- โดย อัษฎางค์ ยมนาค
โชกุน-ร.5-มหาอำนาจ กับการจัดระเบียบโลก
“ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูโลกของความจริง”
โดย อัษฎางค์ ยมนาค
”ผมเชื่อว่า ประเทศไทยในปัจจุบันต้องการผู้นำที่เก่งกาจเรื่องการทูตและกิจการระหว่างประเทศ ซึ่งจะช่วยทำให้ปัญหาการเมืองภายในหมดไป“
……………………………………………………………………………
ย้อนไปสมัยกู้ชาติ ไทยเราต้องการผู้นำอย่างสมเด็จพระเจ้าตากสินและรัชกาลที่ 1 ที่เป็นนักรบ ต่อมาเราต้องการผู้นำเก่งเศรษฐกิจอย่างรัชกาลที่ 3 และในที่สุดไทยเราต้องมีรัชกาลที่ 5 ที่เก่งกาจเรื่องการทูตเพื่อสร้างสมดุลอำนาจของชาติตะวันตกจนทำให้เรารอดจากการเป็นอาณานิคม
ผ่านมาถึงยุคประชาธิปไตย บางช่วงเราต้องการผู้นำที่เป็นนายทหาร บางช่วงเราต้องการผู้นำที่เก่งเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันเราต้องการผู้นำเก่งกาจเรื่องการทูตและกิจการระหว่างประเทศ เพื่อสร้างสมดุลอำนาจของชาติตะวันตกเหมือนในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งในที่สุดจะช่วยทำให้ปัญหาการเมืองภายในหมดไป เนื่องจากปัญหาการเมืองภายในเกิดมาจากการแทรกแซงกิจการจากภายนอกด้วยความพยายามจัดระเบียบโลกของชาติมหาอำนาจตะวันตก
……………………………………………………………………………
ซีรีส์ Shōgun ซึ่งเป็นเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นยุคศักดินาในศตวรรษที่ 17 ได้กวาดรางวัลอย่างมหาศาลในการประกาศรางวัล Emmy Awards ปี 2024 ด้วยการคว้าไปถึง 18 รางวัล จากทั้งหมด 25 การเสนอชื่อ ซึ่งทำให้ซีรีส์นี้สร้างประวัติศาสตร์เป็นซีรีส์ที่ได้รางวัล Emmy มากที่สุดในหนึ่งปี จึงไม่เพียงแต่เป็นซีรีส์ที่น่าสนใจในแง่ของเนื้อเรื่อง แต่ยังเป็นการผลิตที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในวงการโทรทัศน์ระดับโลก
เนื้อเรื่องของ Shōgun สร้างจากนวนิยายของ James Clavell และเล่าถึงการต่อสู้เพื่ออำนาจในยุคญี่ปุ่นโบราณ โดยมีตัวละครหลักอย่าง Toranaga:โทกูงาวะ อิเอยาสุ ซึ่งเป็นผู้ปกครองที่มีอิทธิพลและต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายในเส้นทางสู่การเป็นโชกุน
ประวัติศาสตร์ที่สร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ James Clavell เล่าเรื่องราวในญี่ปุ่นยุคศักดินาช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อำนาจของโชกุนกำลังเป็นที่มั่นคง
เนื้อเรื่องหลักของ Shōgun เกี่ยวกับการมาถึงของชาวตะวันตก คือ John Blackthorne กัปตันเรือชาวอังกฤษที่พบตัวเองมาติดอยู่ในดินแดนญี่ปุ่นที่มีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแตกต่างไปจากโลกตะวันตกอย่างสิ้นเชิง เขาได้เข้าไปพัวพันกับการเมืองและการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างขุนนางญี่ปุ่น โดยเฉพาะ โทกูงาวะ อิเอยาสุ ผู้ปกครองที่มีอำนาจซึ่งมีเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นโชกุน หรือผู้บัญชาการสูงสุดของญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม เนื้อหาหลายส่วนได้รับการดัดแปลงเพื่อเพิ่มความบันเทิงและความดรามาในนิยาย
เหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์:
ยุคโทกูงาวะ ในประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นกำลังออกจากยุคสงครามกลางเมืองและรวมประเทศภายใต้การปกครองของ โทกูงาวะ อิเอยาสุ ซึ่งกลายมาเป็นโชกุนคนแรกในยุคเอโดะหลังจากชนะในยุทธการที่เซกิงาฮาระในปี 1600 การปกครองนี้นำไปสู่ช่วงเวลาแห่งความสงบและการพัฒนาทางเศรษฐกิจในญี่ปุ่นที่ยาวนานถึง 250 ปี
การเดินทางของชาวตะวันตกมายังญี่ปุ่นในช่วงศตวรรษที่ 16-17 เป็นเรื่องจริง นักเดินเรือชาวตะวันตก เช่น William Adams ชาวอังกฤษที่เดินทางมาถึงญี่ปุ่นในปี 1600 เป็นบุคคลจริงที่เป็นต้นแบบของตัวละคร John Blackthorne ในเรื่อง “Shōgun” Adams ได้รับความไว้วางใจจากโทกูงาวะและได้รับตำแหน่งสำคัญในฐานะที่ปรึกษาทางการค้าและกองเรือ
มีการดัดแปลงในนิยายบางอย่าง เช่น ในนิยาย ตัวละคร Blackthorne มีบทบาทสำคัญในเรื่องการเมืองและสงครามของญี่ปุ่น แต่ในประวัติศาสตร์จริง William Adams ไม่ได้มีบทบาทในการทำสงครามหรือต่อสู้แย่งชิงอำนาจในญี่ปุ่น เพียงแต่เป็นที่ปรึกษาในด้านการเดินเรือและการค้าเท่านั้น
โชกุน (Shōgun) เป็นตำแหน่งทางการทหารและการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เป็นผู้นำสูงสุดที่ครองอำนาจเหนือรัฐบาลและกองทัพในยุคศักดินาของญี่ปุ่น โดยตำแหน่งนี้ไม่ได้เป็น “กษัตริย์“ (king) ตามความหมายของตะวันตก แต่เป็น “ผู้บัญชาการทหารสูงสุดผู้กุมอำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จเด็ดขาด” ที่มีอำนาจควบคุมการปกครองประเทศแทนจักรพรรดิ
โชกุนเป็นผู้นำทางทหารสูงสุดที่มีหน้าที่ปกป้องประเทศจากศัตรูภายนอกและควบคุมกองทัพ และเป็นผู้ปกครองจริงของประเทศ
แม้ว่าญี่ปุ่นจะมีจักรพรรดิ (Emperor) เป็นผู้นำเชิงสัญลักษณ์ และตำแหน่งโชกุนถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการโดยจักรพรรดิ แต่ในทางปฏิบัติในหลายช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ โชกุนมีอำนาจเหนือจักรพรรดิ ซึ่งทำให้เป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของญี่ปุ่น โดยเฉพาะในยุคเอโดะ (1603-1868) ที่โชกุนจากตระกูลโทกูงาวะ (Tokugawa) ปกครองประเทศนานกว่า 250 ปี
ยุคคามาคุระ (1185-1333) เป็นยุคแรกที่ระบบโชกุนเริ่มต้นขึ้น โดยโชกุนจากตระกูลมินาโมโตะ (Minamoto) มีอำนาจในการปกครอง
ยุคเอโดะ (1603-1868) โชกุนจากตระกูลโทกูงาวะเป็นผู้นำประเทศในช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นปิดประเทศและมีการปกครองที่มั่นคง
ตัวละคร โชกุน “ทากูนางะ” (Toranaga) ในเรื่อง Shōgun ไม่ใช่บุคคลจริงในประวัติศาสตร์ แต่มีพื้นฐานมาจากโชกุนที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นคือ โทกูงาวะ อิเอยาสุ (Tokugawa Ieyasu) ซึ่งเป็นโชกุนที่ก่อตั้งรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ และเป็นผู้ปกครองญี่ปุ่นในยุคเอโดะ (1603-1868)
ประวัติจริงของ โทกูงาวะ อิเอยาสุ
ชีวิตในวัยเด็ก โทกูงาวะ อิเอยาสุ เกิดเมื่อปี 1543 ในช่วงที่ญี่ปุ่นอยู่ในยุคสงครามกลางเมือง (Sengoku period) อิเอยาสุถูกส่งไปเป็นตัวประกันตั้งแต่เด็ก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในยุคนั้นสำหรับการรักษาสันติภาพระหว่างกลุ่มขุนศึกต่างๆ
หลังจากที่อิเอยาสุเป็นอิสระจากการเป็นตัวประกัน เขาก็เริ่มสร้างอำนาจของตนเองและรวมกำลังทหาร ต่อมาเขาได้เข้าร่วมกับโอดะ โนบุนางะ และโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ผู้นำทหารที่สำคัญในช่วงเวลานั้น
ยุทธการเซกิงาฮาระ (Battle of Sekigahara) ในปี 1600 อิเอยาสุได้ชนะสงครามครั้งสำคัญที่เซกิงาฮาระ ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้นำทหารที่มีอำนาจสูงสุดของญี่ปุ่น หลังจากนั้นในปี 1603 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นโชกุน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะที่ปกครองญี่ปุ่นนานกว่า 250 ปี
โทกูงาวะ อิเอยาสุ วางรากฐานระบบการปกครองแบบศักดินาที่เข้มแข็ง โดยการแบ่งแยกอำนาจทางทหารและการปกครองจากจักรพรรดิ ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นมีความสงบสุขและพัฒนามั่นคงในช่วงยุคเอโดะ
ภายใต้การปกครองของอิเอยาสุและลูกหลานของเขา ญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า ซาโกกุ (Sakoku) หรือการปิดประเทศจากการติดต่อกับโลกภายนอก เพื่อรักษาอำนาจและวัฒนธรรมดั้งเดิม
ในซีรีส์ Shōgun ตัวละคร Toranaga ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของ โทกูงาวะ อิเอยาสุมซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเส้นทางการขึ้นสู่อำนาจ การต่อสู้ทางการเมือง และการวางรากฐานการปกครองที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น
การปกครองในยุค “โชกุน“ มีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า “ระบบบาคุฮัน“ (Bakuhan system) ซึ่งเป็นการรวมกันระหว่างการปกครองแบบศักดินาและการปกครองส่วนกลางที่บริหารโดยโชกุน โดยระบบนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมืองและสังคมในช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นถูกแยกเป็นแคว้นเล็กๆ หลายแคว้น แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของโชกุนที่เป็นผู้ปกครองสูงสุด
ลักษณะสำคัญของการปกครองในยุคโชกุน:
โชกุน:
โชกุนคือผู้นำที่ได้รับการแต่งตั้งโดยจักรพรรดิ แต่มีอำนาจปกครองจริง และควบคุมประเทศในทุกด้าน โชกุนถือเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่มีอำนาจควบคุมขุนนางท้องถิ่นหรือซามูไรที่เรียกว่า “ไดเมียว” (Daimyo)
ไดเมียว (Daimyo):
ไดเมียวเป็นขุนนางหรือผู้นำในระดับท้องถิ่นที่ปกครองแคว้นหรือพื้นที่ที่เรียกว่า “ฮัน” (Han) พวกไดเมียวต้องรายงานต่อโชกุนและมีความรับผิดชอบในการปกครองท้องถิ่นของตนเอง แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของโชกุนอย่างเคร่งครัด พวกเขาจะต้องส่งทหารและภาษีให้กับโชกุน และบางครั้งต้องพำนักอยู่ในเมืองเอโดะ (ปัจจุบันคือโตเกียว) เพื่อควบคุมไม่ให้มีการก่อกบฏ
ระบบศักดินาและชนชั้นสังคม:
สังคมญี่ปุ่นในยุคนี้มีลำดับชนชั้นอย่างชัดเจน โดยชนชั้นสูงสุดคือซามูไร ซึ่งมีหน้าที่รับใช้โชกุนและไดเมียว ชนชั้นอื่นๆ รวมถึงเกษตรกร ช่างฝีมือ และพ่อค้า ระบบนี้ช่วยให้โชกุนสามารถควบคุมประชากรและเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบซังกิน-โคไต (Sankin-kōtai):
เป็นระบบที่บังคับให้ไดเมียวต้องผลัดเปลี่ยนไปพำนักในเมืองเอโดะเป็นระยะๆ พร้อมทั้งต้องทิ้งครอบครัวไว้ในเมืองหลวง เพื่อป้องกันการก่อกบฏและรักษาเสถียรภาพทางการเมือง ไดเมียวต้องใช้เงินในการเดินทางและใช้จ่ายในเมืองหลวง ทำให้การสะสมทรัพยากรเพื่อก่อกบฏเป็นเรื่องยาก
การปิดประเทศ (Sakoku):
ในยุคเอโดะภายใต้การปกครองของตระกูลโทกูงาวะ มีนโยบายการปิดประเทศเพื่อป้องกันการแทรกแซงจากต่างชาติ โดยเฉพาะอิทธิพลจากชาวตะวันตกและคริสต์ศาสนา ญี่ปุ่นอนุญาตให้มีการค้าขายเฉพาะกับบางประเทศเท่านั้น เช่น เนเธอร์แลนด์ และจีน ผ่านท่าเรือที่นางาซากิ
จักรพรรดิ (Emperor):
แม้จักรพรรดิจะเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรม แต่ไม่มีอำนาจปกครองจริง จักรพรรดิและราชสำนักในเกียวโตถูกลดบทบาทลงเป็นเพียงสัญลักษณ์ โดยอำนาจการบริหารทั้งหมดอยู่ในมือของโชกุน
การปกครองในยุคโชกุนเน้นการรวมศูนย์อำนาจทางการเมืองและการทหารที่อยู่ภายใต้การควบคุมของโชกุน แต่ในขณะเดียวกันก็มีระบบศักดินาที่เปิดโอกาสให้ขุนนางท้องถิ่นปกครองพื้นที่ของตนได้ การปกครองในยุคนี้เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นมีความสงบสุขและมั่นคงยาวนาน แม้จะมีการควบคุมอย่างเข้มงวดก็ตาม
ระบบโชกุนล่มสลายในปี 1868 ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของยุคเอโดะ และนำไปสู่การฟื้นฟูอำนาจของจักรพรรดิหรือที่รู้จักกันในชื่อ “การฟื้นฟูเมจิ (Meiji Restoration)“ สาเหตุของการล่มสลายของระบบโชกุนมีหลายประการ โดยแบ่งเป็นสาเหตุภายในและภายนอกดังนี้:
สาเหตุภายใน
1. การเสื่อมอำนาจของตระกูลโทกูงาวะ
– หลังจากที่โชกุนโทกูงาวะปกครองญี่ปุ่นมายาวนานกว่า 250 ปี อำนาจของตระกูลโทกูงาวะเริ่มเสื่อมถอยลงเนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่สั่งสมมาหลายปี ไดเมียวและซามูไรในหลายแคว้นเริ่มไม่พอใจกับการปกครองที่เข้มงวดของโชกุน
– ระบบซังกิน-โคไต ซึ่งบังคับให้ไดเมียวต้องใช้จ่ายทรัพยากรมหาศาลในการเดินทางและพักอาศัยที่เอโดะ ทำให้หลายแคว้นเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ
2. ความไม่พอใจของซามูไรและชนชั้นอื่นๆ
– ซามูไรที่เคยมีบทบาทสำคัญในสังคมเริ่มรู้สึกว่าอำนาจและสถานะของพวกเขาถูกลดทอนลง โดยเฉพาะในช่วงที่ญี่ปุ่นมีความสงบสุขเป็นเวลานาน ทำให้ซามูไรไม่มีบทบาทในสงคราม และหลายคนกลายเป็นหนี้สิน
– การแบ่งชนชั้นอย่างเข้มงวดทำให้เกิดความไม่พอใจในสังคม โดยชนชั้นล่าง เช่น เกษตรกรและพ่อค้า เริ่มเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพมากขึ้น
สาเหตุภายนอก
1. การเปิดประเทศสู่ชาวตะวันตก
– ในปี 1853, พลเรือจัตวา Matthew Perry จากสหรัฐอเมริกา นำเรือรบมาถึงญี่ปุ่นและเรียกร้องให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศเพื่อการค้า นำไปสู่การลงนามในสนธิสัญญาคานางาวะในปี 1854 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดประเทศสู่ชาวตะวันตก
– การเปิดประเทศทำให้ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับเทคโนโลยีและวัฒนธรรมตะวันตกที่ทันสมัยกว่า ความอ่อนแอของรัฐบาลโชกุนในการรับมือกับชาวต่างชาติทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมากไม่พอใจและต้องการการเปลี่ยนแปลง
2. การกดดันจากมหาอำนาจตะวันตก
– หลังจากที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศ มหาอำนาจตะวันตก เช่น อังกฤษ รัสเซีย และฝรั่งเศส เข้ามามีบทบาทในการเจรจาทางการค้ากับญี่ปุ่น การเข้ามาของต่างชาติทำให้เกิดความตึงเครียดภายในประเทศ และโชกุนถูกมองว่าไม่สามารถปกป้องอธิปไตยของญี่ปุ่นได้
การฟื้นฟูเมจิ (Meiji Restoration):
– ในปี 1868 กลุ่มซามูไรจากแคว้นทางตอนใต้ของญี่ปุ่น รวมถึงแคว้นซัตสึมะและโจชู ได้ร่วมมือกันทำการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ และฟื้นฟูอำนาจของจักรพรรดิ โดยจักรพรรดิเมจิขึ้นครองราชย์ในปีนั้น
– การปฏิวัตินี้นำไปสู่การปฏิรูปญี่ปุ่นในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่ทันสมัยและเปิดกว้างสู่โลกภายนอกมากขึ้น
ระบบโชกุนล่มสลายเพราะปัจจัยหลายประการ รวมถึงการเสื่อมอำนาจภายใน ปัญหาทางเศรษฐกิจ และการกดดันจากชาวตะวันตก ซึ่งทั้งหมดนำไปสู่การฟื้นฟูอำนาจของจักรพรรดิและการเริ่มต้นยุคใหม่ของญี่ปุ่น
สหรัฐอเมริกาใช้วิธีอะไรถึงแทรกแซงจนสามารถโค่นระบบโชกุนลงได้!
สหรัฐอเมริกาไม่ได้แทรกแซงโดยตรงในการล่มระบบโชกุน แต่การแทรกแซงทางการทูตและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การล่มสลายของระบบโชกุน โดยเฉพาะในด้านการเปิดประเทศและการบังคับให้ญี่ปุ่นติดต่อกับชาติตะวันตก เหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่การล่มสลายของระบบโชกุนคือการมาถึงของกองเรือของ พลเรือจัตวา Matthew Perry จากสหรัฐอเมริกาในปี 1853
วิธีที่สหรัฐอเมริกาแทรกแซง:
1. การบังคับให้เปิดประเทศ (Gunboat Diplomacy)
– ในปี 1853 พลเรือจัตวา Matthew Perry นำกองเรือรบมาถึงญี่ปุ่นที่อ่าวเอโดะ (ปัจจุบันคือโตเกียว) โดยใช้กำลังทหารในการเจรจาเพื่อเปิดประเทศญี่ปุ่นสู่การค้า เขานำเรือรบที่มีเทคโนโลยีทันสมัยและข่มขู่รัฐบาลโชกุนว่าจะใช้กำลังหากไม่ยอมเจรจา
– Perry และรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการให้ญี่ปุ่นเปิดท่าเรือเพื่อค้าขายกับสหรัฐฯ รวมถึงการจัดหาทรัพยากรและที่พักสำหรับเรือรบของสหรัฐฯ ที่กำลังทำการเดินทางในภูมิภาคแปซิฟิก
2. การลงนามในสนธิสัญญาคานางาวะ (Treaty of Kanagawa, 1854)
– หลังจากการมาถึงของ Perry ในปี 1853 และการเจรจาที่ตามมา ญี่ปุ่นได้ลงนามในสนธิสัญญาคานางาวะในปี 1854 สนธิสัญญานี้บังคับให้ญี่ปุ่นเปิดท่าเรือสองแห่งเพื่อการค้าและการติดต่อกับสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกหลังจากปิดประเทศมานานกว่า 200 ปี
– สนธิสัญญานี้ยังเปิดทางให้ชาติอื่นๆ เช่น อังกฤษ รัสเซีย และฝรั่งเศส ทำสนธิสัญญาคล้ายกันกับญี่ปุ่น ส่งผลให้ประเทศญี่ปุ่นเริ่มถูกรุกรานทางเศรษฐกิจจากชาติตะวันตกมากขึ้น
ผลกระทบ:
การแทรกแซงของสหรัฐฯ ในการบังคับให้เปิดประเทศส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อญี่ปุ่น และเป็นตัวกระตุ้นสำคัญในการเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจในญี่ปุ่น การที่รัฐบาลโชกุนไม่สามารถรับมือกับการแทรกแซงจากชาติตะวันตกได้ ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ชนชั้นนำและซามูไร จนนำไปสู่ “การปฏิวัติฟื้นฟูเมจิ (Meiji Restoration)“ ในปี 1868 ซึ่งเป็นการฟื้นฟูอำนาจของจักรพรรดิและนำไปสู่การล้มล้างระบบโชกุน
การล่มสลายของระบบโชกุนในปี 1868 นำไปสู่การฟื้นฟูอำนาจของจักรพรรดิเมจิและการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการต่อญี่ปุ่น ซึ่งมีทั้งผลดีและผลเสีย ดังนี้:
ผลดีต่อญี่ปุ่น:
1. การปฏิรูปและการพัฒนาเศรษฐกิจ
– หลังจากการฟื้นฟูเมจิ ญี่ปุ่นได้เข้าสู่ยุคแห่งการปฏิรูปทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ญี่ปุ่นนำเอาเทคโนโลยีและวิทยาการจากชาติตะวันตกมาใช้ในประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ญี่ปุ่นพัฒนาจากประเทศที่มีเศรษฐกิจแบบศักดินาไปสู่เศรษฐกิจแบบอุตสาหกรรมในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ
– โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบรถไฟ การสื่อสาร และการศึกษา ได้รับการปรับปรุงใหม่ ทำให้ญี่ปุ่นทันสมัยมากขึ้นและสามารถแข่งขันกับชาติตะวันตกได้
2. การรวมอำนาจและความเป็นชาตินิยม
– การล้มล้างระบบโชกุนและการฟื้นฟูอำนาจของจักรพรรดิทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีการรวมอำนาจเป็นเอกภาพ การปกครองจากส่วนกลางแทนที่การปกครองแบบศักดินา ซึ่งช่วยให้ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็วและมีเสถียรภาพ
– แนวคิดเรื่องชาตินิยมและการฟื้นฟูอำนาจของจักรพรรดิทำให้เกิดการรวมตัวของประชาชนชาวญี่ปุ่น และช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชาติในช่วงเวลาที่ประเทศต้องรับมือกับความกดดันจากชาติตะวันตก
3. การเสริมสร้างกองทัพและการขยายอาณานิคม
– ญี่ปุ่นได้ปฏิรูปกองทัพตามแบบตะวันตก โดยเปลี่ยนจากกองทัพซามูไรมาเป็นกองทัพที่จัดตั้งตามแบบตะวันตก ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นมีความสามารถทางทหารที่แข็งแกร่งมากขึ้น
– ความเข้มแข็งทางทหารนี้ทำให้ญี่ปุ่นสามารถขยายอิทธิพลไปในเอเชีย โดยเฉพาะในช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (1894-1895) และสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (1904-1905)
