โดย อัษฎางค์ ยมนาค
ข้อดีของเงินบาทแข็งคือ การส่งออก ?
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาแถลงเกี่ยวกับการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐและราคาทองคำในตลาดโลกที่สูงขึ้น ทำให้นักลงทุนขายทองและนำเงินเข้าสู่ตลาดไทย ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ยังมีการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
นายกรัฐมนตรีแพรทองธารกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
“เรื่องบาทแข็ง ทำให้เกิดความกังวลในทุกภาคส่วน ในส่วนรัฐบาลก็สามารถนำข้อดีของบาทแข็งมาใช้ในหลายๆอย่างไม่ว่าการส่งออก การกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ในเรื่องอีกด้านก็ต้องพูดคุยกัน“
อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรีกลับมาเปลี่ยนคำให้การใหม่ว่า
“สักครู่ตอนแถลงข่าวมีหลายคำถามทำให้เข้าใจผิดพอไปฟังแล้วสับสนเอง เรื่องเงินบาทแข็งเข้าใจว่า การส่งออกเป็นปัญหาแน่นอนการส่งออกอาจมีความกังวลใจแต่คิดในแง่ดีขอให้ช่วงที่เงินบาทแข็งโครงการใดที่จะนำเข้าหรือการคืนเงินต่างประเทศให้ทำในช่วงนี้เป็นโอกาสเรื่องเงินบาทแข็ง แต่ต้องแก้ปัญหากันต่อไป“
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่แท้จริงเกี่ยวกับค่าเงินบาทที่แข็งตัว คืออะไร?
ค่าเงินบาทที่แข็งตัว (การที่เงินบาทมีมูลค่าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ) ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายด้าน ทั้งด้านบวกและด้านลบ นี่คือผลกระทบหลัก ๆ:
ผลกระทบด้านบวกของค่าเงินบาทแข็ง
1. สินค้านำเข้าราคาถูกลง
– เมื่อค่าเงินบาทแข็งขึ้น สินค้านำเข้าจากต่างประเทศจะมีราคาถูกลง ทำให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าจากต่างประเทศในราคาที่ถูกกว่า เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ หรือรถยนต์
– นอกจากนี้ ธุรกิจที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบหรือเครื่องจักรจากต่างประเทศก็จะมีต้นทุนการผลิตลดลง ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการ
2. ลดภาระหนี้ต่างประเทศ
– หากประเทศมีหนี้สินในรูปสกุลเงินต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ การชำระหนี้ในรูปเงินบาทจะน้อยลง เพราะเงินบาทมีมูลค่ามากขึ้นเมื่อเทียบกับเงินตราต่างประเทศ
3. นักท่องเที่ยวไทยเที่ยวต่างประเทศได้ถูกลง
– ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศของนักท่องเที่ยวไทยจะลดลง เพราะเงินบาทแข็งค่า ทำให้มีพลังซื้อที่สูงขึ้นเมื่อแลกเป็นสกุลเงินต่างประเทศ
ผลกระทบด้านลบของค่าเงินบาทแข็ง
1. การส่งออกลดลง
– เมื่อค่าเงินบาทแข็งขึ้น สินค้าไทยจะมีราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสินค้าจากประเทศคู่แข่งในตลาดต่างประเทศ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยลดลง และอาจทำให้ยอดขายลดลงในตลาดต่างประเทศ
– ภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนักจากการส่งออกลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมการเกษตร, อิเล็กทรอนิกส์, และยานยนต์
2. รายได้จากการท่องเที่ยวลดลง
– นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวไทยจะต้องจ่ายเงินมากขึ้นเมื่อแลกเปลี่ยนสกุลเงินของตนเป็นเงินบาท ทำให้ค่าใช้จ่ายในประเทศไทยสูงขึ้น อาจทำให้นักท่องเที่ยวลดจำนวนการใช้จ่าย หรือลดการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย
– ส่งผลต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการ
3. ส่งผลต่อการลงทุนจากต่างประเทศ
– ค่าเงินบาทแข็งอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติเห็นว่าการลงทุนในประเทศไทยมีต้นทุนสูงขึ้น เนื่องจากการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศกับเงินบาททำให้ค่าใช้จ่ายมากขึ้น อาจส่งผลให้การลงทุนจากต่างประเทศลดลง
4. กระทบต่อธุรกิจที่มีรายได้หลักจากต่างประเทศ
– ธุรกิจที่ต้องพึ่งพารายได้จากต่างประเทศ เช่น ธุรกิจส่งออกหรือธุรกิจบริการที่มีลูกค้าต่างชาติ จะได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากรายได้ที่แปลงกลับมาเป็นเงินบาทจะลดลง
การแข็งค่าของค่าเงินบาทเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย
1. การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลจากการลดอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) นอกจากนี้ ความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐจะลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีนี้ทำให้นักลงทุนมองหาตลาดที่มีผลตอบแทนสูงกว่า จึงมีการโยกย้ายเงินทุนมายังตลาดเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ฃ
2. ราคาทองคำในตลาดโลกสูงขึ้น
การแข็งค่าของเงินบาทยังได้รับแรงสนับสนุนจากราคาทองคำที่สูงขึ้น ทำให้มีการขายทองคำและนำเงินเข้ามาในประเทศเพื่อซื้อทอง ซึ่งช่วยดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าอีกด้วย
3. การไหลเข้าของเงินทุน (Capital Inflows)
การลดอัตราดอกเบี้ยในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก รวมถึงในเอเชีย ทำให้นักลงทุนระหว่างประเทศหันมาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากคาดว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
4. เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
แม้เศรษฐกิจภายในประเทศจะฟื้นตัวช้า แต่ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าเนื่องจากการคาดการณ์ที่ดีเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ ซึ่งช่วยเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาด
ปัจจัยเหล่านี้รวมกันทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าที่คาดไว้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยที่อาจสูญเสียรายได้มหาศาลหากเงินบาทยังคงแข็งค่าอยู่ต่อไป
การแข็งค่าของเงินเป็นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับหลายปัจจัยเชิงเศรษฐกิจทั้งในระดับมหภาคและระดับจุลภาค
มุมมองเชิงเศรษฐศาสตร์ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการแข็งค่าของเงิน
1. อุปสงค์และอุปทานของเงินตรา (Supply and Demand of Currency)
– ในทางเศรษฐศาสตร์ อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินได้รับผลกระทบจากอุปสงค์และอุปทานของสกุลเงินนั้น ๆ ในตลาดโลก หากความต้องการเงินบาท (อุปสงค์) เพิ่มขึ้น เช่น จากการเพิ่มขึ้นของการลงทุนจากต่างประเทศหรือความต้องการสินค้าส่งออกของไทย ค่าเงินบาทจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
– ในทางกลับกัน ถ้าเงินบาทมีอุปทานมากเกินไป หรือมีการเคลื่อนย้ายเงินออกจากประเทศ ค่าเงินบาทก็จะอ่อนลงตามหลักอุปสงค์และอุปทาน
2. อัตราดอกเบี้ยและเงินทุนเคลื่อนย้าย (Interest Rates and Capital Flows)
– การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยมีผลโดยตรงต่อค่าเงิน ถ้าอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศสูงกว่าประเทศอื่น ๆ นักลงทุนต่างชาติอาจมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นสกุลเงินบาท เช่น พันธบัตรหรือหุ้น ซึ่งจะส่งผลให้เงินทุนต่างชาติเข้ามามากขึ้น และทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น
– ในทางตรงกันข้าม ถ้าอัตราดอกเบี้ยในประเทศลดลงเมื่อเทียบกับต่างประเทศ เงินทุนต่างชาติอาจไหลออกไปยังประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง
3. ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด (Trade Balance and Current Account Balance)
– ดุลการค้า (ส่วนต่างระหว่างมูลค่าการส่งออกและนำเข้า) และดุลบัญชีเดินสะพัด (ซึ่งรวมการค้า การลงทุน และรายได้จากต่างประเทศ) มีผลต่อค่าเงิน หากประเทศมีดุลการค้าเกินดุล (ส่งออกมากกว่านำเข้า) จะทำให้มีความต้องการเงินบาทมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าจากไทย ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า
– ในทางตรงกันข้าม หากดุลการค้าเป็นขาดดุล (นำเข้ามากกว่าส่งออก) เงินบาทอาจอ่อนค่าลง เนื่องจากความต้องการแลกเงินบาทเป็นสกุลเงินต่างประเทศเพื่อชำระค่าสินค้านำเข้ามีมากกว่า
4. อัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rates)
– ระดับของอัตราเงินเฟ้อในประเทศมีผลกระทบต่อค่าเงิน หากอัตราเงินเฟ้อในประเทศต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ค่าเงินบาทจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น เนื่องจากสินค้าของไทยจะมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และทำให้มีการส่งออกเพิ่มขึ้น
– หากอัตราเงินเฟ้อสูง เงินบาทจะอ่อนค่าลง เพราะสินค้าของไทยจะมีราคาแพงกว่าสินค้าจากต่างประเทศ ทำให้การส่งออกลดลง และมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้น
5. การแทรกแซงของธนาคารกลาง (Central Bank Intervention)
– ธนาคารกลางของประเทศ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจเข้ามาแทรกแซงค่าเงินด้วยการซื้อขายสกุลเงินในตลาดเงินเพื่อควบคุมเสถียรภาพของค่าเงิน หากเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปจนกระทบต่อภาคส่งออก ธนาคารกลางอาจทำการซื้อสกุลเงินต่างประเทศ (เช่น ดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อลดค่าเงินบาท
– ธนาคารกลางอาจใช้วิธีอื่น ๆ เช่น การปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นหรือยับยั้งการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อค่าเงินในที่สุด
6. การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment, FDI)
– การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็ง หากมีการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ในประเทศไทยจากนักลงทุนต่างประเทศ เช่น โครงการขนาดใหญ่หรือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน จะทำให้เงินทุนไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการเงินบาทเพิ่มขึ้นและทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น
– การลดลงของ FDI หรือการนำเงินทุนออกไปลงทุนในต่างประเทศอาจทำให้ค่าเงินอ่อนลง
7. ปัจจัยด้านความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการเมือง (Economic and Political Confidence)
– ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและภาคธุรกิจมีผลต่อการไหลเวียนของเงินทุนและค่าเงิน หากนักลงทุนเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการเงินบาทเพิ่มขึ้นและส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น
– ในทางตรงกันข้าม ความไม่แน่นอนทางการเมือง เช่น การประท้วง การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล หรือวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ อาจทำให้นักลงทุนขายสินทรัพย์ไทยและนำเงินออกนอกประเทศ ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนลง
8. อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวและคงที่ (Floating vs. Fixed Exchange Rate)
– ประเทศที่ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว (เช่น ประเทศไทย) ค่าเงินจะถูกกำหนดโดยกลไกตลาด ซึ่งขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในตลาดเงิน
– ในขณะที่ประเทศที่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ค่าเงินจะถูกกำหนดโดยธนาคารกลาง ซึ่งจะเข้าแทรกแซงตลาดการเงินเพื่อให้ค่าเงินอยู่ในระดับที่ต้องการ การแข็งค่าของเงินในระบบนี้อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงินของรัฐบาล
ในทางเศรษฐศาสตร์ รัฐบาลไทยสามารถดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อจัดการกับการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งมีผลกระทบต่อภาคส่งออกและการท่องเที่ยวอย่างมาก
1. การแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยน
– ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถเข้ามาแทรกแซงตลาดเงินโดยการซื้อสกุลเงินต่างประเทศ (เช่น ดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อเพิ่มปริมาณของเงินบาทในตลาด ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง นี่เป็นมาตรการระยะสั้นที่สามารถใช้เพื่อควบคุมการแข็งค่าของค่าเงินได้ แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดการแทรกแซงมากเกินไปจนเกิดความผันผวน
2. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
– การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในประเทศไทยลดลง ทำให้นักลงทุนต่างชาติอาจเลือกที่จะถอนการลงทุนหรือหยุดการนำเงินทุนเข้ามา ซึ่งจะช่วยลดความต้องการเงินบาทและทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในด้วย โดยเฉพาะภาคการบริโภคและการกู้ยืมในประเทศ
3. สนับสนุนภาคส่งออก
– รัฐบาลสามารถออกมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่า เช่น การลดภาษี การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือการช่วยเจรจาตลาดใหม่ๆ เพื่อเพิ่มการส่งออก ซึ่งจะช่วยชดเชยผลกระทบจากการที่สินค้าส่งออกมีราคาสูงขึ้นในตลาดต่างประเทศ
4. มาตรการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ
– การส่งเสริมให้นักลงทุนไทยออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น จะทำให้เงินบาทถูกนำไปแลกเป็นเงินสกุลต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณเงินบาทในตลาดและทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง รัฐบาลสามารถให้สิทธิพิเศษด้านภาษีหรือเงินสนับสนุนแก่ธุรกิจที่ต้องการขยายการลงทุนในต่างประเทศ
5. ลดความผันผวนของค่าเงิน (Exchange Rate Stability)
– รัฐบาลสามารถร่วมมือกับธนาคารกลางเพื่อใช้มาตรการที่ควบคุมความผันผวนของค่าเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เช่น การควบคุมการไหลเข้าออกของเงินทุนระยะสั้นหรือการออกพันธบัตรในสกุลเงินต่างประเทศเพื่อดูดซับเงินทุนไหลเข้า
6. เจรจาการค้าระหว่างประเทศ
– การสร้างข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ (เช่น FTA) กับประเทศคู่ค้าอาจช่วยเพิ่มปริมาณการส่งออกของไทยและลดผลกระทบจากค่าเงินที่แข็งตัว นอกจากนี้ การเจรจากับประเทศคู่ค้าเพื่อใช้สกุลเงินท้องถิ่นแทนการใช้ดอลลาร์สหรัฐในการค้าระหว่างประเทศก็เป็นอีกวิธีที่สามารถช่วยลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนได้