ประวัติศาสตร์การล่มสลายของจีนกับการจัดระเบียบโลกของมหาอำนาจตะวันตก
โดย อัษฎางค์ ยมนาค
ร่วมฉลองวันชาติจีน 1 ตุลาคม กับเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศจีน มหาอำนาจจากโลกโบราณ ที่กำลังกลับมาทวงบัลลังก์
จีน ล่มสลายลงเพราะ ภาระคนขาว และการจัดระเบียบโลก ของมหาอำนาจตะวันตกหรือไม่ อย่างไร?
ในยุคโบราณ จีนเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่และมีความสำคัญอย่างมาก เช่นเดียวกับอารยธรรมกรีกและโรมัน แต่ความยิ่งใหญ่ของจีนมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไปเมื่อเปรียบเทียบกับกรีกและโรมัน ทั้งในด้านขนาด ด้านวัฒนธรรม และความยั่งยืนของอารยธรรม
1. ขนาดของจักรวรรดิและประชากร
– จีนในยุคราชวงศ์โบราณ เช่น ราชวงศ์ฉิน (221–206 ปีก่อนคริสต์ศักราช) และราชวงศ์ฮั่น (206 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 220) มีดินแดนอันกว้างใหญ่และประชากรมากมาย ราชวงศ์ฮั่นซึ่งเป็นยุคทองของจีนมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ในเอเชียตะวันออก ประชากรจีนในช่วงราชวงศ์ฮั่นนั้นมีประมาณ 60 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มากในยุคนั้น และทำให้จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก
– อารยธรรมกรีกในยุคโบราณประกอบด้วยรัฐเมืองขนาดเล็ก (เช่น เอเธนส์ สปาร์ตา) ซึ่งแม้จะมีอิทธิพลทางวัฒนธรรมและความคิดอย่างสูง แต่ขนาดและประชากรของแต่ละรัฐค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับจีน จักรวรรดิโรมันในยุคสูงสุด (ช่วงศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราชถึงศตวรรษที่ 2) มีประชากรราว 50–70 ล้านคน และขยายตัวจากยุโรปตะวันตกไปจนถึงตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ขนาดของจักรวรรดิโรมันจึงใกล้เคียงกับจีนในยุคราชวงศ์ฮั่นในแง่ของประชากรและดินแดน
2. ระบบการปกครองและความยั่งยืน
– จีนในยุคโบราณมีระบบการปกครองแบบรวมศูนย์ ซึ่งได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ยุคราชวงศ์ฉิน โดยใช้ระบบบริหารราชการแบบข้าราชการที่มีประสิทธิภาพและเป็นแบบแผน ราชวงศ์ฮั่นนำหลักการปกครองแบบขงจื๊อมาใช้ ซึ่งช่วยให้จีนมีความยั่งยืนทางการเมืองและวัฒนธรรมมากกว่าหลายอารยธรรม ระบบนี้ทำให้จีนสามารถฟื้นตัวได้แม้จะเผชิญกับการล่มสลายของราชวงศ์หลายครั้งและการรุกรานจากภายนอก เช่น การก่อตั้งราชวงศ์ใหม่และการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
– อารยธรรมกรีกเป็นอารยธรรมของรัฐเมือง (City-states) ซึ่งแต่ละรัฐมีกษัตริย์และระบบการปกครองที่แตกต่างกัน แม้จะมีวัฒนธรรมที่รุ่งเรือง แต่การที่รัฐเมืองแตกต่างกันมากทำให้ไม่สามารถรวมตัวเป็นประเทศหรือจักรวรรดิเดียวได้ อารยธรรมกรีกเริ่มเสื่อมถอยหลังจากการขึ้นมาของจักรวรรดิมาซิโดเนียของอเล็กซานเดอร์มหาราช และเมื่อโรมันเข้ามาครอบงำในเวลาต่อมา
– จักรวรรดิโรมันประสบความสำเร็จในการขยายอำนาจอย่างกว้างขวางและมีระบบการปกครองแบบสาธารณรัฐและจักรวรรดิที่เข้มแข็ง แต่ในที่สุดโรมันก็ล่มสลายหลังจากการรุกรานของชนเผ่าเยอรมันในศตวรรษที่ 5 และปัญหาภายในจักรวรรดิ ซึ่งเป็นผลให้จักรวรรดิแตกออกเป็นจักรวรรดิฝั่งตะวันออก (ไบแซนไทน์) และตะวันตก
3. วัฒนธรรมและวิทยาการ
– จีนมีวัฒนธรรมและปรัชญาอันยิ่งใหญ่ ซึ่งรวมถึงแนวคิดขงจื๊อและลัทธิเต๋า ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต การเมือง และปรัชญาของจีนตลอดประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ จีนยังมีการประดิษฐ์สิ่งสำคัญมากมาย เช่น กระดาษ ดินปืน เข็มทิศ และการพิมพ์ ซึ่งมีผลกระทบต่อโลกในหลายยุคสมัย ความยั่งยืนของวัฒนธรรมจีนทำให้สามารถรักษาอัตลักษณ์ของตนได้อย่างมั่นคงมาเป็นเวลาหลายพันปี
– อารยธรรมกรีกสร้างสรรค์ปรัชญา วรรณกรรม และศิลปะที่มีอิทธิพลอย่างมหาศาลต่อโลกตะวันตก ความสำเร็จของปรัชญากรีก เช่น อริสโตเติล เพลโต และโสเครตีส มีผลกระทบต่อการพัฒนาความคิดทางวิทยาศาสตร์ การเมือง และศีลธรรมของโลกตะวันตก
– โรมันสืบทอดและขยายวัฒนธรรมและวิทยาการของกรีกในหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องกฎหมาย สถาปัตยกรรม และการทหาร โรมันยังได้พัฒนาแนวคิดการเมืองที่สำคัญ เช่น กฎหมายโรมัน และระบบการปกครองแบบสาธารณรัฐ ที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาการเมืองของยุโรปในเวลาต่อมา
4. การปฏิสัมพันธ์และการค้า
– จีนมีความสัมพันธ์ทางการค้าและวัฒนธรรมที่กว้างขวางผ่านเส้นทางสายไหม ซึ่งเชื่อมต่อจีนกับอารยธรรมอื่น ๆ ในเอเชียกลาง ตะวันออกกลาง และยุโรป การค้ากับอารยธรรมอื่นทำให้จีนได้รับสินค้าจากภายนอก เช่น เครื่องเทศและอัญมณี ในขณะเดียวกันก็ส่งออกผลิตภัณฑ์ของตนเอง เช่น ผ้าไหมและเครื่องลายครามไปยังภูมิภาคอื่น ๆ
– กรีกและโรมันมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนผ่านเส้นทางสายไหมในบางช่วงเวลา แต่มากกว่านั้น อารยธรรมกรีกและโรมันมีปฏิสัมพันธ์กับอารยธรรมอื่นในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน แอฟริกา และตะวันออกกลาง
ผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นชาวตะวันตกคนแรกที่เดินทางไปถึงจีนคือ จิโอวานนี่ มอนเต กอร์วิโน (Giovanni da Montecorvino) นักบวชและมิชชันนารีชาวอิตาลีจากคณะฟรานซิสกัน ซึ่งเดินทางไปถึงจีนในช่วงปลายศตวรรษที่ 13 (ประมาณปี ค.ศ. 1294) ในสมัยราชวงศ์หยวน (ยุคของกุบไล ข่าน) จิโอวานนี่ถูกส่งไปเผยแผ่ศาสนาคริสต์และสร้างสถานีมิชชันนารีในจีน เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาร์คบิชอปแห่งกรุงปักกิ่งในปี ค.ศ. 1307 และทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนาคริสต์ในจีนเป็นเวลาหลายปี
อย่างไรก็ตาม ยังมีนักบวชและนักเดินทางตะวันตกบางคนที่มาถึงจีนก่อนหน้ามอนเต กอร์วิโน แต่ข้อมูลเหล่านี้ไม่ค่อยชัดเจนหรือละเอียดเท่ากับการเดินทางของเขา
แม้ว่าจะมีชาวตะวันตกคนอื่นๆ มาถึงจีนก่อน แต่มาร์โค โปโลกลับเป็นที่รู้จักมากที่สุดในฐานะชาวยุโรปที่ไปถึงจีน เพราะบันทึกการเดินทางของเขาซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในยุโรป และเป็นแหล่งข้อมูลหลักเกี่ยวกับจีนในยุคนั้น
มาร์โค โปโล เดินทางไปถึงจีนในปี ค.ศ. 1275 ในช่วงราชวงศ์หยวน (ประมาณปี 1271-1295) ถึงแม้ว่าเขาไม่ใช่ชาวตะวันตกคนแรกที่เดินทางไปถึงจีน แต่เขาเป็นหนึ่งในชาวยุโรปคนแรกที่มีบันทึกการเดินทางอย่างละเอียดและเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดในยุโรป โดยเฉพาะจากหนังสือ“The Travels of Marco Polo” ที่เล่าเรื่องราวการเดินทางของเขาในจีนและเอเชียตะวันออก
มาร์โค โปโลเป็นพ่อค้าชาวเวนิส (จากสาธารณรัฐเวนิสในอิตาลีปัจจุบัน) เขาเดินทางไปจีนพร้อมกับพ่อและลุงซึ่งเป็นพ่อค้าที่มีธุรกิจในเอเชีย มาร์โค โปโลได้ใช้เวลาประมาณ 17 ปีในราชสำนักของกุบไล ข่าน (Kublai Khan) จักรพรรดิแห่งราชวงศ์หยวน ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ก่อตั้งโดยชาวมองโกลหลังจากการพิชิตจีน
ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในจีน มาร์โค โปโลได้รับหน้าที่จากกุบไล ข่านให้ทำหน้าที่เป็นราชทูตและเดินทางไปในส่วนต่าง ๆ ของจักรวรรดิหยวน เขาได้เห็นระบบการปกครอง วัฒนธรรม และเศรษฐกิจของจีนในยุคนั้น และเขาได้บันทึกข้อมูลเหล่านี้ในบันทึกการเดินทางของเขา
บันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโลมีอิทธิพลอย่างมากต่อยุโรปในยุคต่อมา โดยเฉพาะในการกระตุ้นความสนใจของชาวยุโรปในการติดต่อกับเอเชีย ทั้งในด้านการค้าและการสำรวจ เช่น การเดินทางของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ในศตวรรษที่ 15 ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของมาร์โค โปโลที่เขาได้อ่านเกี่ยวกับเอเชีย
การเดินทางของมาร์โค โปโลมีจุดประสงค์หลักเพื่อการค้า พ่อและลุงของเขาเป็นพ่อค้าจากเวนิสที่ทำการค้ากับเอเชีย แต่ในที่สุด มาร์โค โปโล ได้รับหน้าที่เป็นราชทูตของกุบไล ข่าน ทำให้เขาได้มีประสบการณ์ในการเดินทางและเรียนรู้เกี่ยวกับส่วนต่าง ๆ ของจักรวรรดิหยวน
ต่อมาในศตวรรษที่ 16 สมัยราชวงศ์หมิงมีนักสำรวจและมิชชันนารีชาวโปรตุเกสมาถึงจีนในปี 1513 โดยผู้ที่เป็นที่รู้จักคือ Jorge Álvares ที่มาถึงทางใต้ของจีน ชาวโปรตุเกสเริ่มก่อตั้งการค้าขายในพื้นที่บริเวณมาเก๊าในช่วงปี 1557 ซึ่งเป็นเมืองท่าที่พวกเขาได้รับอนุญาตให้ตั้งรกรากและทำการค้า ชาวโปรตุเกสมีเป้าหมายหลักคือการขยายการค้าขายและอิทธิพลในเอเชีย
การเข้ามาของชาวตะวันตกที่มีเป้าหมายทางการค้าและการเมืองในจีนเริ่มมีความสำคัญมากขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 เป็นต้นไป โดยเฉพาะในช่วงสงครามฝิ่นการที่ชาติตะวันตกเริ่มเข้ามาสู่จีนเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีการติดต่อกันตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง (ประมาณศตวรรษที่ 16) และเพิ่มมากขึ้นในช่วงราชวงศ์ชิง (ศตวรรษที่ 17 ถึง 19) การเข้ามาของชาติตะวันตกในจีนมีจุดประสงค์หลายประการ เช่น การค้า การเผยแผ่ศาสนา และการแสวงหาอิทธิพลทางการเมือง โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 19 ความพยายามของชาติตะวันตกในการเปิดตลาดจีนได้ทวีความรุนแรงขึ้น จนนำไปสู่ **สงครามฝิ่น** ในที่สุด
ยุคแรกของการค้าและการแทรกแซงทางเศรษฐกิจในสมัยราชวงศ์ชิง (ศตวรรษที่ 17-18)
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ (British East India Company) เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในกิจการการค้ากับจีนผ่านบริษัทอินเดียตะวันออก สินค้าที่ชาวตะวันตกสนใจในจีนคือ ชา ผ้าไหม และเครื่องลายคราม แต่จีนในช่วงนั้นมีนโยบายการค้าปิดแบบ “ระบบท่าเรือเดี่ยว” (Canton System) ซึ่งจำกัดการค้าขายระหว่างชาวต่างชาติไว้ที่ท่าเรือกวางโจวเท่านั้น และจำกัดการเข้าถึงของชาวต่างชาติ
การค้าฝิ่น (ศตวรรษที่ 18)
เนื่องจากจีนไม่สนใจสินค้าจากตะวันตกมากนัก อังกฤษประสบปัญหาขาดดุลการค้ากับจีน ดังนั้นอังกฤษจึงเริ่มใช้ฝิ่นที่ปลูกในอินเดีย (ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ) เป็นสินค้าที่จะนำไปขายในจีนเพื่อแก้ปัญหาดุลการค้า ฝิ่นเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดจีน และทำให้เกิดปัญหาผู้ติดฝิ่นเป็นจำนวนมาก การค้าฝิ่นจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับรัฐบาลจีน
การแทรกแซงและการเผชิญหน้าที่นำไปสู่สงครามฝิ่น (ศตวรรษที่ 19)
ในปี 1793 ลอร์ดแม็กคาร์ทนีย์ (Lord Macartney) ทูตอังกฤษถูกส่งมาเพื่อเจรจากับจักรพรรดิเฉียนหลง (Qianlong Emperor) แห่งราชวงศ์ชิงเพื่อขอขยายสิทธิการค้าและให้สิทธิพิเศษแก่พ่อค้าชาวอังกฤษ แต่การเจรจาไม่สำเร็จ จักรพรรดิยังคงยืนยันการค้าผ่านท่าเรือเดียวที่กวางโจว การที่อังกฤษไม่สามารถเจรจาขยายสิทธิการค้าได้ส่งผลให้ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศเริ่มเพิ่มขึ้น
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 การค้าฝิ่นระหว่างอังกฤษและจีนขยายตัวอย่างรวดเร็ว ฝิ่นที่ถูกส่งเข้าไปในจีนเพิ่มขึ้นอย่างมากจนกลายเป็นปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจ เมื่อจีนพยายามจะยุติการค้าฝิ่น จักรพรรดิเต้ากวง (Daoguang Emperor) ได้ส่ง หลิน เจ๋อซวี (Lin Zexu) ไปกวาดล้างการค้าฝิ่นในปี 1839 การยึดและทำลายฝิ่นเป็นจำนวนมหาศาลของอังกฤษที่กวางโจวเป็นเหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่ความขัดแย้งอย่างเปิดเผย
สงครามฝิ่นครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1839-1842)
หลังจากจีนพยายามกวาดล้างการค้าฝิ่น อังกฤษจึงตอบโต้ด้วยการส่งกองทัพเข้ามาโจมตีจีน ส่งผลให้เกิดสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 อังกฤษซึ่งมีเทคโนโลยีการทหารที่ก้าวหน้ากว่าได้รับชัยชนะในสงครามนี้ จนกระทั่งในปี 1842 จีนต้องยอมลงนามใน “สนธิสัญญานานกิง” (Treaty of Nanjing) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ทำให้จีนต้องเปิดท่าเรือเพิ่มเติมให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำการค้า และยอมมอบเกาะฮ่องกงให้กับอังกฤษ
ภาระคนขาว (White Man’s Burden)
แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากทฤษฎีของจักรวรรดินิยมตะวันตกในศตวรรษที่ 19 ที่เชื่อว่าชาติตะวันตกมีหน้าที่ “ดูแลและ พัฒนา” ชาติอื่นที่พวกเขามองว่าเป็น “ด้อยพัฒนา” หรือ “ล้าหลัง” ภายใต้บริบทนี้ ชาติตะวันตก เช่น สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา ใช้อำนาจทั้งด้านการทหารและเศรษฐกิจในการแทรกแซงประเทศในเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา ซึ่งรวมถึงจีนด้วย
จากแนวคิดเรื่อง “ภาระคนขาว” พัฒนาต่อยอดมาเป็น “การจัดระเบียบโลกของมหาอำนาจตะวันตก”
ในยุคจักรวรรดินิยม มหาอำนาจตะวันตกมีบทบาทสำคัญในการจัดระเบียบและควบคุมระบบเศรษฐกิจและการเมืองของโลกใหม่ ยุโรปและสหรัฐฯ ใช้อิทธิพลทางทหารและเศรษฐกิจเพื่อครอบงำและควบคุมตลาดต่างประเทศ จีนเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญ ด้วยทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์และขนาดประชากรที่มาก มหาอำนาจตะวันตกพยายามแทรกแซงเพื่อเปิดตลาดจีนและเข้าควบคุมการค้าภายในภูมิภาคเอเชีย
การล่มสลายของจีนในศตวรรษที่ 19
จีนในยุคราชวงศ์ชิงประสบกับความท้าทายมากมายจากการรุกล้ำของมหาอำนาจตะวันตก ตั้งแต่สงครามฝิ่นครั้งที่ 1 (1839–1842) จนถึงการลงนามใน “สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” (Unequal Treaties) ซึ่งทำให้จีนต้องยอมเสียสิทธิทางเศรษฐกิจและดินแดนแก่ชาติตะวันตก สงครามฝิ่นถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเสื่อมอำนาจของจีนในเวทีโลกและทำให้จีนเสียความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจไปส่วนหนึ่ง
การแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตกสร้างแรงกดดันให้จีนต้องปฏิรูปและปรับตัวในรูปแบบที่อาจไม่เหมาะสมกับโครงสร้างสังคมจีน เช่น การปฏิรูปร้อยวัน (Hundred Days’ Reform) และการก่อกบฏไท่ผิง การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ นำไปสู่ความไม่เสถียรของประเทศ ซึ่งนำมาสู่การล่มสลายของราชวงศ์ชิงในที่สุด
“การล่มสลาย” เกิดจากปัจจัยหลายประการ ทั้งความท้าทายภายในประเทศ อาทิ การปฏิรูปที่ไม่ประสบความสำเร็จ และการขยายอำนาจจากการจัดระเบียบโลกของมหาอำนาจตะวันตก
สงครามฝิ่น (Opium Wars) สามารถมองได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของมหาอำนาจตะวันตกในการเปิดตลาดและขยายอิทธิพลในจีน แต่อาจไม่ใช่การพยายาม “ยึดครอง” จีนโดยตรงในแบบการครอบครองอาณานิคมทั้งหมด แต่เป็นการแสวงหาการควบคุมเศรษฐกิจและการค้า รวมถึงการเพิ่มอำนาจทางการเมืองของชาติตะวันตกในภูมิภาคนี้มากกว่า
บริบทของสงครามฝิ่น
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 จีน (ราชวงศ์ชิง) ยังคงเป็นประเทศที่มีกำลังเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง และมีนโยบายการค้าจำกัดกับชาติตะวันตก จีนต้องการจำกัดการค้ากับต่างชาติ โดยเน้นให้ชาวต่างชาติค้าขายกับจีนผ่านท่าเรือแค่ที่กวางโจว (Canton) และยอมรับเงินตรา (เงินแท่ง) เป็นค่าตอบแทนสำหรับสินค้าจีนที่เป็นที่ต้องการ เช่น ชา ผ้าไหม และเครื่องลายคราม
ฝ่ายอังกฤษเผชิญปัญหาดุลการค้าที่ขาดดุลกับจีน เพราะอังกฤษไม่มีสินค้าที่จีนต้องการแลกเปลี่ยน อังกฤษจึงหันมาใช้ฝิ่นที่ปลูกในอินเดีย (ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ) เป็นสินค้าที่จะขายให้กับจีน ฝิ่นเป็นสิ่งเสพติดที่สร้างปัญหาให้กับสังคมจีนอย่างรุนแรง โดยจำนวนผู้ติดฝิ่นในจีนเพิ่มขึ้นอย่างมาก สร้างผลกระทบทั้งต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจจีน เพราะเงินตราไหลออกจากจีนไปยังตะวันตก
กลยุทธ์ของอังกฤษ
เมื่อราชวงศ์ชิงพยายามจะหยุดการค้าและการใช้ฝิ่นอย่างเข้มงวดในช่วงต้นทศวรรษที่ 1830 รวมถึงการยึดและเผาฝิ่นในกวางโจว อังกฤษจึงตอบโต้ด้วยการใช้กำลังทหารเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของตน ทำให้เกิด สงครามฝิ่นครั้งที่ 1 (1839–1842) หลังจากที่อังกฤษชนะ สงครามนี้นำไปสู่การลงนามใน “สนธิสัญญานานกิง” ซึ่งทำให้จีนต้องเปิดท่าเรือเพิ่มเติมให้กับการค้าต่างประเทศ รวมถึงยอมให้อังกฤษครอบครองเกาะฮ่องกง และยังเป็นการยอมให้มี “สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” ซึ่งทำให้ชาติตะวันตกมีสิทธิพิเศษในจีน โดยเฉพาะการค้าฝิ่นที่กลับมาเปิดใหม่อีกครั้ง
สงครามฝิ่นครั้งที่ 2 (1856–1860) ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับฝรั่งเศสเช่นกัน ยิ่งทำให้ชาติตะวันตกมีอิทธิพลในจีนมากขึ้น และทำให้จีนต้องเปิดท่าเรือเพิ่มเติม ขยายสิทธิของชาวต่างชาติ และยอมให้ศาสนาคริสต์เผยแพร่ในจีน
การควบคุมผ่านเศรษฐกิจและการเมือง
แม้ว่ามหาอำนาจตะวันตกไม่ได้ยึดครองจีนในฐานะอาณานิคมทั้งหมด แต่พวกเขาใช้วิธีการเปิดตลาดผ่านสงครามฝิ่นเพื่อขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองในจีน จนจีนเสียอำนาจอธิปไตยในหลายด้าน เช่น การค้าระหว่างประเทศ การเก็บภาษีศุลกากร และสิทธิพิเศษของชาวต่างชาติในจีน
ถึงแม้ว่าสงครามฝิ่นไม่ใช่การพยายาม “ยึดครอง” จีนโดยตรงเหมือนกับการยึดครองอาณานิคมในแอฟริกาหรืออินเดีย แต่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของมหาอำนาจตะวันตกในการขยายตลาด ควบคุมการค้า และเพิ่มอำนาจทางการเมืองในจีนโดยการบีบให้จีนเปิดประตูสู่โลกภายนอก
จุดประสงค์ที่แท้จริง ของการนำฝิ่นไปขายในจีนของอังกฤษคืออะไร?
จุดประสงค์ที่แท้จริงของการนำฝิ่นไปขายในจีนของอังกฤษมีหลายมิติ ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับปัจจัยทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงความต้องการของอังกฤษที่จะปรับสมดุลทางการค้ากับจีน ดังนี้:
การแก้ปัญหาดุลการค้า (Trade Imbalance)
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 อังกฤษมีความต้องการสินค้าจีนจำนวนมาก เช่น ชา ผ้าไหม และเครื่องลายคราม อย่างไรก็ตาม จีนมีนโยบายการค้าปิดประเทศและยอมรับเฉพาะเงินแท่ง (silver) เป็นสกุลเงินในการค้าขาย อังกฤษจึงต้องส่งเงินออกไปซื้อสินค้าจีนจำนวนมาก ทำให้เกิดปัญหาขาดดุลการค้าอย่างรุนแรงกับจีน
เพื่อแก้ปัญหานี้ อังกฤษหาทางที่จะส่งออกสินค้าของตนไปขายในจีนเพื่อปรับสมดุลทางการค้า ฝิ่นจึงถูกนำมาใช้เป็นสินค้าที่จะส่งไปขายให้กับจีน เนื่องจากฝิ่นที่ปลูกในอินเดีย (อาณานิคมของอังกฤษ) มีคุณภาพสูงและสามารถทำกำไรได้มาก อังกฤษจึงพยายามส่งฝิ่นเข้ามาในจีนแม้ว่าจะรู้ว่าเป็นสิ่งเสพติดที่มีผลกระทบต่อสังคมจีนก็ตาม
การควบคุมเศรษฐกิจในภูมิภาค
อังกฤษต้องการควบคุมการค้าภายในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในเส้นทางการค้าระหว่างอินเดีย (ซึ่งอังกฤษปกครองเป็นอาณานิคม) และจีน การขายฝิ่นในจีนไม่เพียงแต่ช่วยให้เงินตราไหลกลับไปยังอังกฤษ แต่ยังเสริมความเข้มแข็งของการค้าของอังกฤษในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก
การเพิ่มอิทธิพลและการเจรจาต่อรองกับจีน
การขายฝิ่นในจีนยังเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการสร้างแรงกดดันต่อราชวงศ์ชิง การที่ประชากรจำนวนมากติดฝิ่นไม่เพียงแต่ทำให้เศรษฐกิจและสังคมของจีนอ่อนแอ แต่ยังเปิดโอกาสให้อังกฤษมีอำนาจในการเจรจาต่อรองทางการค้าและการเมืองมากขึ้น
เมื่อรัฐบาลจีนพยายามยุติการค้าฝิ่นอย่างเด็ดขาด อังกฤษใช้เหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้างในการเข้าสู่สงครามฝิ่นครั้งที่ 1 (1839-1842) ซึ่งทำให้อังกฤษได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าจากสนธิสัญญานานกิง (Treaty of Nanjing) และยึดครองเกาะฮ่องกง ซึ่งถือเป็นชัยชนะทางเศรษฐกิจและการทูตที่สำคัญของอังกฤษ
ผลประโยชน์ทางการเงินโดยตรง
การค้าฝิ่นเป็นธุรกิจที่ทำกำไรมหาศาลสำหรับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ (British East India Company) ฝิ่นที่ปลูกในอินเดียถูกผลิตและส่งออกไปยังจีนเป็นปริมาณมหาศาล การค้าที่ไม่ผ่านการควบคุมจากรัฐบาลจีนนี้สร้างผลกำไรมากมายให้กับอังกฤษ ซึ่งช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจของอังกฤษโดยตรง
จีน ในมุมมองแบบ ภาระคนขาว!
ชาติตะวันตกในช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 มองจีนผ่านสองมุมมองหลักที่ซับซ้อน นั่นคือ ”สายตาแบบภาระคนขาว“ (White Man’s Burden) และการมองจีนว่าเป็นมหาอำนาจที่เสื่อมลง การมองเหล่านี้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ชาติตะวันตกมีต่อจีนในช่วงเวลาที่อิทธิพลของตะวันตกกำลังขยายไปทั่วโลก
มุมมองแบบภาระคนขาว (White Man’s Burden)
มุมมองนี้มาจากแนวคิดจักรวรรดินิยมของตะวันตก ซึ่งถือว่าชาวตะวันตกมีหน้าที่และภารกิจในการ “พัฒนา” หรือ “ยกระดับ” ประเทศที่พวกเขามองว่า “ล้าหลัง” หรือ “ป่าเถื่อน” เช่นเดียวกับที่ชาติตะวันตกมองประเทศในแอฟริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีนถูกมองว่าเป็นประเทศที่มีอารยธรรมโบราณและเก่าแก่ แต่ในสายตาชาติตะวันตก จีนในยุคราชวงศ์ชิงนั้นกำลังเสื่อมถอย ถูกมองว่า “ล้าหลัง” ในด้านเทคโนโลยี การเมือง และเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับตะวันตก
ความเชื่อว่าจีน “ล้าหลัง” ทำให้ชาติตะวันตกคิดว่าพวกเขามีสิทธิ์และหน้าที่ที่จะ “พัฒนาจีน” ผ่านการบีบบังคับทางการค้า ศาสนา และวัฒนธรรม ซึ่งสะท้อนในรูปแบบของการบังคับใช้สนธิสัญญาไม่เป็นธรรมและการแทรกแซงกิจการภายในของจีน ชาวตะวันตกมักนำเสนอแนวคิดว่า จีนต้อง “สอน” ให้รู้จักวิธีการบริหารและการค้าตามแบบตะวันตก เช่นเดียวกับที่ทำในอาณานิคมอื่น ๆ ในเอเชีย
การมองจีนว่าเป็นมหาอำนาจที่เสื่อมลง
แม้ว่าชาติตะวันตกจะมองจีนด้วยสายตาแบบภาระคนขาว พวกเขายังยอมรับว่าจีนเคยเป็นมหาอำนาจที่มีอิทธิพลในเอเชียมาก่อน จีนมีอารยธรรมเก่าแก่และเคยมีความเข้มแข็งในอดีต ชาติตะวันตกเคยเคารพอิทธิพลและความยิ่งใหญ่ของจีนในหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ แต่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เมื่อจีนเผชิญกับปัญหาภายใน เช่น ความอ่อนแอทางการเมือง การปฏิรูปที่ล้มเหลว และการเผชิญกับแรงกดดันจากภายนอก ทำให้ชาติตะวันตกเริ่มมองจีนว่าเป็นมหาอำนาจที่อ่อนแอลงอย่างชัดเจน
ในแง่นี้ ชาติตะวันตกไม่ได้มองว่าจีนเป็นมหาอำนาจในยุคปัจจุบัน แต่เป็นมหาอำนาจที่กำลังเสื่อมสลาย การพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่นและการลงนามสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมแสดงให้เห็นว่าจีนขาดความสามารถในการป้องกันตนเองจากอำนาจของตะวันตก ชาติตะวันตกจึงใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอนี้เพื่อขยายอิทธิพลในจีน โดยเฉพาะในการควบคุมการค้าและการเมืองในเขตเมืองท่าของจีน
สรุป
ชาติตะวันตกมองจีนด้วยมุมมองสองด้านที่ซับซ้อน ในด้านหนึ่งพวกเขามองจีนด้วยสายตาแบบ “ภาระคนขาว” ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อที่ว่าจีนต้องการการพัฒนาและการชี้นำจากตะวันตก ในอีกด้านหนึ่ง พวกเขามองจีนว่าเคยเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในอดีต แต่กำลังเสื่อมถอยลงและอ่อนแอ ซึ่งเป็นโอกาสให้ชาติตะวันตกแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองในภูมิภาค
ความพยายามจัดระเบียบโลกกับจีนมีลักษณะดังนี้
1. การเปิดตลาดจีนเพื่อการค้าเสรีของตะวันตก
การบังคับให้จีนเปิดท่าเรือและการค้าระหว่างประเทศผ่านสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เช่น สนธิสัญญานานกิง ถือเป็นการจัดระเบียบโลกทางเศรษฐกิจที่ชาติตะวันตกใช้ควบคุมจีน เพื่อให้จีนต้องยอมรับกฎเกณฑ์การค้าของตะวันตก ซึ่งเน้นการค้าสินค้าของชาติตะวันตกโดยที่จีนไม่มีสิทธิในการควบคุมเงื่อนไขทางเศรษฐกิจของตนเอง
2. การบังคับให้ยอมรับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต
การที่ชาติตะวันตกสามารถเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ทำธุรกิจ และใช้กฎหมายของตนเองในการตัดสินคดี โดยที่กฎหมายจีนไม่มีอำนาจเหนือชาวต่างชาติ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการจัดระเบียบทางกฎหมายที่ลดทอนอธิปไตยของจีนและทำให้มหาอำนาจตะวันตกสามารถแทรกแซงการบริหารภายในของจีนได้อย่างเสรี
3. การเผยแพร่ศาสนาคริสต์และวัฒนธรรมตะวันตก
ชาติตะวันตกพยายามส่งเสริมการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในจีนและเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมท้องถิ่น สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การเผยแผ่ศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมจีนให้เข้ากับมาตรฐานของตะวันตก ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งในการจัดระเบียบทางสังคมที่ชาติตะวันตกพยายามนำไปใช้กับจีน
4. การแสวงหาอำนาจเหนือภูมิภาคเอเชีย
การที่ชาติตะวันตกต้องการให้จีนกลายเป็นส่วนหนึ่งของระเบียบโลกที่พวกเขากำลังสร้าง ก็เพื่อให้จีนและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอยู่ภายใต้การควบคุมทางเศรษฐกิจและการเมือง สิ่งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของภาระคนขาว ที่มองว่าชาติตะวันตกมีหน้าที่ในการจัดการและดูแลประเทศอื่น ๆ ที่พวกเขาเห็นว่า “ด้อยพัฒนา” ให้เป็นไปตามกรอบและมาตรฐานที่พวกเขากำหนด
การจัดระเบียบโลกกับจีน: การปรับเปลี่ยนในยุคจักรวรรดินิยม
ในช่วงเวลานี้ จีนเผชิญกับแรงกดดันจากชาติตะวันตกในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมให้เข้ากับระบบโลกที่ชาติตะวันตกสร้างขึ้น การพ่ายแพ้ของจีนในสงครามฝิ่นเป็นจุดเริ่มต้นของการสูญเสียอธิปไตยและการยอมจำนนต่อแรงกดดันจากตะวันตก ผลของการจัดระเบียบโลกตามแนวคิดของชาติตะวันตกทำให้จีนต้องเสียดินแดนและสิทธิทางเศรษฐกิจหลายประการ พร้อมกับการเข้ามาของแนวคิดและเทคโนโลยีตะวันตกที่ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในจีนอย่างมาก
สรุป
การมองจีนด้วยสายตาแบบ “ภาระคนขาว” ของชาติตะวันตกสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการจัดระเบียบโลก โดยการบังคับให้จีนยอมรับเงื่อนไขที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของตะวันตก การเปิดตลาด เสียดินแดน การควบคุมด้านกฎหมาย และการเผยแพร่วัฒนธรรมตะวันตก เป็นกลยุทธ์ในการทำให้จีนอยู่ภายใต้ระเบียบโลกใหม่ที่ชาติตะวันตกควบคุม
ชาติตะวันตกมีความพยายามในบางระดับที่จะยึดครองจีน แต่ความสำเร็จในการทำให้จีนกลายเป็นอาณานิคมนั้นมีข้อจำกัดและแตกต่างจากอาณานิคมในภูมิภาคอื่น เช่น อินเดียหรือประเทศในแอฟริกา โดยมีเหตุผลหลายประการที่ทำให้ชาติตะวันตกไม่สามารถยึดครองจีนได้โดยสมบูรณ์ ดังนี้:
1. การพยายามควบคุมจีนโดยทางเศรษฐกิจและการเมืองมากกว่าการยึดครองโดยตรง
แม้ชาติตะวันตก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และญี่ปุ่น (ในภายหลัง) จะมีการเข้ามามีอิทธิพลเหนือจีนในศตวรรษที่ 19 และ 20 แต่การแทรกแซงส่วนใหญ่เป็นการควบคุมผ่าน “สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” ซึ่งอนุญาตให้ชาวต่างชาติมีสิทธิพิเศษในการค้าและกฎหมายในจีน รวมถึงการเข้าควบคุมท่าเรือสำคัญและดินแดนบางส่วน เช่น เกาะฮ่องกง การควบคุมลักษณะนี้เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากกว่าการยึดครองแบบอาณานิคมเต็มรูปแบบ
ตัวอย่างเช่น อังกฤษยึดครองเกาะฮ่องกงจากสงครามฝิ่น แต่ไม่ได้ยึดครองจีนทั้งหมด ในขณะที่ฝรั่งเศสและรัสเซียต่างพยายามที่จะควบคุมส่วนต่าง ๆ ของจีนผ่านสนธิสัญญาและเขตอิทธิพลโดยไม่จำเป็นต้องยึดครองจีนในลักษณะเดียวกับการล่าอาณานิคมในอินเดียหรือแอฟริกา
2. ความกว้างใหญ่ของจีนและโครงสร้างทางสังคมที่ซับซ้อน
จีนเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่และประชากรมาก การพยายามยึดครองทั้งหมดเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับชาติตะวันตก แม้ว่าราชวงศ์ชิงจะเสื่อมถอยลงในช่วงเวลานั้น แต่โครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมของจีนยังคงแข็งแกร่งในระดับที่ยากต่อการเข้าควบคุมโดยตรง ชาติตะวันตกเลือกใช้การแทรกแซงเชิงเศรษฐกิจและการเมืองมากกว่า เพราะการยึดครองอย่างเต็มรูปแบบจะต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล
3. การปกป้องอำนาจและการต่อต้านจากจีน
แม้ว่าราชวงศ์ชิงจะอ่อนแอในศตวรรษที่ 19 แต่ก็มีการพยายามปกป้องอำนาจของตนเอง เช่น การก่อกบฏไท่ผิงและการลุกฮือของประชาชนที่ต่อต้านการแทรกแซงของชาติตะวันตก ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ กบฏนักมวย (Boxer Rebellion) ในปี 1900 ซึ่งเป็นการกบฏของชาวจีนเพื่อต่อต้านอิทธิพลและการแทรกแซงของต่างชาติในจีน ถึงแม้การกบฏนี้จะถูกปราบโดยกองกำลังผสมของชาติตะวันตก แต่ก็บ่งบอกถึงความไม่พอใจและการต่อต้านจากประชาชนจีนที่ยังไม่ยอมรับการครอบงำของต่างชาติอย่างสมบูรณ์
4. การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจตะวันตกและญี่ปุ่น
ชาติตะวันตกและญี่ปุ่นแข่งขันกันเองในการแสวงหาอิทธิพลในจีน ทำให้ไม่มีชาติตะวันตกใดสามารถยึดครองจีนได้เต็มที่ อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ต่างพยายามสร้างเขตอิทธิพลของตนเองในจีน ซึ่งทำให้จีนกลายเป็นเหมือน “ขนมหวาน” ที่ถูกแบ่งปันระหว่างชาติตะวันตกและมหาอำนาจในเอเชีย มากกว่าจะเป็นประเทศที่ถูกยึดครองโดยชาติใดชาติหนึ่งอย่างชัดเจน
5. การล่มสลายของราชวงศ์ชิงและการเปลี่ยนแปลงภายในจีน
ในที่สุด การล่มสลายของราชวงศ์ชิงในปี 1912 และการก่อตั้งสาธารณรัฐจีนเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในประเทศที่ทำให้ชาติตะวันตกไม่สามารถยึดครองจีนได้อย่างสมบูรณ์ แม้จะยังมีการแทรกแซงทางเศรษฐกิจและการค้าอยู่ แต่จีนเริ่มกระบวนการปฏิรูปเพื่อฟื้นฟูความเป็นอิสระของตนเอง
** สงวนลิขสิทธิ์ไม่อนุญาตให้คัดลอกนำบทความไปใช้งานใดๆ รวมทั้งนำไปทำคลิปวีดีโอ**