ผลเสียต่อญี่ปุ่น:
1. การสูญเสียวัฒนธรรมดั้งเดิมและชนชั้นซามูไร
– การปฏิรูปในยุคเมจินำไปสู่การล่มสลายของชนชั้นซามูไร ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญในสังคมญี่ปุ่นเป็นเวลาหลายศตวรรษ ชนชั้นซามูไรถูกลดอำนาจและสถานะลง และในที่สุดก็ถูกยกเลิกโดยสิ้นเชิง
– นอกจากนี้ การเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นบางส่วนเสื่อมลง การปฏิรูปเมจิพยายามสร้างความทันสมัยให้ญี่ปุ่นตามแบบตะวันตก ซึ่งส่งผลให้มีการละทิ้งบางประเพณีและวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น
2. การกดดันจากชาติตะวันตก
– แม้การเปิดประเทศและการพัฒนาจะช่วยให้ญี่ปุ่นสามารถต่อสู้กับชาติตะวันตกได้อย่างเท่าเทียม แต่ในระยะแรกๆ ญี่ปุ่นต้องประสบกับการกดดันทางเศรษฐกิจและการเมืองจากชาติตะวันตกผ่านสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นต้องเปิดตลาดและอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามามีอิทธิพลในบางส่วนของเศรษฐกิจญี่ปุ่น
ถ้าพูดถึงในแง่อำนาจเบ็ดเสร็จ โชกุนมีลักษณะใกล้เคียงกับ “ผู้นำเผด็จการทหาร“ ดังนั้นหากจะพิจารณาว่า โชกุนโทกูงาวะ อิเอยาสุ เป็นคนดีหรือคนเลวนั้นขึ้นอยู่กับมุมมองทางประวัติศาสตร์และบริบทที่เรามองเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น อิเอยาสุเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น และมีทั้งคุณลักษณะที่ถูกยกย่องและการกระทำที่ถูกวิจารณ์
ด้านที่ถูกยกย่อง (คนดี):
1. สร้างความสงบสุขและเสถียรภาพ
– โทกูงาวะ อิเอยาสุ เป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำที่สามารถสร้างสันติภาพให้กับญี่ปุ่นหลังจากยุคสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อนานหลายทศวรรษ การก่อตั้งรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะในปี 1603 ทำให้เกิดยุคเอโดะ ซึ่งเป็นยุคแห่งความสงบยาวนานกว่า 250 ปี
– อิเอยาสุสร้างระบบปกครองที่แข็งแกร่งและมั่นคง ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจและวัฒนธรรมญี่ปุ่นเจริญรุ่งเรือง ชาวญี่ปุ่นมีความมั่นคงในชีวิตและไม่มีสงครามใหญ่ภายในประเทศ
2. นักการเมืองที่ฉลาดและมียุทธศาสตร์
– โทกูงาวะ อิเอยาสุ ได้รับการยกย่องในด้านความสามารถทางการเมืองและการทูต เขาใช้ยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่ชาญฉลาดเพื่อรวมอำนาจและปราบปรามศัตรูโดยไม่ต้องใช้กำลังเสมอไป นอกจากนี้ เขายังเป็นนักวางแผนที่รอบคอบในการรักษาความสัมพันธ์กับตระกูลต่างๆ
ด้านที่ถูกวิจารณ์ (คนเลว):
1. ใช้กำลังและความรุนแรงในการครองอำนาจ
– อิเอยาสุเป็นผู้นำทหารที่ใช้กำลังในการควบคุมและปกครองญี่ปุ่น โดยเฉพาะการเข้าร่วมและชนะในยุทธการเซกิงาฮาระในปี 1600 ซึ่งเขาใช้วิธีการทางทหารเพื่อปราบปรามศัตรูและควบคุมอำนาจ ในแง่นี้ เขาอาจถูกมองว่าเป็นผู้นำที่ใช้ความรุนแรงในการขึ้นสู่อำนาจ
– การปกครองของเขาเน้นการควบคุมอย่างเข้มงวดผ่านระบบซังกิน-โคไต (Sankin-kotai) ซึ่งบังคับให้ไดเมียวต้องผลัดกันพำนักอยู่ในเอโดะเพื่อป้องกันไม่ให้ก่อกบฏ
2. การควบคุมวัฒนธรรมและศาสนา
– อิเอยาสุออกกฎระเบียบที่เข้มงวดเพื่อควบคุมวัฒนธรรมและศาสนาในญี่ปุ่น โดยเฉพาะการขับไล่ศาสนาคริสต์และการปราบปรามชาวคริสต์อย่างรุนแรง เนื่องจากเขาเห็นว่าศาสนาคริสต์เป็นภัยคุกคามต่ออำนาจและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของญี่ปุ่น
โทกูงาวะ อิเอยาสุ มีทั้งคุณลักษณะที่ทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำที่สร้างความมั่นคงและพัฒนาประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็มีการกระทำที่ใช้ความรุนแรงและการควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อรักษาอำนาจ ซึ่งอาจทำให้บางคนมองว่าเขาเป็นผู้นำที่โหดเหี้ยม ขึ้นอยู่กับมุมมองและบริบทของการพิจารณาทางประวัติศาสตร์
ชาวญี่ปุ่นในยุคปัจจุบันมองระบบโชกุนและประวัติศาสตร์ของโชกุนในหลากหลายแง่มุม ซึ่งขึ้นอยู่กับมุมมองทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความเข้าใจของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้ว ความคิดเห็นของชาวญี่ปุ่นเกี่ยวกับโชกุนและระบบโชกุนในยุคปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
1. ความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
– ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่รู้สึกภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ของประเทศ โดยเฉพาะยุคเอโดะซึ่งเป็นยุคที่โชกุนปกครอง ประเทศมีความสงบสุขและพัฒนาทั้งด้านวัฒนธรรม ศิลปะ และเศรษฐกิจ ช่วงเวลานี้ถูกมองว่าเป็นยุคที่ญี่ปุ่นมีเอกลักษณ์และวัฒนธรรมที่โดดเด่น
– สื่อบันเทิง เช่น ภาพยนตร์ ซีรีส์ และละครโทรทัศน์ในญี่ปุ่นมักนำเสนอเรื่องราวของโชกุนและซามูไรในฐานะตัวแทนของประวัติศาสตร์ที่สำคัญและเป็นรากฐานของญี่ปุ่น
2. การยอมรับในบทบาทของโชกุนในด้านการปกครอง
– ชาวญี่ปุ่นในปัจจุบันมีความเข้าใจที่ดีว่าระบบโชกุนช่วยนำเสถียรภาพทางการเมืองและความสงบสุขให้กับประเทศ โดยเฉพาะในยุคที่ญี่ปุ่นเผชิญกับสงครามภายใน ระบบการปกครองของโชกุนได้รับการยอมรับว่าเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพในการรักษาความสงบ
– แม้ว่าระบบโชกุนจะถูกล้มล้างไปแล้ว แต่ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากยังมองเห็นคุณค่าของการจัดการอำนาจในระบบนี้ในการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง
ชาวญี่ปุ่นในยุคปัจจุบันมีความเข้าใจในระบบโชกุนในแง่ของการเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ทั้งในด้านการปกครองและวัฒนธรรม แม้ว่าระบบนี้จะล่มสลายไปแล้ว แต่ก็ยังมีการยกย่องในความสามารถในการสร้างเสถียรภาพ และในขณะเดียวกันก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ของการควบคุมและการจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐาน
ประเด็นเรื่อง “การแทรกแซงของชาวตะวันตกในเอเชียและแอฟริกา“ มักเกี่ยวข้องกับมุมมองที่เรียกว่า “ภาระคนขาว” (White Man’s Burden) ซึ่งเกิดจากความเชื่อว่าชาวตะวันตกมีความก้าวหน้าทางศิวิไลซ์มากกว่า จึงต้องแทรกแซงเพื่อ “พัฒนา” หรือ “ปรับปรุง” สังคมและการปกครองในประเทศที่พวกเขามองว่าไม่พัฒนาเพียงพอ แต่มุมมองนี้มักถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิจัย นักวิชาการ และประชาชนในประเทศที่ถูกแทรกแซงว่าเป็นการกดขี่และทำลายวัฒนธรรมของชาติในเอเชียและแอฟริกา
ความคิดเห็นและการวิเคราะห์ของนักวิชาการ:
1. ทฤษฎีจักรวรรดินิยม
– นักวิชาการหลายคนมองว่าการแทรกแซงของชาวตะวันตกในอดีตเป็นส่วนหนึ่งของ “จักรวรรดินิยม“ (Imperialism) ซึ่งชาติตะวันตกเข้ามาควบคุมเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมในประเทศอาณานิคมเพื่อประโยชน์ของตัวเอง โดยใช้ข้ออ้างว่าต้องการนำความเจริญรุ่งเรืองและศิวิไลซ์ไปให้
– นักประวัติศาสตร์อย่าง Edward Said ได้เสนอทฤษฎี “Orientalism“ ซึ่งอธิบายว่าชาวตะวันตกมีทัศนคติที่เหนือกว่าต่อชาวตะวันออก และการแทรกแซงนี้เกิดจากการสร้างภาพลักษณ์ที่บิดเบือนว่าชาวเอเชียและแอฟริกาต่ำกว่าหรือด้อยพัฒนา
2. มุมมองต่อต้านจักรวรรดินิยมและการเรียกร้องอิสรภาพ
– หลายประเทศในเอเชียและแอฟริกาได้รับผลกระทบเชิงลบจากการแทรกแซงของชาติตะวันตก เช่น การล่มสลายของวัฒนธรรมและการปกครองแบบดั้งเดิม การสูญเสียอำนาจการปกครองท้องถิ่น และการใช้ทรัพยากรในประเทศเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ของชาติตะวันตก
– นักคิดอย่าง Frantz Fanon ได้เขียนถึงผลกระทบทางจิตใจและสังคมของการตกเป็นอาณานิคม โดยชี้ให้เห็นว่าการแทรกแซงของชาวตะวันตกไม่ได้ส่งเสริมการพัฒนา แต่กลับทำลายความเป็นตัวตนและอัตลักษณ์ของประชากรในประเทศที่ถูกครอบครอง
3. การพัฒนาและการสร้างสังคมหลังอาณานิคม
– หลังจากการประกาศอิสรภาพของหลายประเทศในเอเชียและแอฟริกา นักวิจัยบางกลุ่มมองว่ามรดกที่ทิ้งไว้โดยการแทรกแซงของชาวตะวันตกทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมและการแบ่งชนชั้นทางเศรษฐกิจและสังคมในประเทศเหล่านี้ แม้ว่าบางประเทศจะนำเอาวิธีการบริหารจัดการแบบตะวันตกมาใช้ แต่ก็ยังมีปัญหาความไม่เสมอภาคและความขัดแย้งภายใน
– นักวิจัยบางคน เช่น Kwame Nkrumah อดีตผู้นำประเทศกานา มองว่าประเทศในเอเชียและแอฟริกาต้องสร้างความเข้มแข็งของตนเองโดยไม่พึ่งพาชาวตะวันตก โดยใช้ระบบการปกครองและเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง
งานวิจัยที่สนับสนุนแนวคิดเหล่านี้:
– การศึกษาเรื่องการปกครองและผลกระทบจากจักรวรรดินิยม เช่น งานวิจัยของ Benedict Anderson ในเรื่องชาตินิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ Chinua Achebe ที่เขียนเกี่ยวกับผลกระทบของจักรวรรดินิยมในแอฟริกา
– งานวิจัยของ Amartya Sen นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลที่วิเคราะห์ว่าการพัฒนาแบบตะวันตกไม่ใช่วิธีการเดียวที่สามารถนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศต่างๆ ได้
ชาวตะวันตกมักมองว่าตนเองศิวิไลซ์กว่า และใช้ความเชื่อนี้เป็นเหตุผลในการแทรกแซงประเทศอื่นในเอเชียและแอฟริกา อย่างไรก็ตาม นักวิชาการจำนวนมากมองว่าการแทรกแซงเหล่านี้มักเป็นการกดขี่และทำลายวัฒนธรรมท้องถิ่น และส่งผลเสียในระยะยาว ทั้งในด้านสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ
การจัดระเบียบโลก (Global Order)
การจัดระเบียบโลก หมายถึงกระบวนการทางการเมืองระหว่างประเทศและการสร้างกรอบความสัมพันธ์ที่มักนำโดยมหาอำนาจ ซึ่งพยายามกำหนดวิธีที่ประเทศต่างๆ ควรดำเนินการในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือการทหาร การจัดระเบียบโลกมีความเกี่ยวข้องกับการควบคุมและจัดการสถานการณ์โลกเพื่อให้เกิดเสถียรภาพ การป้องกันความขัดแย้ง และการควบคุมทรัพยากร นโยบายนี้มักถูกขับเคลื่อนโดยประเทศที่มีอิทธิพล เช่น สหรัฐอเมริกา หรือกลุ่มพันธมิตรตะวันตกที่ต้องการสร้างกรอบระเบียบการเมืองและเศรษฐกิจในระดับโลกที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตนเอง
การจัดระเบียบโลกในปัจจุบัน:
1. ความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ
– การจัดระเบียบโลกในปัจจุบันมักเกี่ยวข้องกับการควบคุมเศรษฐกิจผ่านสถาบันระหว่างประเทศ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หรือ องค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังพัฒนา
– ในแง่การเมือง สหรัฐฯ และชาติตะวันตกบางครั้งใช้กลยุทธ์ทางการทูตและการทหารในการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นๆ โดยใช้เหตุผลที่ว่าเพื่อสร้างสันติภาพ รักษาเสถียรภาพ หรือปกป้องสิทธิมนุษยชน แต่ก็อาจมีการตั้งข้อสงสัยว่าการแทรกแซงดังกล่าวมีเป้าหมายแอบแฝงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง
2. ตัวอย่างของการจัดระเบียบโลก
– ในหลายกรณี การแทรกแซงในตะวันออกกลาง เช่น การรุกรานอิรักในปี 2003 และการแทรกแซงทางการทหารในลิเบียในปี 2011 มักถูกอ้างถึงว่าเป็นความพยายามของมหาอำนาจตะวันตกในการจัดระเบียบการเมืองของภูมิภาค โดยมุ่งหวังที่จะสร้างประชาธิปไตยและความมั่นคง อย่างไรก็ตาม การแทรกแซงเหล่านี้มักนำไปสู่ความไม่เสถียรและความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในพื้นที่เหล่านั้น
3. การใช้สิทธิมนุษยชนเป็นข้ออ้าง
– มหาอำนาจตะวันตกมักอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยเป็นเหตุผลในการเข้าแทรกแซงกิจการของประเทศอื่นๆ ในเอเชียและแอฟริกา เช่น การสนับสนุนกลุ่มฝ่ายค้านหรือการกดดันทางเศรษฐกิจ เพื่อบีบบังคับให้ประเทศเหล่านั้นปรับเปลี่ยนการปกครองหรือการจัดการทางเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล อย่างไรก็ตาม บางครั้งก็ถูกมองว่าเป็นวิธีการที่ซับซ้อนในการแสวงหาประโยชน์ของมหาอำนาจ
การจัดระเบียบโลก: ถูกต้องหรือไม่?
ฝ่ายสนับสนุน:
การจัดระเบียบโลกมองว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องในแง่ของการสร้างเสถียรภาพระดับโลก การพัฒนาประชาธิปไตย การปกป้องสิทธิมนุษยชน และการป้องกันความขัดแย้งระหว่างประเทศ ตัวอย่างเช่น การสร้างองค์กรระหว่างประเทศเช่น องค์การสหประชาชาติ (UN) เป็นตัวแทนของความพยายามในการสร้างระเบียบโลกเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ฝ่ายที่วิจารณ์:
มองว่าการจัดระเบียบโลกในลักษณะนี้มักเป็นเพียงข้ออ้างที่มหาอำนาจใช้เพื่อแทรกแซงกิจการภายในของประเทศที่ด้อยอำนาจกว่าและรักษาผลประโยชน์ของตนเอง การแทรกแซงเหล่านี้บางครั้งนำไปสู่ความไม่มั่นคง และขัดขวางความเป็นอิสระของประเทศที่ถูกแทรกแซง ทำให้เกิดการทำลายวัฒนธรรมและเศรษฐกิจท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น Frantz Fanon นักคิดจากแอฟริกามองว่าการแทรกแซงทางการเมืองจากตะวันตกเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของมหาอำนาจมากกว่าการช่วยเหลือประเทศที่กำลังพัฒนา
การจัดระเบียบโลกเป็นแนวคิดที่ซับซ้อนและมีทั้งด้านบวกและด้านลบ ขึ้นอยู่กับมุมมองและผลกระทบในแต่ละกรณี การพยายามสร้างความเสถียรและพัฒนาประเทศผ่านการจัดระเบียบโลกอาจมีข้อดี แต่อีกด้านหนึ่งก็มีการตั้งคำถามถึงการแทรกแซงที่มักเกี่ยวข้องกับการแสวงหาผลประโยชน์ของมหาอำนาจ
การจัดระเบียบโลกในปัจจุบัน สามารถมองได้ว่าเป็นการพัฒนาต่อเนื่องจากแนวคิด “ภาระคนขาว“ (White Man’s Burden) ในอดีต ซึ่งเป็นความเชื่อในช่วงจักรวรรดินิยมที่ชาวตะวันตกมองว่าตนเองมีภาระหน้าที่ในการนำความศิวิไลซ์ไปยังประเทศที่พวกเขามองว่า “ด้อยพัฒนา” โดยใช้เหตุผลว่าต้องการปรับปรุงสังคม การเมือง และเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นให้เจริญก้าวหน้าขึ้น อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้มักเป็นข้ออ้างในการแทรกแซงและการล่าอาณานิคมเพื่อประโยชน์ของชาติตะวันตก
ภาระคนขาวในอดีต:
แนวคิด “ภาระคนขาว” เกิดขึ้นในช่วงจักรวรรดินิยม โดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งชาติตะวันตกมองว่าพวกเขามีหน้าที่ในการนำความรู้และวัฒนธรรมไปเผยแพร่ในประเทศอาณานิคม การแทรกแซงเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการทำเพื่อ “ช่วยเหลือ” แต่ยังเป็นการสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองให้กับประเทศเจ้าอาณานิคม
การจัดระเบียบโลกในปัจจุบัน:
ในยุคปัจจุบัน แม้ว่ารูปแบบของการแทรกแซงจะเปลี่ยนไป แต่ความคิดบางอย่างจากภาระคนขาวยังคงอยู่ในรูปของการจัดระเบียบโลก โดยชาติตะวันตกยังคงมีบทบาทในการกำหนดกฎเกณฑ์และมาตรฐานในระดับโลก ไม่ว่าจะผ่านสถาบันระหว่างประเทศ เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN)** หรือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่มักมีอิทธิพลอย่างมากจากประเทศมหาอำนาจ การแทรกแซงของชาติตะวันตกยังคงอ้างถึงสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และการปกป้องเสถียรภาพของโลก
ความคล้ายคลึง
1. การใช้เหตุผลเพื่อแทรกแซง
เช่นเดียวกับภาระคนขาวในอดีต การแทรกแซงในปัจจุบันมักใช้เหตุผลทางศีลธรรม เช่น การปกป้องสิทธิมนุษยชน หรือการส่งเสริมประชาธิปไตยเพื่อเข้าไปแทรกแซงในประเทศอื่นๆ
2. การครอบงำทางเศรษฐกิจ
สถาบันการเงินโลก เช่น IMF และ WTO มักกำหนดเงื่อนไขที่ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาต้องปฏิบัติตามกรอบนโยบายที่ถูกกำหนดโดยประเทศมหาอำนาจ ซึ่งเป็นลักษณะที่คล้ายกับวิธีการที่ชาติตะวันตกเคยใช้ในการควบคุมอาณานิคม
ความแตกต่าง:
การเปลี่ยนแปลงในบริบทสากลการแทรกแซงในปัจจุบันไม่ได้อยู่ในรูปแบบของการยึดครองทางทหารหรือการตั้งอาณานิคมโดยตรงเหมือนในอดีต แต่เปลี่ยนไปเป็นการใช้อิทธิพลทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมผ่านการทูตและการเจรจาระหว่างประเทศ
การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ แม้จะมีการแทรกแซง แต่สถาบันและองค์กรระหว่างประเทศก็ทำหน้าที่สร้างกรอบการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศเพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพ ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีการพัฒนาไปจากยุคจักรวรรดินิยมในอดีต
เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่?
