โดย อัษฎางค์ ยมนาค
คุณพิชัย รมต.พาณิชย์ของนายกฯ แพทองธาร แขวะ ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่า ธปท.ว่า “ผมรู้ว่าท่านจบเยลล์ แต่ผมเข้าใจว่าคนจบเยลล์คิดได้แค่นี้เหรอ?
นายพิชัยกล่าวว่าการลดค่าเงินบาทให้อ่อนลงจะมีส่วนช่วยต่อการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศ และเรียกร้องให้ ธปท. รับผิดชอบถ้าหากว่าค่าเงินบาทแข็งตัวจนส่งผลให้ปริมาณการส่งออกลดลง ในขณะที่กระทรวงพาณิชย์พยายามอย่างเต็มที่แล้ว
ผมอยากถามกลับ…คุณพิชัยว่า ไม่ถามนายกฯ บ้างหรือว่า คนจบรัดสาทจุลาโทอังกิต คิดได้แค่นี้เหรอ?
เพราะก่อนหน้านี้เพียงเล็กน้อย นายกฯ แพทองธารของคุณพิชัยเพิ่งพูดว่า “เรื่องบาทแข็งค่า ทำให้เกิดความกังวลในทุกภาคส่วน ในส่วนรัฐบาลก็สามารถนำข้อดีของบาทแข็งมาใช้ในหลายๆ อย่างไม่ว่าการส่งออก การกระตุ้นเศรษฐกิจ“
”คือ นายกฯ ของท่านบอกว่า เงินบาทแข็งค่าเป็นผลดีต่อการส่งออก จะทำให้ปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น“
…………………………………………………………………………..
คุณพิชัยยังพูดต่อว่า..
“สาเหตุว่าทำไมตนจึงถามว่าท่านจบอะไรมาก เพราะเรื่องลักษณะนี้ คนที่จบมาอย่างท่าน (ผู้ว่า ธปท.) ก็น่าจะเข้าใจเรื่องเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นแล้ว ว่าจะต้องทำอย่างไร จะต้องไล่ล่า GDP อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นเมื่อไรเราจะเป็นประเทศมีรายได้สูง หากไม่มีรายได้ ก็จะไม่มีการกระจายรายได้ และการที่ ดร. เศรษฐพุฒิ กล่าวว่าไม่ต้องไล่ล่า GDP นั้น ตนเองคิดว่าท่านเข้าใจผิด
โดยก่อนหน้านี้ ดร.เศรษฐพุฒิ ได้แนะนำรัฐบาลว่า เศรษฐกิจไทยไม่ควรโตแบบมุ่งเน้นการล่าตัวเลขการเติบโตของ GDP หรือมุ่งล่าการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เนื่องจากสุดท้ายสิ่งที่ควรใส่ใจคือชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน นอกจากนี้ควรต้องพิจารณาว่าเม็ดเงินการลงทุนที่ดึงดูดมาได้จะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยได้แค่ไหน รวมไปถึงควรให้ความใส่ใจกับตัวเลขอื่นๆ ที่สะท้อนคุณภาพชีวิตของผู้คน เช่น รายได้ ความมั่งคั่ง สาธารณสุข และการศึกษา เป็นต้น และเศรษฐกิจไทยควรโตแบบเน้นท้องถิ่นมากขึ้น (More Local) และแข่งกับโลกได้
สำหรับประเด็นนี้, ผมอยากจะบอกคุณพิชัยแทนดร.เศรษฐพุฒิว่า….
คำพูดของคุณพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร และคำตอบของ ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สะท้อนมุมมองที่ต่างกันเกี่ยวกับแนวทางการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งเป็นการถกเถียงเรื่องแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญ
มุมมองของคุณพิชัย
คุณพิชัยเชื่อว่า “การไล่ล่าการเติบโตของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ)” เป็นสิ่งจำเป็น
เพราะ GDP เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญของความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งเชื่อมโยงกับการมีรายได้ที่สูงขึ้น และหากไม่มีการเติบโตของ GDP ที่เพียงพอ ประเทศก็จะไม่สามารถเพิ่มรายได้ของประชาชนได้ และสุดท้ายจะไม่สามารถกระจายรายได้ที่ยั่งยืนได้ เขาให้เหตุผลโดยยกตัวอย่างนโยบายของจีน ซึ่งเพิ่งเปิดตัวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ แม้เศรษฐกิจจีนยังไม่ซบเซามากเท่ากับของไทย
มุมมองของ ดร. เศรษฐพุฒิ
ดร. เศรษฐพุฒิ แสดงจุดยืนที่แตกต่าง โดยเขาชี้ให้เห็นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ควรเน้นที่ “การไล่ล่าการเติบโตของ GDP หรือการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI)” เพียงอย่างเดียว เขาเสนอว่าการเติบโตควรคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นหลัก
ตัวชี้วัดเช่นรายได้ สุขภาพ สาธารณสุข และการศึกษา ควรมีความสำคัญพอๆ กับการเติบโตของ GDP เขายังกล่าวอีกว่า
การเน้นการพัฒนาท้องถิ่นและสร้างความเข้มแข็งจากฐานรากเป็นสิ่งสำคัญ และการโตแบบ “More Local” จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยสามารถแข่งขันกับโลกได้อย่างยั่งยืน
ในแง่เศรษฐศาสตร์:
การไล่ล่า GDP กับการพัฒนาคุณภาพชีวิต
GDP เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนความสามารถของประเทศในการผลิตสินค้าและบริการ หาก GDP เติบโตอย่างแข็งแรง ย่อมหมายถึงโอกาสในการจ้างงานและรายได้ที่สูงขึ้นในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถนำไปสู่การกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
การไล่ล่า GDP ยังช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งเป็นแหล่งทุนที่สามารถสร้างงานและเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้กับเศรษฐกิจ
ข้อเสียของการไล่ล่า GDP
หากเน้นการเติบโตของ GDP มากเกินไป อาจเกิดการพัฒนาแบบไม่สมดุล เช่น มุ่งเน้นการสร้างโครงการขนาดใหญ่หรือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง
GDP ไม่สะท้อนการกระจายรายได้อย่างเท่าเทียม หากการเติบโตของเศรษฐกิจมุ่งเน้นที่การลงทุนของบริษัทขนาดใหญ่ อาจไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนในชนบทหรือกลุ่มที่มีรายได้น้อย
แนวคิดของ ดร. เศรษฐพุฒิ เน้นที่การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก (More Local) โดยมองว่าความสำเร็จทางเศรษฐกิจไม่ควรวัดจากตัวเลข GDP เพียงอย่างเดียว แต่ควรวัดจากการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน แนวทางนี้สนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่น สร้างเศรษฐกิจที่มีความหลากหลายและยั่งยืนมากขึ้น ทำให้การพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศลดลง
แนวคิดนี้คล้ายกับแนวทางเศรษฐศาสตร์พัฒนาแบบ “Inclusive Growth” ที่มุ่งเน้นการเติบโตแบบมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน ไม่ใช่แค่การเติบโตของตัวเลขเศรษฐกิจโดยรวม แต่มุ่งเน้นที่การกระจายรายได้และการสร้างโอกาสให้กับทุกกลุ่มในสังคม
สรุป …ใครเห็นหัวคนรากหญ้ามากกว่ากัน เพื่อไทยหรือแบงค์ชาติ !
มุมมองของคุณพิชัยที่เน้นการไล่ล่า GDP เป็นแนวทางที่สามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้นและเพิ่มรายได้ให้กับประเทศได้อย่างรวดเร็ว
มุมมองของ ดร. เศรษฐพุฒิ ที่เน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการพัฒนาท้องถิ่น เป็นแนวทางระยะยาวที่สามารถทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม
อย่างไรก็ตาม, การผสมผสานระหว่างทั้งสองแนวทางนี้ เช่น การกระตุ้นการลงทุนในระยะสั้นเพื่อเพิ่ม GDP พร้อมกับการพัฒนาฐานเศรษฐกิจจากท้องถิ่น อาจเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน
……………………………………………………………………………
คุณพิชัยยังพูดต่อว่า..
