โดย อัษฎางค์ ยมนาค
ประธานบอร์ด กับ ผู้ว่าการแบงค์ชาติ ใครใหญ่ใครอยู่?
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือเรียกว่า ประธานบอร์ด ซึ่งเป็นตำแหน่งที่แยกจาก ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย โดยทั้งสองตำแหน่งนี้มีหน้าที่และความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน และในกรณีนี้ นาย กิตติรัตน์ ณ ระนอง ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานบอร์ดของธปท. ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดในคณะกรรมการธปท. แต่ไม่ใช่ตำแหน่งผู้ว่าการ
เปรียบเทียบบทบาทและอำนาจระหว่างประธานบอร์ดและผู้ว่าการ:
1. ประธานบอร์ด (Chairman of the Board)
• บทบาท: ประธานบอร์ดเป็นผู้ควบคุมและกำกับดูแลนโยบายสำคัญในระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทย ผ่านการกำหนดทิศทางนโยบาย การอนุมัตินโยบายที่สำคัญ และการควบคุมดูแลการดำเนินงานของธปท. อย่างครอบคลุม
• อำนาจ: ประธานบอร์ดมีอำนาจในด้านการกำหนดและอนุมัติแนวทางการทำงาน แต่การบริหารจัดการและการดำเนินงานประจำจะขึ้นอยู่กับผู้ว่าการเป็นหลัก ประธานบอร์ดมีอำนาจในการกำกับดูแลผู้ว่าการในระดับนโยบาย แต่ไม่ลงไปบริหารโดยตรง
2. ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (Governor of the Bank of Thailand)
• บทบาท: ผู้ว่าการธปท. เป็นผู้นำด้านการบริหารจัดการและเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทยในชีวิตประจำวัน โดยทำหน้าที่ปฏิบัติตามนโยบายที่กำหนดโดยคณะกรรมการ และเป็นผู้กำหนดนโยบายการเงินต่าง ๆ ภายใต้กรอบที่กำหนดไว้
• อำนาจ: ผู้ว่าการมีอำนาจในการบริหารจัดการและการดำเนินงานอย่างเต็มที่ในด้านการเงิน การดูแลอัตราเงินเฟ้อ การรักษาเสถียรภาพทางการเงิน และการกำกับดูแลสถาบันการเงิน โดยจะรายงานต่อคณะกรรมการ ซึ่งประธานบอร์ดมีส่วนในการควบคุมดูแล
ใครมีอำนาจมากกว่ากัน?
โดยทั่วไป ประธานบอร์ด มีอำนาจในการกำหนดทิศทางและนโยบายในระดับสูง ขณะที่ ผู้ว่าการ มีอำนาจในการบริหารจัดการและดำเนินการตามนโยบายที่ได้รับอนุมัติแล้ว ดังนั้น ประธานบอร์ดมีบทบาทเชิงควบคุมและกำกับดูแลนโยบาย ขณะที่ผู้ว่าการมีบทบาทในการบริหารจัดการในระดับปฏิบัติ
โครงสร้างของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงค์ชาติ) มีการจัดตั้งโครงสร้างการทำงานที่ประกอบด้วยหลายระดับ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ทำหน้าที่ควบคุมและดำเนินนโยบายทางการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทย
โครงสร้างหลักของธนาคารแห่งประเทศไทยประกอบด้วย:
1. คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย:
• เป็นคณะกรรมการระดับสูงสุดที่มีหน้าที่กำกับดูแลและกำหนดนโยบายสำคัญของธนาคารแห่งประเทศไทย สมาชิกคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยประกอบด้วย ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และกรรมการอื่น ๆ ที่ได้รับการแต่งตั้ง ซึ่งมักประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากสาขาต่าง ๆ เช่น การเงิน การธนาคาร และเศรษฐศาสตร์
2. ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย:
• ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยทำหน้าที่เป็นผู้นำและรับผิดชอบโดยตรงต่อการบริหารงานของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงการดำเนินนโยบายทางการเงิน การดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และการประสานงานกับหน่วยงานภายนอก
3. คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.):
•กนง. มีหน้าที่กำหนดและทบทวนนโยบายการเงิน เช่น อัตราดอกเบี้ยและการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
4. คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.):
• กนส. มีหน้าที่กำหนดและควบคุมการดำเนินงานของสถาบันการเงินในประเทศ เช่น ธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้มั่นใจว่ามีการบริหารจัดการที่ปลอดภัยและมั่นคง
5.คณะกรรมการนโยบายระบบการชำระเงิน (กรช.):
• มีหน้าที่ควบคุมและพัฒนาระบบการชำระเงินให้มีประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และทันสมัย เพื่อรองรับการใช้จ่ายและการทำธุรกรรมทางการเงินในระบบเศรษฐกิจ
6. หน่วยงานต่าง ๆ ภายในธนาคารแห่งประเทศไทย:
• ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีแผนกและหน่วยงานต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่เฉพาะด้าน เช่น ฝ่ายนโยบายการเงิน ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายพัฒนาระบบการชำระเงิน และฝ่ายกำกับดูแลสถาบันการเงิน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในส่วนต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ
โดยรวมแล้ว โครงสร้างของธนาคารแห่งประเทศไทยถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถตอบสนองและบริหารจัดการทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจและสังคมในประเทศไทย
นาย กิตติรัตน์ ณ ระนอง เคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในช่วงรัฐบาลของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
มีการบริหารงานที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องการกำหนดนโยบายทางการเงินและเศรษฐกิจ ต่อไปนี้เป็นบางประเด็นที่ถูกวิจารณ์:
1. นโยบายประชานิยมและการจำนำข้าว
• หนึ่งในนโยบายที่ถูกวิพากษ์มากที่สุดคือ โครงการจำนำข้าว ซึ่งเป็นนโยบายประชานิยมที่สนับสนุนราคาข้าวให้สูงกว่าตลาดโลก โดยรัฐบาลรับซื้อข้าวจากชาวนาในราคาที่สูงเกินจริง เพื่อช่วยเหลือชาวนาและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก เนื่องจากราคาข้าวที่รัฐบาลตั้งไว้ไม่สอดคล้องกับตลาดโลก ทำให้เกิดการขาดทุนและเป็นภาระงบประมาณ ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการบริหารจัดการที่ขาดความรอบคอบและไม่ยั่งยืน
2. การจัดการนโยบายด้านการคลัง (นโยบายขาดดุล)
• นายกิตติรัตน์เคยประกาศแนวคิด “ขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ” (Deficit Spending) ซึ่งเป็นการใช้งบประมาณขาดดุลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นเศรษฐกิจ การที่รัฐบาลขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นเป็นแนวคิดที่ถูกนำมาใช้ในหลายประเทศ แต่ก็มีการวิจารณ์ว่าอาจเพิ่มภาระหนี้สินของรัฐบาลและทำให้การเงินประเทศไม่มั่นคงในระยะยาว หากไม่ได้รับการจัดการที่ดี ซึ่งในช่วงนั้น หนี้สาธารณะของไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดความกังวลต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศในอนาคต .
3. กรณีการกล่าวถึง “White Lies”
• นายกิตติรัตน์เคยถูกวิจารณ์อย่างหนักในประเด็นที่กล่าวว่า ตัวเลขคาดการณ์การส่งออกของประเทศเป็น “White Lies” (การโกหกสีขาว) ซึ่งหมายถึงการบอกตัวเลขส่งออกที่สูงกว่าความเป็นจริง เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนและตลาด แม้ว่าการกระทำนี้จะทำเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการไม่โปร่งใสและไม่ซื่อสัตย์ ซึ่งอาจทำให้เสียความเชื่อมั่นของนักลงทุนและประชาชน และทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในเรื่องข้อมูลเศรษฐกิจ .
4. โครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
• ในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง รัฐบาลได้มีแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการบริหารจัดการน้ำ ฯลฯ โดยใช้งบประมาณที่สูงมาก แต่อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับความโปร่งใสและประสิทธิภาพของการจัดการงบประมาณที่ใช้ในโครงการเหล่านี้ หลายโครงการถูกตั้งคำถามว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่ และจะสามารถสร้างรายได้หรือช่วยพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาวได้จริงหรือไม่
การบริหารงานของนายกิตติรัตน์ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องความไม่โปร่งใสและความรอบคอบของนโยบาย โดยเฉพาะโครงการประชานิยมอย่างการจำนำข้าว การใช้งบประมาณขาดดุล และการแถลงข้อมูลเศรษฐกิจที่ไม่ตรงกับความจริง นโยบายเหล่านี้ก่อให้เกิดภาระงบประมาณและส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศในช่วงเวลานั้น