การแทรกแซงในนามของการจัดระเบียบโลกเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อน:
ฝ่ายที่สนับสนุน มองว่า การแทรกแซงหรือการสร้างระเบียบโลกช่วยให้เกิดเสถียรภาพ ปกป้องสิทธิมนุษยชน และลดความขัดแย้ง ซึ่งเป็นการนำพาสันติภาพและความเจริญมาสู่ประเทศที่กำลังพัฒนา
ฝ่ายที่วิจารณ์ มองว่า การแทรกแซงเช่นนี้เป็นรูปแบบใหม่ของการครอบงำและการสร้างความไม่เป็นธรรมในระดับโลก การแทรกแซงในบางครั้งทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศที่ถูกแทรกแซง ซึ่งไม่ได้ต่างจากการล่าอาณานิคมในอดีต
การจัดระเบียบโลกในปัจจุบันสามารถมองได้ว่าเป็นการพัฒนามาจากแนวคิดของภาระคนขาวในอดีต โดยยังคงมีการแทรกแซงและครอบงำทางเศรษฐกิจและการเมือง แม้จะไม่อยู่ในรูปแบบของการล่าอาณานิคมเหมือนในอดีต
ในการจัดการกับ การจัดระเบียบโลกและความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน ประเทศอย่างไทยได้พัฒนาวิธีการและกลยุทธ์เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองในขณะที่ต้องเผชิญกับการแทรกแซงจากชาติมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ และจีน
งานวิจัยและบทวิเคราะห์ระบุว่าไทยและหลายชาติในเอเชียกำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองจากการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกใหม่ แต่ก็มีแนวทางจัดการที่สำคัญหลายประการ:
1. การสร้างความเป็นกลางทางการเมือง
ไทยพยายามรักษาจุดยืน “ความเป็นกลาง“ (Equidistance) ในความสัมพันธ์กับชาติมหาอำนาจ เช่น จีนและสหรัฐฯ แม้จะต้องมีการเลือกข้างในบางประเด็น เช่น เทคโนโลยีและการค้า แต่ไทยก็พยายามเสริมความสัมพันธ์กับหลายประเทศเพื่อไม่ให้ถูกกดดันมากเกินไปจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การทำเช่นนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นศัตรูของชาติมหาอำนาจ และช่วยให้สามารถดำเนินนโยบายในระดับสากลได้อย่างยืดหยุ่น
2. การพัฒนาเศรษฐกิจและการปฏิรูปภายใน
หนึ่งในแนวทางสำคัญคือการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว และการปฏิรูปเศรษฐกิจผ่านข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทยได้รับคำแนะนำให้ปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจภายในเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ชาญฉลาดและยั่งยืน รวมถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ทันสมัย เช่น เทคโนโลยีสีเขียว ซึ่งจะช่วยให้ไทยสามารถสร้างมาตรฐานในการเลือกการลงทุนที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศ
3. การสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาค
ประเทศในเอเชีย รวมถึงไทย เน้นการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเมืองในระดับภูมิภาค เช่น ความร่วมมือในกลุ่มอาเซียน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและความยืดหยุ่นต่อแรงกดดันจากภายนอก การเพิ่มพูนความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคเดียวกันยังช่วยลดการพึ่งพาตลาดตะวันตก และส่งเสริมการพึ่งพากันเองในเอเชีย
4. การใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักเทคโนโลยีในรัฐบาล
เพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ทางการเมืองและเศรษฐกิจ ไทยจำเป็นต้องนำความเชี่ยวชาญจากผู้เชี่ยวชาญและนักเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการตัดสินใจทางการเมืองมากขึ้น การเพิ่มทักษะของบุคลากรในภาครัฐและการใช้ข้อมูลทางวิชาการจะช่วยให้ไทยสามารถตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ได้ดีขึ้นในบริบทระเบียบโลกที่ซับซ้อน
โดยสรุป ไทยใช้แนวทางที่เน้นความเป็นกลาง การปฏิรูปเศรษฐกิจภายใน และการสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อจัดการกับการจัดระเบียบโลกและความท้าทายจากมหาอำนาจอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากแนวทางที่ได้กล่าวถึงแล้ว ยังมีการปรับตัวและแนวทางเพิ่มเติมที่ประเทศในเอเชีย รวมถึงไทย สามารถนำมาใช้เพื่อรับมือกับการจัดระเบียบโลกในปัจจุบัน:
5. การส่งเสริมอัตลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่น
– การรักษาอัตลักษณ์และวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นส่วนสำคัญในการรับมือกับอิทธิพลจากการจัดระเบียบโลก ประเทศไทยและหลายประเทศในเอเชียเลือกใช้ Soft Power เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรม เช่น อาหาร ประเพณี และการท่องเที่ยว เพื่อแสดงเอกลักษณ์และอิทธิพลทางวัฒนธรรมในเวทีโลก การรักษาเอกลักษณ์ที่แข็งแกร่งช่วยลดการพึ่งพาวัฒนธรรมตะวันตกและสร้างความเข้มแข็งภายใน
6. การปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนานวัตกรรม
– การปรับปรุงระบบการศึกษาเพื่อให้เยาวชนไทยมีความสามารถในด้าน เทคโนโลยี และ นวัตกรรม เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมช่วยให้ไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– นอกจากนี้ การสร้างความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและการวิจัยในระดับสากลจะช่วยเพิ่มโอกาสในการพัฒนาศักยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยเพื่อรองรับการจัดระเบียบโลกใหม่
7. การพัฒนาความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน
– ในสภาวะที่การจัดระเบียบโลกมีผลกระทบต่อการเข้าถึงทรัพยากร ไทยได้เน้นการพัฒนาความมั่นคงทางอาหารและพลังงานในประเทศ โดยมีการพัฒนานโยบายที่สนับสนุนการผลิตพลังงานสะอาดและอาหารเพื่อการบริโภคภายในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาทรัพยากรจากต่างประเทศ
– ความมั่นคงทางอาหารและพลังงานยังช่วยลดความเสี่ยงจากความไม่เสถียรในตลาดโลกและลดการถูกกดดันจากมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
การปรับตัวเหล่านี้เป็นแนวทางเสริมที่จะช่วยให้ไทยสามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการจัดระเบียบโลกในยุคปัจจุบันได้อย่างยั่งยืน
คุณทราบกันหรือไม่ว่าในประวัติศาสตร์ชาติไทยในยุคของในหลวงรัชกาลที่ 5 ของไทย ซึ่งเป็นยุคที่คนไทยภาคภูมิใจ ก็เคยมีชะตากรรมเดียวกันกับยุคโชกุนของญี่ปุ่น หรือในประเทศโลกที่สามอื่นๆ ทั่วโลก นั่นคือ การถูกมองว่าป่าเถื่อนและต้องถูกจัดระเบียบโลกเสียใหม่
แต่ในหลวงรัชกาลที่ 5 ของไทยสามารถรับมือหรือจัดการกับการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกได้สำเร็จ ทำให้ไทยรอดจากการตกเป็นอาณานิคมหรือไม่ พระองค์ใช้วิธีการรับมือใกล้เคียงกับสิ่งที่เล่ามายืดยาวตั้งแต่ต้น นั่นคือ การพัฒนาประเทศ การรักษาความเป็นกลาง และการสร้างพันธมิตร
ในหลวงรัชกาลที่ 5 หรือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสามารถรับมือกับ การล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกในช่วงศตวรรษที่ 19 ได้สำเร็จ ทำให้ประเทศไทย (สยามในขณะนั้น) ไม่ตกเป็นอาณานิคมเช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน พระองค์ใช้กลยุทธ์หลายประการในการจัดการกับสถานการณ์นี้ ซึ่งใกล้เคียงกับสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น ได้แก่ การพัฒนาประเทศ การรักษาความเป็นกลาง และ การสร้างพันธมิตร ดังนี้:
1. การพัฒนาประเทศและการปฏิรูป
– รัชกาลที่ 5 ทรงตระหนักถึงความจำเป็นในการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยเพื่อป้องกันไม่ให้สยามถูกครอบงำจากชาติตะวันตก พระองค์ทรงดำเนินการปฏิรูปประเทศหลายด้าน เช่น การปฏิรูประบบราชการ การศึกษา เศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการสร้าง รถไฟ และการปรับปรุง ระบบสาธารณูปโภค ซึ่งช่วยให้สยามมีศักยภาพในการแข่งขันกับอาณานิคมของชาติตะวันตกที่อยู่รายรอบ
– การปฏิรูปการศึกษา โดยการส่งพระราชโอรสและชนชั้นสูงไปศึกษาต่อต่างประเทศ เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาประเทศ ซึ่งช่วยให้สยามมีความรู้และทักษะใหม่ๆ มาพัฒนาประเทศให้มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับสากล
2. การรักษาความเป็นกลาง
– รัชกาลที่ 5 ทรงเลือกใช้แนวทาง ความเป็นกลางทางการเมือง ในการดำเนินความสัมพันธ์กับชาติมหาอำนาจตะวันตก เช่น อังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งกำลังล่าอาณานิคมในภูมิภาคนี้ โดยพระองค์ไม่เข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะ แต่พยายามรักษาความสมดุลในการทำข้อตกลงทางการค้าและการทูตกับทั้งสองฝ่ายเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
– การใช้ การเจรจาต่อรอง กับมหาอำนาจผ่านทางสนธิสัญญาต่างๆ เพื่อรักษาเอกราชของสยาม ขณะที่ยอมเสียพื้นที่บางส่วน เช่น ลาวและกัมพูชา ให้ฝรั่งเศส รวมถึงการยอมให้ฝรั่งเศสและอังกฤษเข้ามามีบทบาททางการค้าและเศรษฐกิจในประเทศอย่างจำกัด
3. การสร้างพันธมิตรทางการเมืองและการทูต
– รัชกาลที่ 5 ทรงสร้าง พันธมิตรทางการเมืองและการทูต** กับหลายประเทศในยุโรป โดยเฉพาะการส่งพระราชโอรสไปศึกษาต่อในประเทศยุโรป และพระองค์เองได้เสด็จประพาสยุโรปหลายครั้ง เช่นในปี 1897 และ 1907 เพื่อพบปะกับผู้นำของชาติตะวันตก เช่น พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งอังกฤษ และ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2** แห่งรัสเซีย การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสยามและมหาอำนาจยุโรปช่วยให้สยามไม่ถูกโจมตีหรือเข้ายึดครองโดยง่าย
– พระองค์ทรงใช้ทูตสยามในการเจรจาข้อตกลงและทำสนธิสัญญากับชาติตะวันตกอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยและลดความเสี่ยงจากการล่าอาณานิคม
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการปรับตัวและพัฒนาประเทศ เพื่อรับมือกับการล่าอาณานิคม โดยใช้วิธีการที่เน้นการพัฒนาประเทศ การรักษาความเป็นกลาง และการสร้างพันธมิตร ซึ่งมีความใกล้เคียงกับแนวทางที่ประเทศในปัจจุบัน เช่น ไทย ใช้ในการรับมือกับการจัดระเบียบโลก
ในเอเชียมีไม่กี่ประเทศที่สามารถรอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกได้ในช่วงการล่าอาณานิคม โดยประเทศเหล่านี้มักใช้วิธีการทางการทูต การปรับตัว หรือสถานการณ์ทางภูมิศาสตร์เพื่อรักษาอธิปไตยของตนเอง ซึ่งประเทศที่สำคัญได้แก่:
1. ประเทศไทย (สยาม)
– สยามเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก สาเหตุหลักมาจากการที่รัชกาลที่ 5 ทรงใช้กลยุทธ์ทางการทูต รักษาความเป็นกลางระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส โดยยอมสละบางดินแดนเพื่อรักษาเอกราชของประเทศ
– การปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยและสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตที่ดีกับมหาอำนาจยุโรปมีบทบาทสำคัญในการรักษาความเป็นอิสระ
2. ญี่ปุ่น
– ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไม่เคยถูกล่าอาณานิคมโดยชาติตะวันตก แม้ว่าญี่ปุ่นจะถูกบีบบังคับให้เปิดประเทศต่อชาวต่างชาติในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 หลังจากการมาถึงของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา (นำโดย Matthew Perry) แต่ญี่ปุ่นสามารถปรับตัวและปฏิรูปตัวเองอย่างรวดเร็วในยุคเมจิ ทำให้กลายเป็นมหาอำนาจที่สามารถแข่งขันกับชาติตะวันตกได้
– ในภายหลัง ญี่ปุ่นเองกลายเป็นอาณาจักรที่มีการขยายอาณานิคมในภูมิภาคเอเชีย
3. เนปาล
– เนปาลสามารถรักษาเอกราชของตนได้แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับจักรวรรดิอังกฤษ เนปาลทำสนธิสัญญากับอังกฤษซึ่งยอมรับอิสรภาพของเนปาล แต่เนปาลต้องยอมเสียบางพื้นที่และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจักรวรรดิอังกฤษ อย่างไรก็ตาม เนปาลไม่ได้ถูกปกครองโดยตรงจากอังกฤษ
– ความแข็งแกร่งของกองทัพกูรข่า (Gurkha) และความยินดีที่จะร่วมมือทางทหารกับอังกฤษเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เนปาลไม่ถูกยึดครอง
อาจสรุปสั้นๆ ได้ว่า “เนปาลรอดมาได้เพราะภูมิศาสตร์ที่ยากต่อการโจมตีและยึดครอง“
4. อัฟกานิสถาน
– อัฟกานิสถานเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคม แม้ว่าจะมีความพยายามหลายครั้งจากจักรวรรดิอังกฤษในการเข้ามาควบคุมประเทศ แต่ด้วยภูมิประเทศที่ยากลำบากและความเข้มแข็งของชนเผ่าท้องถิ่น ทำให้อัฟกานิสถานสามารถรักษาอิสรภาพได้ แม้ว่าจะเกิดสงครามอังกฤษ-อัฟกานิสถานหลายครั้งในศตวรรษที่ 19
5. เกาหลี
– แม้ว่าเกาหลีเคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจักรวรรดิจีน แต่ในช่วงศตวรรษที่ 19 เกาหลีกลายเป็นเป้าหมายการแย่งชิงอำนาจระหว่างจีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย สุดท้ายเกาหลีตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นในปี 1910
สรุป เกาหลีไม่ตกเป็นอาณานิคมชาติตะวันตก เพราะตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่นอยู่แล้ว ซึ่งญี่ปุ่นก็เป็นเอกราชไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก
แม้ว่าประเทศเหล่านี้สามารถรอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมได้ แต่หลายประเทศต้องเผชิญกับความท้าทายทางการเมืองและการทูตอย่างต่อเนื่องในการรักษาอิสรภาพ
เพราะฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่า ในหลวงรัชกาลที่ 5 เป็นผู้นำผู้มาก่อนกาล เนื่องจากวิธีรับมือกับความพยายามจะจัดระเบียบโลกในยุคโบราณ หรือ ที่เรียกว่า ภาระคนขาว เป็นกลยุทธ์แบบเดียวกับที่วิชาการสมัยใหม่ใช้ศึกษาและนำมาปฏิบัติเพื่อรับมือการจัดระเบียบโลกในยุคปัจจุบัน
นอกจากนี้ ไทยเราก็ควรย้อนกลับไปศึกษาผลงานและกลยุทธ์ของในหลวงรัชกาลที่ 5 มาเป็นตัวอย่างในการรับมือหรือจัดการกับกระบวนการจัดระเบียบโลกในปัจจุบัน
ซึ่งปัญหาบ้านเมืองในปัจจุบันก็มีเบื้องหลังจากความพยายามในการจะจัดระเบียบโลกของชาติตะวันตกที่ไม่เคยหมดไป ซึ่งถ้าเราทำอย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทำสำเร็จมาแล้ว ปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในปัจจุบันก็จะจบลงอย่างง่ายดายหรือสงบลงในทันทีจนคาดไม่ถึง
ภูมิรัฐศาสตร์กับการจัดระเบียบโลกของมหาอำนาจ: