เข้มงวดที่ระบุไว้ใน “รัฐธรรมนูญและกฎหมายต่อต้านการทุจริต“ โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์ทุจริตของอดีตประธานาธิบดี พัค กึนฮเย ซึ่งนำไปสู่การลุกฮือของประชาชนและการถอดถอนประธานาธิบดี การปฏิรูปกฎหมายจริยธรรมของนักการเมืองในเกาหลีใต้จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
– หน่วยงานต่อต้านการทุจริต เช่น Korea Anti-Corruption and Civil Rights Commission (ACRC) มีบทบาทในการตรวจสอบและกำกับดูแลความโปร่งใสของนักการเมือง รวมถึงการรายงานทรัพย์สินและผลประโยชน์ทับซ้อน
4. ฝรั่งเศส
– ในฝรั่งเศส กฎจริยธรรมสำหรับนักการเมืองได้รับการบังคับใช้ภายใต้ “Charter of Ethics“ และ “กฎหมายต่อต้านการทุจริต“ นักการเมืองในฝรั่งเศสต้องเปิดเผยทรัพย์สินของตนเองต่อหน่วยงานกำกับดูแล และการทุจริตหรือการกระทำที่ขัดต่อจริยธรรมอาจนำไปสู่การฟ้องร้องและลงโทษตามกฎหมาย
– การทำงานของนักการเมืองจะถูกตรวจสอบโดย “High Authority for Transparency in Public Life“ ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบการรายงานทรัพย์สินของนักการเมืองและการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน
5. สิงคโปร์
– สิงคโปร์มีชื่อเสียงในเรื่อง “กฎระเบียบที่เข้มงวดเกี่ยวกับจริยธรรมและความโปร่งใสของนักการเมือง“ โดยรัฐธรรมนูญและกฎหมายของประเทศนี้ให้ความสำคัญกับการป้องกันการทุจริตและการใช้อำนาจโดยมิชอบ เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องปฏิบัติตามมาตรฐานที่สูงมาก และมีหน่วยงานเช่น “Corrupt Practices Investigation Bureau (CPIB)“ ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและปราบปรามการทุจริตอย่างเข้มงวด
สรุป:
ในหลายประเทศมีการใช้กฎหมายและรัฐธรรมนูญเพื่อกำหนดมาตรฐานจริยธรรมสำหรับนักการเมืองเพื่อป้องกันการทุจริตและสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่ มาตรการเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการเมืองและรัฐบาล และการไม่ปฏิบัติตามกฎจริยธรรมอาจนำไปสู่การลงโทษหรือการถอดถอน
จริงอยู่ว่าปัญหาการตีความเรื่องจริยธรรมอาจเกิดขึ้นได้!
ในกฎหมายมักมีความคลุมเครือ ซึ่งทำให้บางครั้งกระบวนการตรวจสอบอาจถูกใช้อย่างไม่เป็นธรรม การกำหนดว่าพฤติกรรมใดผิดจริยธรรมยังขึ้นอยู่กับการตีความตามบริบทของสังคมและการเมืองในขณะนั้น นอกจากนี้ การใช้กฎจริยธรรมอาจเป็นไปเพื่อการเล่นเกมทางการเมือง เพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามมากกว่าการรักษาความเป็นธรรม
มาตรการจริยธรรมสำหรับนักการเมืองในหลายประเทศ แม้จะถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการทุจริตแต่บางครั้งก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะในสังคมที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูง
อย่างไรก็ตาม ขอตั้งคำถามที่เข้าใจได้ง่ายมากๆ ว่า…..
ยกตัวอย่างกรณี นายพิชิต ชื่นบาน” ที่เรียกกันว่า “ทนายถุงขนม”เพราะเคยมีมลทิน เนื่องจากถูกแจ้งข้อหาเมื่อปี ๕๒ ว่า “ร่วมกันใช้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานฯ
ต่อมา นายกรัฐมนตรีเศรษฐาแต่งตั้งในเขาเป็นรัฐมนตรี ทำให้นายกรัฐมนตรีเศรษฐาถูกถอดถอนจากการเป็นนายกฯ ด้วยข้อหาผิดจริยธรรม
คำถามคือ
นายพิชิต ชื่นบาน เคย “ร่วมกันใช้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานฯ ซึ่งเป็นการกระทำการทุจริต หรือผิดกฎหมายหรือผิดจริยธรรม ใช่หรือไม่?
ถ้าคำตอบว่า การกระทำดังกล่าวของ นายพิชิต ไม่ผิด นี่จะกลายเป็นบรรทัดฐานต่อไปว่า การกระทำในลักษณะดังกล่าวไม่ผิดกฎหมายและไม่ผิดจริยธรรม
หมายความว่า เงินใต้โต๊ะในประเทศไทย ได้รับการยอมรับโดยรัฐธรรมนูญว่า เป็นเรื่องถูกกฎหมาย!
และเมื่อการกระทำดังกล่าวของ นายพิชิตไม่ผิดกฎหมายและไม่ผิดจริยธรรม การที่ นายกฯ เศรษฐา แต่งตั้งนายพิชิต เป็นรัฐมนตรี ก็ไม่ผิดเช่นกัน
ถ้า…..ท่านทั้งหลายคิดว่า
การกระทำในลักษณะดังกล่าวของนายพิชิตผิดกฎหมาย หรือผิดจริยธรรม ดังนั้นการที่ นายกฯ เศรษฐา แต่งตั้งนายพิชิต เป็นรัฐมนตรี ก็ผิดจริยธรรมเช่นกัน
เพราะฉะนั้น พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นต้นสังกัดของนายกฯ เศรษฐา จะแก้รับธรรมนูญในหมวดจริยธรรม ย่อมเป็นความพยายาม จะทำผิดให้เป็นถูก ใช่หรือไม่?
พรรคเพื่อไทยกำลังจะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปรับปรุงเรื่อง มาตรฐานจริยธรรมของนักการเมือง ฝ่ายที่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเห็นว่ามาตรการปัจจุบันอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามมากกว่าการปราบปรามการทุจริตที่แท้จริง “เนื่องจากการตีความเรื่องจริยธรรมยังมีความไม่ชัดเจน”
คำถามคือ การกระทำดังกล่าวของ นายพิชิตไม่ผิดกฎหมายหรือไม่ผิดจริยธรรม และการที่อดีตนายกฯ เศรษฐา ถูกถอดถอนเพราะแต่งตั้งนายพิชิต เป็นรัฐมนตรี เพราะ
1. การตีความเรื่องจริยธรรมยังมีความไม่ชัดเจน?
2. ถูกนำมาตรฐานจริยธรรมมาเป็นเครื่องมือทำลายกันทางการเมือง ?
อย่างนั้นจริงหรือ?