”เร็ว ๆ นี้ แบงก์ชาติจีนยังออกแพกเกจขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจีน ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจจีนไม่ได้แย่เหมือนไทย“
”อีกทั้งยังกล่าวว่า ความมีอิสระของ ธปท. นั้นก็เพื่อให้ประเทศเจริญ ไม่ใช่เพื่อให้ออกมาขวางทุกอย่าง“
ในการเปรียบเทียบเรื่องการแจกเงินสดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลจีนและรัฐบาลไทยในปัจจุบัน ที่นำโดยพรรคเพื่อไทยและนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เราสามารถวิเคราะห์ในหลายประเด็น
การแจกเงินในจีนมักมีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับเมืองใหญ่ เช่น การแจกคูปองในเซี่ยงไฮ้มูลค่า 522 ล้านหยวน หรือการแจกเงินให้กลุ่มยากจนตามแผนการช่วยเหลือระดับประเทศ
การแจกเงินในจีนเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการช่วยเหลือในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น ตรุษจีน วันชาติ ฯลฯ การแจกเงินเหล่านี้เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยสำหรับกลุ่มเปราะบาง แต่การแจกเงินสดในวงกว้างทั่วประเทศนั้นเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
การแจกเงินในจีนมักไม่เชื่อมโยงกับการเมืองภายในมากนัก เนื่องจากจีนเป็นรัฐเผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์
การแจกเงินหรือคูปองเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนจะถูกมองว่าเป็นนโยบายเศรษฐกิจของรัฐ มากกว่าที่จะเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ในประเทศไทย การแจกเงินสดเป็นนโยบายสำคัญของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะในกลุ่มเป้าหมายที่เป็นชนบทและกลุ่มคนจน ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรค
การแจกเงินของพรรคเพื่อไทยจึงไม่เพียงแต่เป็นมาตรการทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่ใช้สร้างความนิยมและรักษาฐานเสียง
รัฐบาลจีนมีความสามารถในการบริหารจัดการงบประมาณที่มากกว่า เนื่องจากมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่และมีการสำรองเงินทุนมหาศาล ทำให้การแจกเงินสดเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่สามารถดำเนินการได้โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาทางการคลังในระยะสั้น
รัฐบาลแพทองธารอาจมีข้อจำกัดทางการคลังมากกว่า การแจกเงินสดอาจเพิ่มภาระหนี้สาธารณะของประเทศ โดยเฉพาะหากมีการแจกเงินโดยไม่มีการเพิ่มรายได้ของรัฐเพื่อลดหนี้
คุณพิชัยยกตัวอย่างการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่ใช้แพ็กเกจกระตุ้นขนาดใหญ่เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะไม่ได้แย่เท่าเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างสำคัญระหว่างจีนกับไทยคือ “ขนาดของเศรษฐกิจและความสามารถในการออกมาตรการทางการเงิน“ จีนมีทรัพยากรและเงินทุนสำรองขนาดใหญ่ที่สามารถนำมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ในขณะที่ประเทศไทยมีข้อจำกัดในด้านการเงินและหนี้สาธารณะสูง การเน้นนโยบายการกระจายรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตในท้องถิ่นจึงอาจเหมาะสมกว่าในบริบทของประเทศไทย
……………………………………………………………………………ความรู้เพิ่มเติม….เผื่อคุณพิชัยอาจไม่เคยทราบเรื่องเศรษฐศาสตร์พื้นฐานว่า
”การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก (More Local) มักเชื่อมโยงกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง“
การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก (More Local) เป็นแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจจากระดับท้องถิ่น (local economy) โดยเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนและพื้นที่ท้องถิ่นเป็นสำคัญ แนวคิดนี้มีจุดประสงค์เพื่อกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ โดยเน้นการพัฒนาที่มีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่มากขึ้น
ลักษณะสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก (More Local)
1. การสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและท้องถิ่น
– ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น แนวคิดนี้มุ่งเน้นการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจท้องถิ่นที่สามารถสร้างงานให้กับประชาชนในพื้นที่ และช่วยเพิ่มรายได้ให้กับคนในชุมชน การสนับสนุน SMEs สามารถทำได้โดยการจัดหาแหล่งทุน สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และส่งเสริมการตลาดและการเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง
– การสร้างความยั่งยืนในธุรกิจขนาดเล็กจะช่วยให้ท้องถิ่นมีความเข้มแข็งและสามารถแข่งขันกับภาคเศรษฐกิจใหญ่ได้
2. การสร้างงานในท้องถิ่นและการจ้างงานที่เป็นธรรม
– การพัฒนาเศรษฐกิจแบบ More Local จะเน้นการสร้างงานในพื้นที่ โดยให้ความสำคัญกับการสร้างโอกาสการจ้างงานที่เท่าเทียมและยุติธรรม เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้ที่เพียงพอและสามารถเลี้ยงชีพได้โดยไม่ต้องย้ายไปทำงานในเมืองใหญ่
– การสร้างงานในท้องถิ่นยังช่วยลดการพึ่งพาการอพยพของประชากร ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายประเทศเมื่อคนหนุ่มสาวออกจากท้องถิ่นเพื่อหางานในเมือง
3. การพัฒนาทรัพยากรท้องถิ่นและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
– การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานรากมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุดและอย่างยั่งยืน เช่น การพัฒนาภาคเกษตรกรรม การแปรรูปผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น หรือการพัฒนาการท่องเที่ยวในชุมชน
– แนวคิดนี้ยังเกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green economy) เพื่อให้ทรัพยากรธรรมชาติสามารถใช้งานได้อย่างยั่งยืนและไม่ส่งผลกระทบต่ออนาคต
4. การกระจายรายได้อย่างทั่วถึงและการลดความเหลื่อมล้ำ
– การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานรากจะเน้นที่การกระจายรายได้อย่างเท่าเทียมให้กับทุกกลุ่มประชากร โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางหรือกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยในพื้นที่ชนบท แนวทางนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้มากในประเทศที่การพัฒนาเศรษฐกิจไม่สมดุล
– การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น เช่น ระบบการขนส่ง การศึกษา และสาธารณสุข จะช่วยให้ประชาชนสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น
5. การส่งเสริมเศรษฐกิจพึ่งพาตนเอง (Self-Sufficiency Economy)
– More Local มักเชื่อมโยงกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง (sufficiency economy) ที่เน้นการพึ่งพาตนเองในระดับท้องถิ่น โดยลดการพึ่งพาทรัพยากรและการนำเข้าจากภายนอก เพื่อให้ชุมชนสามารถพัฒนาและยืนหยัดได้ด้วยตนเอง
– การพัฒนาระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีความเข้มแข็งสามารถลดความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน ทำให้ชุมชนและท้องถิ่นสามารถรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้ในระยะยาว
6. การสนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมในท้องถิ่น
– การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานรากไม่ได้หมายถึงการพัฒนาที่ล้าหลัง แต่หมายถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในภาคการผลิตและบริการในท้องถิ่น เช่น การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาสนับสนุนการค้าขายและการตลาดออนไลน์ หรือการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลผลิตทางเกษตรกรรม
– นวัตกรรมและเทคโนโลยีจะช่วยให้ท้องถิ่นสามารถแข่งขันกับเศรษฐกิจระดับโลกได้ โดยไม่สูญเสียเอกลักษณ์และทรัพยากรท้องถิ่น
ประโยชน์ของการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก
– เพิ่มความมั่นคงทางเศรษฐกิจในชุมชน: การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานรากช่วยให้ชุมชนมีรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น และลดการพึ่งพาภาคเศรษฐกิจขนาดใหญ่
– ลดการอพยพแรงงาน: เมื่อมีการสร้างงานและโอกาสในท้องถิ่น ประชาชนจะไม่จำเป็นต้องอพยพไปหางานทำในเมืองใหญ่ ทำให้ชุมชนมีความเข้มแข็งขึ้น
– เสริมสร้างศักยภาพท้องถิ่น: การสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนช่วยสร้างศักยภาพให้กับท้องถิ่นในการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาว
ความท้าทาย
– การเข้าถึงแหล่งทุนและการสนับสนุนจากภาครัฐ: ธุรกิจท้องถิ่นและชุมชนอาจมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งทุนและการสนับสนุนทางการเงิน ซึ่งต้องการความร่วมมือจากภาครัฐ
– การพัฒนาความรู้และทักษะในท้องถิ่น: การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานรากจำเป็นต้องเสริมสร้างทักษะและความรู้ให้กับประชาชนในท้องถิ่นเพื่อให้สามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน
การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานรากเป็นการวางรากฐานที่สำคัญสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนในทุกพื้นที่
”Inclusive Growth เป็นตัวอย่างหนึ่งของแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของไทย ไม่เน้นเพียงแค่การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่คำนึงถึงความยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ“
แนวทางเศรษฐศาสตร์พัฒนาแบบ “Inclusive Growth” หรือการเติบโตแบบมีส่วนร่วม คือแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นประโยชน์ต่อคนทุกกลุ่มในสังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้สูง กลุ่มคนรายได้น้อย หรือกลุ่มเปราะบาง แนวทางนี้มองว่าเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างแท้จริงจะต้องไม่เพียงแต่สร้างความมั่งคั่งให้กับสังคมโดยรวมเท่านั้น แต่จะต้องกระจายผลประโยชน์ไปถึงคนทุกกลุ่มได้อย่างเท่าเทียมและยุติธรรม
ลักษณะสำคัญของ Inclusive Growth
1. การกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ:
– Inclusive Growth มุ่งเน้นการกระจายรายได้และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียม ไม่ให้ความมั่งคั่งกระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มคนร่ำรวยหรือภาคเศรษฐกิจขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังต้องสร้างโอกาสให้กับกลุ่มประชากรที่มีรายได้น้อย กลุ่มเปราะบาง และชนบท
– การกระจายโอกาสในเชิงเศรษฐกิจนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมและเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนส่วนใหญ่ในประเทศ
2. การสร้างงานที่มีคุณภาพ:
– หนึ่งในเป้าหมายหลักของ Inclusive Growth คือการสร้างงานที่มีคุณภาพ ซึ่งรวมถึงงานที่มีรายได้เพียงพอ มีสวัสดิการ และมีความยั่งยืน งานที่มีคุณภาพจะช่วยให้ประชาชนมีรายได้ที่มั่นคงและสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้
– การพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของแรงงานผ่านการฝึกอบรมและการศึกษาเพื่อให้พวกเขาสามารถปรับตัวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเติบโตแบบ Inclusive Growth
3. การพัฒนาเศรษฐกิจในทุกภาคส่วน:
– Inclusive Growth มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจในทุกภาคส่วน ไม่เพียงแต่ภาคอุตสาหกรรมและบริการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภาคเกษตรกรรม ธุรกิจขนาดเล็ก และธุรกิจในท้องถิ่น เพื่อให้ทุกกลุ่มสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการเติบโตของเศรษฐกิจ
– การสนับสนุนภาคเกษตรกรรมและ SMEs ช่วยให้เศรษฐกิจมีความหลากหลายและมีเสถียรภาพมากขึ้น ลดการพึ่งพาภาคเศรษฐกิจขนาดใหญ่หรือการลงทุนจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว
4. การเข้าถึงบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ:
– Inclusive Growth เน้นการทำให้ทุกกลุ่มประชากรสามารถเข้าถึงบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ เช่น การศึกษา สาธารณสุข ระบบขนส่ง และการดูแลสังคม โดยเฉพาะกลุ่มประชากรที่มีรายได้น้อยหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล การเข้าถึงบริการเหล่านี้เป็นการเสริมสร้างศักยภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งจะช่วยให้พวกเขามีโอกาสทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
– บริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพยังช่วยสร้างความเท่าเทียมในสังคมและลดความเหลื่อมล้ำในระยะยาว
5. ความยั่งยืนและการพัฒนาในระยะยาว:
– Inclusive Growth ไม่เน้นเพียงแค่การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่คำนึงถึงความยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งหมายถึงการพัฒนาที่สามารถเติบโตต่อไปได้โดยไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการสร้างระบบเศรษฐกิจที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– การพัฒนาที่สมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตแบบ Inclusive Growth
ประโยชน์ของ Inclusive Growth
1. ลดความเหลื่อมล้ำ: Inclusive Growth มุ่งเน้นการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ โดยทำให้ทุกกลุ่มประชากรได้รับโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรและบริการทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น งานที่ดี การศึกษา และสาธารณสุข
2. เพิ่มความยั่งยืนของการเติบโตทางเศรษฐกิจ: เนื่องจากการเติบโตแบบมีส่วนร่วมมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของประชาชนทุกกลุ่ม จึงช่วยเสริมสร้างฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและยั่งยืนมากขึ้นในระยะยาว
3. เสริมสร้างความเข้มแข็งของท้องถิ่นและชนบท: Inclusive Growth ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ท้องถิ่นและชนบท ซึ่งจะช่วยให้ประเทศสามารถสร้างเศรษฐกิจที่หลากหลายและไม่กระจุกตัวในเมืองใหญ่เพียงอย่างเดียว
ความท้าทายของ Inclusive Growth
1. การบริหารจัดการ: การดำเนินนโยบาย Inclusive Growth ต้องอาศัยการบริหารจัดการที่ดีจากภาครัฐ รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินและทรัพยากรที่เพียงพอ เพื่อให้มั่นใจว่าการกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจะถึงทุกกลุ่มประชากรอย่างเท่าเทียม
2. การเพิ่มขีดความสามารถของแรงงาน: การพัฒนาศักยภาพของประชากรที่มีรายได้น้อยหรือกลุ่มเปราะบางอาจใช้เวลานาน ต้องอาศัยการพัฒนาทักษะผ่านการศึกษาและการฝึกอบรม ซึ่งจำเป็นต้องมีทรัพยากรและความร่วมมือจากหลายภาคส่วน
3. การขจัดความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง: Inclusive Growth ต้องจัดการกับความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียม เช่น การผูกขาดทางธุรกิจหรือการกระจุกตัวของทรัพยากรในมือของกลุ่มคนร่ำรวย การขจัดปัญหาเหล่านี้อาจเผชิญความท้าทายจากการต่อต้านจากกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ในโครงสร้างเดิม
ตัวอย่างของ Inclusive Growth
1. นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง: แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของไทยถือว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งของ Inclusive Growth ที่เน้นการพึ่งพาตนเองและการกระจายผลประโยชน์สู่ทุกกลุ่มประชากรในสังคม โดยการสร้างความยั่งยืนและความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนท้องถิ่น
2. โครงการการศึกษาสำหรับทุกคน: หลายประเทศได้พัฒนาโครงการการศึกษาเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม โครงการนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้กับกลุ่มประชากรที่มีรายได้น้อยในการได้รับการศึกษาที่ดี ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
Inclusive Growth เป็นแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการสร้างการเติบโตที่ทุกคนมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียม