โดย อัษฎางค์ ยมนาค
การจัดระเบียบโลกคืออะไร มีอยู่จริงหรือไม่
ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์กับการจัดระเบียบโลกของมหาอำนาจ
ประเทศไทยในปัจจุบันประสบปัญหาการแทรกแซงทางการเมืองไม่ต่างไปจากเมื่อร้อยกว่าปีก่อนในยุคล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ซึ่งเปลี่ยนไปเพียงวิธีการแต่จุดยืนและเป้าหมายเหมือนเดิม
นั่นคือความพยายามจะจัดระเบียบโลกของมหาอำนาจตะวันตก เพราะฝรั่งผิวขาวเชื่อว่าตนคือผู้ที่จะมาปลดแอกช่วยให้ชาติที่กำลังพัฒนา อยู่ดีมีสุข
ปัญหาความแตกแยกและความวุ่นวายทางการเมืองของไทยจะถูกขจัดออกไปได้ด้วยกลยุทธ์ทางการทูต และเราต้องการผู้นำที่มีความสามารถด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เหมือนในหลวงรัชกาลที่ 5 ที่รบกับมหาอำนาจตะวันตกด้วยกลยุทธ์ทางการทูตจนไทยรอดพ้นเงื้อมมือของมหาอำนาจมาได้
ดังนั้นในยุคปัจจุบันเราต้องการผู้นำเยี่ยงในหลวงรัชกาลที่ 5 คือผู้นำที่มีความสามารถทางการทูตและการบริหารจัดการ ที่จะมาความสมดุลแห่งอำนาจจากทุกฝ่ายทั่วสารทิศ
”ผมเชื่อว่า ประเทศไทยในปัจจุบันต้องการผู้นำที่เก่งกาจเรื่องการทูตและกิจการระหว่างประเทศ ซึ่งจะช่วยทำให้ปัญหาการเมืองภายในหมดไป“
ย้อนไปสมัยกู้ชาติ ไทยเราต้องการผู้นำอย่างสมเด็จพระเจ้าตากสินและรัชกาลที่ 1 ที่เป็นนักรบ ต่อมาเราต้องการผู้นำเก่งเศรษฐกิจอย่างรัชกาลที่ 3 และในที่สุดไทยเราต้องมีรัชกาลที่ 5 ที่เก่งกาจเรื่องการทูตเพื่อสร้างสมดุลอำนาจของชาติตะวันตกจนทำให้เรารอดจากการเป็นอาณานิคม
ผ่านมาถึงยุคประชาธิปไตย บางช่วงเราต้องการผู้นำที่เป็นนายทหาร บางช่วงเราต้องการผู้นำที่เก่งเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันเราต้องการผู้นำเก่งกาจเรื่องการทูตและกิจการระหว่างประเทศ เพื่อสร้างสมดุลอำนาจของชาติตะวันตกเหมือนในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งในที่สุดจะช่วยทำให้ปัญหาการเมืองภายในหมดไป เนื่องจากปัญหาการเมืองภายในเกิดมาจากการแทรกแซงกิจการจากภายนอกด้วยความพยายามจัดระเบียบโลกของชาติมหาอำนาจตะวันตก
จุดเริ่มต้นของ World Order มาจาก White Man’s Burden
ประเด็นเรื่อง “การแทรกแซงของชาวตะวันตกในเอเชียและแอฟริกา“ มักเกี่ยวข้องกับมุมมองที่เรียกว่า “ภาระคนขาว” (White Man’s Burden) ซึ่งเกิดจากความเชื่อว่าชาวตะวันตกมีความก้าวหน้าทางศิวิไลซ์มากกว่า จึงต้องแทรกแซงเพื่อ “พัฒนา” หรือ “ปรับปรุง” สังคมและการปกครองในประเทศที่พวกเขามองว่าไม่พัฒนาเพียงพอ แต่มุมมองนี้มักถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิจัย นักวิชาการ และประชาชนในประเทศที่ถูกแทรกแซงว่าเป็นการกดขี่และทำลายวัฒนธรรมของชาติในเอเชียและแอฟริกา
ความคิดเห็นและการวิเคราะห์ของนักวิชาการ:
1. ทฤษฎีจักรวรรดินิยม
– นักวิชาการหลายคนมองว่าการแทรกแซงของชาวตะวันตกในอดีตเป็นส่วนหนึ่งของ “จักรวรรดินิยม“ (Imperialism) ซึ่งชาติตะวันตกเข้ามาควบคุมเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมในประเทศอาณานิคมเพื่อประโยชน์ของตัวเอง โดยใช้ข้ออ้างว่าต้องการนำความเจริญรุ่งเรืองและศิวิไลซ์มาให้
– นักประวัติศาสตร์อย่าง Edward Said ได้เสนอทฤษฎี “Orientalism“ ซึ่งอธิบายว่าชาวตะวันตกมีทัศนคติที่เหนือกว่าต่อชาวตะวันออก และการแทรกแซงนี้เกิดจากการสร้างภาพลักษณ์ที่บิดเบือนว่าชาวเอเชียและแอฟริกาต่ำกว่าหรือด้อยพัฒนา
2. มุมมองต่อต้านจักรวรรดินิยมและการเรียกร้องอิสรภาพ
– หลายประเทศในเอเชียและแอฟริกาได้รับผลกระทบเชิงลบจากการแทรกแซงของชาติตะวันตก เช่น การล่มสลายของวัฒนธรรมและการปกครองแบบดั้งเดิม การสูญเสียอำนาจการปกครองท้องถิ่น และการใช้ทรัพยากรในประเทศเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ของชาติตะวันตก
– นักคิดอย่าง Frantz Fanon ได้เขียนถึงผลกระทบทางจิตใจและสังคมของการตกเป็นอาณานิคม โดยชี้ให้เห็นว่าการแทรกแซงของชาวตะวันตกไม่ได้ส่งเสริมการพัฒนา แต่กลับทำลายความเป็นตัวตนและอัตลักษณ์ของประชากรในประเทศที่ถูกครอบครอง
3. การพัฒนาและการสร้างสังคมหลังอาณานิคม
– หลังจากการประกาศอิสรภาพของหลายประเทศในเอเชียและแอฟริกา นักวิจัยบางกลุ่มมองว่ามรดกที่ทิ้งไว้โดยการแทรกแซงของชาวตะวันตกทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมและการแบ่งชนชั้นทางเศรษฐกิจและสังคมในประเทศเหล่านี้ แม้ว่าบางประเทศจะนำเอาวิธีการบริหารจัดการแบบตะวันตกมาใช้ แต่ก็ยังมีปัญหาความไม่เสมอภาคและความขัดแย้งภายใน
– นักวิจัยบางคน เช่น Kwame Nkrumah อดีตผู้นำประเทศกานา มองว่าประเทศในเอเชียและแอฟริกาต้องสร้างความเข้มแข็งของตนเองโดยไม่พึ่งพาชาวตะวันตก โดยใช้ระบบการปกครองและเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง
งานวิจัยที่สนับสนุนแนวคิดเหล่านี้:
– การศึกษาเรื่องการปกครองและผลกระทบจากจักรวรรดินิยม เช่น งานวิจัยของ Benedict Anderson ในเรื่องชาตินิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ Chinua Achebe ที่เขียนเกี่ยวกับผลกระทบของจักรวรรดินิยมในแอฟริกา
– งานวิจัยของ Amartya Sen นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลที่วิเคราะห์ว่าการพัฒนาแบบตะวันตกไม่ใช่วิธีการเดียวที่สามารถนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศต่างๆ ได้
ชาวตะวันตกมักมองว่าตนเองศิวิไลซ์กว่า และใช้ความเชื่อนี้เป็นเหตุผลในการแทรกแซงประเทศอื่นในเอเชียและแอฟริกา อย่างไรก็ตาม นักวิชาการจำนวนมากมองว่าการแทรกแซงเหล่านี้มักเป็นการกดขี่และทำลายวัฒนธรรมท้องถิ่น และส่งผลเสียในระยะยาว ทั้งในด้านสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ
การจัดระเบียบโลก (World Order)
การจัดระเบียบโลก หมายถึงกระบวนการทางการเมืองระหว่างประเทศและการสร้างกรอบความสัมพันธ์ที่มักนำโดยมหาอำนาจ ซึ่งพยายามกำหนดวิธีที่ประเทศต่างๆ ควรดำเนินการในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือการทหาร การจัดระเบียบโลกมีความเกี่ยวข้องกับการควบคุมและจัดการสถานการณ์โลกเพื่อให้เกิดเสถียรภาพ การป้องกันความขัดแย้ง และการควบคุมทรัพยากร นโยบายนี้มักถูกขับเคลื่อนโดยประเทศที่มีอิทธิพล เช่น สหรัฐอเมริกา หรือกลุ่มพันธมิตรตะวันตกที่ต้องการสร้างกรอบระเบียบการเมืองและเศรษฐกิจในระดับโลกที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตนเอง
การจัดระเบียบโลกในปัจจุบัน
1. ความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ
– การจัดระเบียบโลกในปัจจุบันมักเกี่ยวข้องกับการควบคุมเศรษฐกิจผ่านสถาบันระหว่างประเทศ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หรือ องค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังพัฒนา
– ในแง่การเมือง สหรัฐฯ และชาติตะวันตกบางครั้งใช้กลยุทธ์ทางการทูตและการทหารในการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นๆ โดยใช้เหตุผลที่ว่าเพื่อสร้างสันติภาพ รักษาเสถียรภาพ หรือปกป้องสิทธิมนุษยชน แต่ก็อาจมีการตั้งข้อสงสัยว่าการแทรกแซงดังกล่าวมีเป้าหมายแอบแฝงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง
2. ตัวอย่างของการจัดระเบียบโลก
– ในหลายกรณี การแทรกแซงในตะวันออกกลาง เช่น การรุกรานอิรักในปี 2003 และการแทรกแซงทางการทหารในลิเบียในปี 2011 มักถูกอ้างถึงว่าเป็นความพยายามของมหาอำนาจตะวันตกในการจัดระเบียบการเมืองของภูมิภาค โดยมุ่งหวังที่จะสร้างประชาธิปไตยและความมั่นคง อย่างไรก็ตาม การแทรกแซงเหล่านี้มักนำไปสู่ความไม่เสถียรและความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในพื้นที่เหล่านั้น
3. การใช้สิทธิมนุษยชนเป็นข้ออ้าง
– มหาอำนาจตะวันตกมักอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยเป็นเหตุผลในการเข้าแทรกแซงกิจการของประเทศอื่นๆ ในเอเชียและแอฟริกา เช่น การสนับสนุนกลุ่มฝ่ายค้านหรือการกดดันทางเศรษฐกิจ เพื่อบีบบังคับให้ประเทศเหล่านั้นปรับเปลี่ยนการปกครองหรือการจัดการทางเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล อย่างไรก็ตาม บางครั้งก็ถูกมองว่าเป็นวิธีการที่ซับซ้อนในการแสวงหาประโยชน์ของมหาอำนาจ
การจัดระเบียบโลก: ถูกต้องหรือไม่?
ฝ่ายสนับสนุน:
การจัดระเบียบโลกมองว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องในแง่ของการสร้างเสถียรภาพระดับโลก การพัฒนาประชาธิปไตย การปกป้องสิทธิมนุษยชน และการป้องกันความขัดแย้งระหว่างประเทศ ตัวอย่างเช่น การสร้างองค์กรระหว่างประเทศเช่น องค์การสหประชาชาติ (UN) เป็นตัวแทนของความพยายามในการสร้างระเบียบโลกเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ฝ่ายที่วิจารณ์:
มองว่าการจัดระเบียบโลกในลักษณะนี้มักเป็นเพียงข้ออ้างที่มหาอำนาจใช้เพื่อแทรกแซงกิจการภายในของประเทศที่ด้อยอำนาจกว่าและรักษาผลประโยชน์ของตนเอง การแทรกแซงเหล่านี้บางครั้งนำไปสู่ความไม่มั่นคง และขัดขวางความเป็นอิสระของประเทศที่ถูกแทรกแซง ทำให้เกิดการทำลายวัฒนธรรมและเศรษฐกิจท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น Frantz Fanon นักคิดจากแอฟริกามองว่าการแทรกแซงทางการเมืองจากตะวันตกเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของมหาอำนาจมากกว่าการช่วยเหลือประเทศที่กำลังพัฒนา
การจัดระเบียบโลกเป็นแนวคิดที่ซับซ้อนและมีทั้งด้านบวกและด้านลบ ขึ้นอยู่กับมุมมองและผลกระทบในแต่ละกรณี การพยายามสร้างความเสถียรและพัฒนาประเทศผ่านการจัดระเบียบโลกอาจมีข้อดี แต่อีกด้านหนึ่งก็มีการตั้งคำถามถึงการแทรกแซงที่มักเกี่ยวข้องกับการแสวงหาผลประโยชน์ของมหาอำนาจ
การจัดระเบียบโลกในปัจจุบัน สามารถมองได้ว่าเป็นการพัฒนาต่อเนื่องจากแนวคิด “ภาระคนขาว“ (White Man’s Burden) ในอดีต ซึ่งเป็นความเชื่อในช่วงจักรวรรดินิยมที่ชาวตะวันตกมองว่าตนเองมีภาระหน้าที่ในการนำความศิวิไลซ์ไปยังประเทศที่พวกเขามองว่า “ด้อยพัฒนา” โดยใช้เหตุผลว่าต้องการปรับปรุงสังคม การเมือง และเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นให้เจริญก้าวหน้าขึ้น อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้มักเป็นข้ออ้างในการแทรกแซงและการล่าอาณานิคมเพื่อประโยชน์ของชาติตะวันตก
การจัดระเบียบโลก
ในยุคปัจจุบัน แม้ว่ารูปแบบของการแทรกแซงจะเปลี่ยนไป แต่ความคิดบางอย่างจากภาระคนขาวยังคงอยู่ในรูปของการจัดระเบียบโลก โดยชาติตะวันตกยังคงมีบทบาทในการกำหนดกฎเกณฑ์และมาตรฐานในระดับโลก ไม่ว่าจะผ่านสถาบันระหว่างประเทศ เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN)** หรือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่มักมีอิทธิพลอย่างมากจากประเทศมหาอำนาจ การแทรกแซงของชาติตะวันตกยังคงอ้างถึงสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และการปกป้องเสถียรภาพของโลก
ความคล้ายคลึงกันระหว่าง ภาระคนขาว กับ การจัดระเบียบโลก
1. การใช้เหตุผลเพื่อแทรกแซง
เช่นเดียวกับภาระคนขาวในอดีต การแทรกแซงในปัจจุบันมักใช้เหตุผลทางศีลธรรม เช่น การปกป้องสิทธิมนุษยชน หรือการส่งเสริมประชาธิปไตยเพื่อเข้าไปแทรกแซงในประเทศอื่นๆ
2. การครอบงำทางเศรษฐกิจ
สถาบันการเงินโลก เช่น IMF และ WTO มักกำหนดเงื่อนไขที่ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาต้องปฏิบัติตามกรอบนโยบายที่ถูกกำหนดโดยประเทศมหาอำนาจ ซึ่งเป็นลักษณะที่คล้ายกับวิธีการที่ชาติตะวันตกเคยใช้ในการควบคุมอาณานิคม
ความแตกต่างระหว่าง “ภาระคนขาว” กับ “การจัดระเบียบโลก
การเปลี่ยนแปลงในบริบทสากลการแทรกแซงในปัจจุบันไม่ได้อยู่ในรูปแบบของการยึดครองทางทหารหรือการตั้งอาณานิคมโดยตรงเหมือนในอดีต แต่เปลี่ยนไปเป็นการใช้อิทธิพลทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมผ่านการทูตและการเจรจาระหว่างประเทศ
การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ แม้จะมีการแทรกแซง แต่สถาบันและองค์กรระหว่างประเทศก็ทำหน้าที่สร้างกรอบการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศเพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพ ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีการพัฒนาไปจากยุคจักรวรรดินิยมในอดีต
เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่?
การแทรกแซงในนามของการจัดระเบียบโลกเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อน:
ฝ่ายที่สนับสนุน มองว่า การแทรกแซงหรือการสร้างระเบียบโลกช่วยให้เกิดเสถียรภาพ ปกป้องสิทธิมนุษยชน และลดความขัดแย้ง ซึ่งเป็นการนำพาสันติภาพและความเจริญมาสู่ประเทศที่กำลังพัฒนา
ฝ่ายที่วิจารณ์ มองว่า การแทรกแซงเช่นนี้เป็นรูปแบบใหม่ของการครอบงำและการสร้างความไม่เป็นธรรมในระดับโลก การแทรกแซงในบางครั้งทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศที่ถูกแทรกแซง ซึ่งไม่ได้ต่างจากการล่าอาณานิคมในอดีต
การจัดระเบียบโลกในปัจจุบันสามารถมองได้ว่าเป็นการพัฒนามาจากแนวคิดของภาระคนขาวในอดีต โดยยังคงมีการแทรกแซงและครอบงำทางเศรษฐกิจและการเมือง แม้จะไม่อยู่ในรูปแบบของการล่าอาณานิคมเหมือนในอดีต
ในการจัดการกับ การจัดระเบียบโลกและความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน ประเทศอย่างไทยได้พัฒนาวิธีการและกลยุทธ์เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองในขณะที่ต้องเผชิญกับการแทรกแซงจากชาติมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ และจีน
งานวิจัยและบทวิเคราะห์ระบุว่าไทยและหลายชาติในเอเชียกำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองจากการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกใหม่
แนวทางจัดการหรือการรับมือกับการจัดระเบียบโลกที่สำคัญมีหลายประการ
1. การสร้างความเป็นกลางทางการเมือง
ไทยพยายามรักษาจุดยืน “ความเป็นกลาง“ (Equidistance) ในความสัมพันธ์กับชาติมหาอำนาจ เช่น จีนและสหรัฐฯ แม้จะต้องมีการเลือกข้างในบางประเด็น เช่น เทคโนโลยีและการค้า แต่ไทยก็พยายามเสริมความสัมพันธ์กับหลายประเทศเพื่อไม่ให้ถูกกดดันมากเกินไปจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การทำเช่นนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นศัตรูของชาติมหาอำนาจ และช่วยให้สามารถดำเนินนโยบายในระดับสากลได้อย่างยืดหยุ่น
2. การพัฒนาเศรษฐกิจและการปฏิรูปภายใน
หนึ่งในแนวทางสำคัญคือการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว และการปฏิรูปเศรษฐกิจผ่านข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทยได้รับคำแนะนำให้ปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจภายในเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ชาญฉลาดและยั่งยืน รวมถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ทันสมัย เช่น เทคโนโลยีสีเขียว ซึ่งจะช่วยให้ไทยสามารถสร้างมาตรฐานในการเลือกการลงทุนที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศ
3. การสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาค
ประเทศในเอเชีย รวมถึงไทย เน้นการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเมืองในระดับภูมิภาค เช่น ความร่วมมือในกลุ่มอาเซียน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและความยืดหยุ่นต่อแรงกดดันจากภายนอก การเพิ่มพูนความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคเดียวกันยังช่วยลดการพึ่งพาตลาดตะวันตก และส่งเสริมการพึ่งพากันเองในเอเชีย
4. การใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักเทคโนโลยีในรัฐบาล
เพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ทางการเมืองและเศรษฐกิจ ไทยจำเป็นต้องนำความเชี่ยวชาญจากผู้เชี่ยวชาญและนักเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการตัดสินใจทางการเมืองมากขึ้น การเพิ่มทักษะของบุคลากรในภาครัฐและการใช้ข้อมูลทางวิชาการจะช่วยให้ไทยสามารถตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ได้ดีขึ้นในบริบทระเบียบโลกที่ซับซ้อน
5. การส่งเสริมอัตลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่น
การรักษาอัตลักษณ์และวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นส่วนสำคัญในการรับมือกับอิทธิพลจากการจัดระเบียบโลก ประเทศไทยและหลายประเทศในเอเชียเลือกใช้ Soft Power เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรม เช่น อาหาร ประเพณี และการท่องเที่ยว เพื่อแสดงเอกลักษณ์และอิทธิพลทางวัฒนธรรมในเวทีโลก การรักษาเอกลักษณ์ที่แข็งแกร่งช่วยลดการพึ่งพาวัฒนธรรมตะวันตกและสร้างความเข้มแข็งภายใน
6. การปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนานวัตกรรม
การปรับปรุงระบบการศึกษาเพื่อให้เยาวชนไทยมีความสามารถในด้าน เทคโนโลยี และ นวัตกรรม เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมช่วยให้ไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. การพัฒนาความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน
ความมั่นคงทางอาหารและพลังงานยังช่วยลดความเสี่ยงจากความไม่เสถียรในตลาดโลกและลดการถูกกดดันจากมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
การปรับตัวเหล่านี้เป็นแนวทางเสริมที่จะช่วยให้ไทยสามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการจัดระเบียบโลกในยุคปัจจุบันได้อย่างยั่งยืน
ท่านทราบกันหรือไม่ว่าในประวัติศาสตร์ชาติไทยในยุคของในหลวงรัชกาลที่ 5 ของไทย สามารถรับมือหรือจัดการกับการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกได้สำเร็จ ทำให้ไทยรอดจากการตกเป็นอาณานิคม พระองค์ใช้วิธีการรับมือในอดีตของพระองค์ใกล้เคียงกับกลยุทธ์ซึ่งเป็นวิทยาการสมัยใหม่ในยุคปัจจุบัน นั่นคือ การพัฒนาประเทศ การรักษาความเป็นกลาง และการสร้างพันธมิตร
ในหลวงรัชกาลที่ 5 หรือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสามารถรับมือกับ การล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกในช่วงศตวรรษที่ 19 ได้สำเร็จ ทำให้ประเทศไทยไม่ตกเป็นอาณานิคมเช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน พระองค์ใช้กลยุทธ์หลายประการในการจัดการกับสถานการณ์นี้ ได้แก่
1. การพัฒนาประเทศและการปฏิรูป
– รัชกาลที่ 5 ทรงดำเนินการปฏิรูปประเทศหลายด้าน เช่น การปฏิรูประบบราชการ การศึกษา เศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการสร้าง รถไฟ และการปรับปรุง ระบบสาธารณูปโภค ซึ่งช่วยให้สยามมีศักยภาพในการแข่งขันกับอาณานิคมของชาติตะวันตกที่อยู่รายรอบ
– การปฏิรูปการศึกษา โดยการส่งพระราชโอรสและชนชั้นสูงไปศึกษาต่อต่างประเทศ เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาประเทศ ซึ่งช่วยให้สยามมีความรู้และทักษะใหม่ๆ มาพัฒนาประเทศให้มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับสากล
2. การรักษาความเป็นกลาง
– รัชกาลที่ 5 ทรงเลือกใช้แนวทาง ความเป็นกลางทางการเมือง ในการดำเนินความสัมพันธ์กับชาติมหาอำนาจตะวันตก โดยพระองค์ไม่เข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะ แต่พยายามรักษาความสมดุลในการทำข้อตกลงทางการค้าและการทูตกับทั้งสองฝ่ายเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
– การใช้ การเจรจาต่อรอง กับมหาอำนาจผ่านทางสนธิสัญญาต่างๆ เพื่อรักษาเอกราชของสยาม ขณะที่ยอมเสียพื้นที่บางส่วน
3. การสร้างพันธมิตรทางการเมืองและการทูต
– รัชกาลที่ 5 ทรงสร้าง พันธมิตรทางการเมืองและการทูต กับหลายประเทศในยุโรป โดยเฉพาะการส่งพระราชโอรสไปศึกษาต่อในประเทศยุโรป และพระองค์เองได้เสด็จประพาสยุโรปหลายครั้ง เช่นในปี 1897 และ 1907 เพื่อพบปะกับผู้นำของชาติตะวันตก การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสยามและมหาอำนาจยุโรปช่วยให้สยามไม่ถูกโจมตีหรือเข้ายึดครองโดยง่าย
– พระองค์ทรงใช้ทูตสยามในการเจรจาข้อตกลงและทำสนธิสัญญากับชาติตะวันตกอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยและลดความเสี่ยงจากการล่าอาณานิคม
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการปรับตัวและพัฒนาประเทศ เพื่อรับมือกับการล่าอาณานิคม โดยใช้วิธีการที่เน้นการพัฒนาประเทศ การรักษาความเป็นกลาง และการสร้างพันธมิตร ซึ่งมีความใกล้เคียงกับแนวทางที่ประเทศไทยในปัจจุบันใช้ในการรับมือกับการจัดระเบียบโลก
ในเอเชียมีไม่กี่ประเทศที่สามารถรอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกได้ในช่วงการล่าอาณานิคม โดยประเทศเหล่านี้มักใช้วิธีการทางการทูต การปรับตัว หรือสถานการณ์ทางภูมิศาสตร์เพื่อรักษาอธิปไตยของตนเอง
แม้ว่าประเทศเหล่านี้สามารถรอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมได้ แต่หลายประเทศต้องเผชิญกับความท้าทายทางการเมืองและการทูตอย่างต่อเนื่องในการรักษาอิสรภาพ
เพราะฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่า ในหลวงรัชกาลที่ 5 เป็นผู้นำผู้มาก่อนกาล เนื่องจากวิธีรับมือกับความพยายามจะจัดระเบียบโลกในยุคโบราณ หรือ ที่เรียกว่า ภาระคนขาว เป็นกลยุทธ์แบบเดียวกับที่วิชาการสมัยใหม่ใช้ศึกษาและนำมาปฏิบัติเพื่อรับมือการจัดระเบียบโลกในยุคปัจจุบัน
นอกจากนี้ ไทยเราก็ควรย้อนกลับไปศึกษาผลงานและกลยุทธ์ของในหลวงรัชกาลที่ 5 มาเป็นตัวอย่างในการรับมือหรือจัดการกับกระบวนการจัดระเบียบโลกในปัจจุบัน
ซึ่งปัญหาบ้านเมืองในปัจจุบันก็มีเบื้องหลังจากความพยายามในการจะจัดระเบียบโลกของชาติตะวันตกที่ไม่เคยหมดไป ซึ่งถ้าเราทำอย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทำสำเร็จมาแล้ว ปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในปัจจุบันก็จะจบลงอย่างง่ายดายหรือสงบลงในทันทีจนคาดไม่ถึง
ภูมิรัฐศาสตร์กับการจัดระเบียบโลกของมหาอำนาจ: