โดย อัษฎางค์ ยมนาค
ประชานิยม + การแทรกแซงธนาคารกลาง = หายนะ
เมื่อฝ่ายการเมืองคิดจะใช้นโยบายประชานิยม สิ่งที่ตามมาคือความพยายามในการแทรกแซงธนาคารกลาง และจะจบลงด้วยความหายนะของประเทศชาติ
นโยบายประชานิยม ด้วยการแจกเงินของพรรคแกนนำรัฐบาลโดยทั่วไป ไม่ได้เป็นเพียงมาตรการทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่ใช้สร้างความนิยมและรักษาฐานเสียง
ซึ่งมักดำเนินการโดยอาจใช้เงินภาษีของประชาชน เงินงบประมาณ หรือแม้กระทั่งการกู้ยืมเงินในนามของรัฐบาลเพื่อสนับสนุนโครงการที่ดึงดูดใจประชาชนในระยะสั้น
ตัวอย่างนโยบายเช่นนี้ ได้แก่ การแจกเงินสด การอุดหนุนสินค้าพื้นฐาน การลดราคาสินค้าหรือบริการเฉพาะช่วงเวลา หรือการสร้างสวัสดิการโดยไม่คำนึงถึงความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ
การใช้งบประมาณในลักษณะดังกล่าวอาจไม่สอดคล้องกับมาตรการของธนาคารกลาง และอาจเกิดผลกระทบในหลายด้าน ดังนี้:
1. การขัดแย้งกับนโยบายการเงินของธนาคารกลาง
ธนาคารกลางมีบทบาทในการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน เช่น การควบคุมอัตราเงินเฟ้อ การดูแลอัตราดอกเบี้ย และการรักษาเสถียรภาพค่าเงิน เมื่อรัฐบาลดำเนินนโยบายที่เน้นการกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น การแจกเงินหรือการเพิ่มรายจ่ายในโครงการที่ไม่ได้ช่วยกระตุ้นการเติบโตในระยะยาว จะทำให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งขัดแย้งกับเป้าหมายของธนาคารกลางในการควบคุมเงินเฟ้อในระดับที่เหมาะสม
2. ภาระหนี้สาธารณะและการเงินการคลังของประเทศ
การใช้นโยบายประชานิยมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นอาจนำไปสู่การกู้ยืมเงินเพิ่มเติมหรือการใช้เงินสำรองที่มีอยู่ ซึ่งทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น เมื่อภาระหนี้เพิ่มขึ้น รัฐบาลจะต้องจ่ายดอกเบี้ยและชำระหนี้ที่สูงขึ้นในอนาคต ซึ่งจะเป็นภาระทางการคลังที่อาจต้องใช้เวลาหลายปีในการฟื้นฟู และหากเศรษฐกิจชะลอตัว ภาษีที่เก็บได้จะน้อยลง ทำให้ยิ่งยากต่อการชำระหนี้
3. การเบี่ยงเบนการใช้ทรัพยากรของประเทศ
การลงทุนของรัฐในโครงการประชานิยมอาจไม่ก่อให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะเงินถูกใช้ในด้านที่สร้างผลประโยชน์ทันทีแต่ไม่มีความยั่งยืน เช่น การแจกเงินสดหรือสินค้าราคาถูก โดยไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจจริง เช่น โครงสร้างพื้นฐานหรือการพัฒนานวัตกรรม ทำให้โอกาสที่ประเทศจะพัฒนาและมีเสถียรภาพในอนาคตลดลง
4. ผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
การใช้งบประมาณโดยไม่ระมัดระวังและไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของธนาคารกลาง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น ภาวะเงินเฟ้อสูงอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินอ่อนตัว และอาจทำให้สถาบันการเงินมีความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ส่งผลให้เกิดฟองสบู่ในสินทรัพย์หรือหนี้เสีย (NPL) สูงขึ้นได้
5. ลดความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ
นโยบายประชานิยมที่ขาดความโปร่งใสและไม่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว อาจทำให้ต่างประเทศขาดความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศ เพราะเห็นว่ารัฐบาลมุ่งเน้นผลประโยชน์ระยะสั้นมากกว่าความมั่นคงในระยะยาว ซึ่งทำให้เงินทุนไหลออกและค่าเงินอ่อนค่าลงได้
การใช้งบประมาณของรัฐเพื่อสนับสนุนนโยบายประชานิยมเพื่อหวังซื้อเสียงโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบระยะยาวและไม่สอดคล้องกับมาตรการของธนาคารกลาง อาจทำให้เศรษฐกิจของประเทศเข้าสู่ภาวะเสี่ยงและยากต่อการฟื้นฟูในอนาคต นอกจากนี้ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของทั้งประชาชนและนักลงทุนที่มีต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
เมื่อฝ่ายการเมืองคิดจะใช้นโยบายประชานิยม สิ่งที่ตามมาคือการแทรกแซงธนาคารกลาง
หากธนาคารกลางถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง อาจส่งผลกระทบในหลายด้านที่เป็นอันตรายต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว ดังนี้:
1. ความเชื่อมั่นลดลงจากต่างประเทศ
นักลงทุนและผู้ให้กู้ต่างประเทศอาจขาดความมั่นใจในเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ เพราะการแทรกแซงหมายความว่าธนาคารกลางอาจไม่สามารถดำเนินนโยบายการเงินได้อย่างเป็นอิสระหรือโปร่งใส ดังนั้น อาจทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออกและค่าเงินอ่อนลง ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในเศรษฐกิจและลดการลงทุนใหม่ ๆ ในประเทศ
2. นโยบายที่มุ่งเน้นผลระยะสั้น
ธนาคารกลางที่ถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองอาจถูกบังคับให้ใช้นโยบายการเงินที่ตอบสนองผลประโยชน์ทางการเมือง เช่น การลดดอกเบี้ยหรือเพิ่มการพิมพ์เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อสูง การขาดดุลการค้าหรือการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
3. การสูญเสียความน่าเชื่อถือและเสถียรภาพทางการเงิน
เมื่อธนาคารกลางขาดความอิสระ การตัดสินใจทางนโยบายการเงินอาจไม่ถูกกำหนดโดยหลักเศรษฐศาสตร์และข้อมูลเชิงลึก แต่ถูกควบคุมโดยความต้องการทางการเมือง สิ่งนี้จะส่งผลให้ธนาคารกลางไม่สามารถรักษาเสถียรภาพด้านราคาและค่าเงิน ซึ่งจะกระทบความเชื่อมั่นต่อเงินสกุลของประเทศและอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเงิน
4. ความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง (Hyperinflation)
หากธนาคารกลางถูกบังคับให้พิมพ์เงินเพื่อรองรับนโยบายรัฐบาลหรือสนับสนุนการใช้จ่ายของรัฐบาลเกินกว่าเงินที่มีอยู่จริง จะส่งผลให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเกิดเงินเฟ้อที่สูงขึ้น จนอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพและอำนาจซื้อของประชาชน
5. ขาดการควบคุมเสถียรภาพในระบบการเงิน
ธนาคารกลางที่ถูกแทรกแซงจากการเมืองอาจไม่สามารถใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในการควบคุมเสถียรภาพในระบบการเงิน เช่น การควบคุมสินเชื่อหรือการกำกับดูแลสถาบันการเงิน ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดฟองสบู่ในสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น ตลาดหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์
6. ความเสี่ยงต่อการเกิดหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น
หากรัฐบาลแทรกแซงธนาคารกลางและบังคับให้ใช้นโยบายการเงินที่เอื้อต่อการกู้ยืมเงินเพื่อสนับสนุนการใช้จ่ายภาครัฐเกินจำเป็น จะส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และหากหนี้สาธารณะมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะชำระหนี้ได้ในระยะยาว จะเกิดภาวะความเสี่ยงทางการเงินที่อาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ (default) ได้
7. ผลกระทบต่อระบบธนาคารพาณิชย์
การที่ธนาคารกลางถูกบังคับให้ใช้นโยบายการเงินที่ไม่เหมาะสม เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อเร่งการปล่อยสินเชื่อ จะเพิ่มความเสี่ยงที่ธนาคารพาณิชย์จะปล่อยสินเชื่อโดยไม่ระมัดระวัง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาหนี้เสีย (NPL) ในระบบธนาคาร เมื่อหนี้เสียสูงขึ้น ธนาคารพาณิชย์จะมีเสถียรภาพลดลงและอาจต้องการการสนับสนุนจากรัฐ ส่งผลให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณเพื่อช่วยเหลือธนาคาร ทำให้การเงินภาครัฐเสี่ยงต่อการขาดดุลและการสูญเสียความน่าเชื่อถือ
8. ความอ่อนแอในด้านนโยบายการเงิน
เมื่อธนาคารกลางถูกจำกัดความสามารถในการกำหนดนโยบายการเงินที่เหมาะสม ธนาคารกลางอาจขาดเครื่องมือในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่คาดคิด เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือวิกฤตการณ์ทางการเงิน ทำให้ไม่มีความสามารถในการรักษาความสมดุลของอัตราแลกเปลี่ยนหรือดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจเสี่ยงต่อความไม่แน่นอนและอาจฟื้นตัวได้ยากขึ้น
9. ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในระบบการเงิน
เมื่อประชาชนเห็นว่าธนาคารกลางถูกแทรกแซงจากการเมือง ความเชื่อมั่นในระบบการเงินจะลดลง และอาจเกิดภาวะการถอนเงินหรือการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากประเทศ (Capital Flight) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในระบบการเงิน การขาดแคลนสภาพคล่องในระบบการเงินอาจนำไปสู่ปัญหาต่อเนื่อง เช่น ธนาคารพาณิชย์ไม่มีเงินสดเพียงพอที่จะรองรับการถอนเงินจำนวนมากจากประชาชน
10. บั่นทอนอำนาจทางเศรษฐกิจในระยะยาว
หากธนาคารกลางไม่มีอิสระในการกำหนดนโยบายการเงิน ประเทศจะขาดเครื่องมือในการวางแผนเศรษฐกิจระยะยาว นโยบายเศรษฐกิจอาจจะมุ่งเน้นแต่ผลประโยชน์ระยะสั้นซึ่งมีผลต่อภาพรวมในระยะยาว เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนในนวัตกรรม และการเตรียมตัวสู่ความท้าทายในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีหรือสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นผลให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลงในเวทีโลก
การแทรกแซงธนาคารกลางไม่เพียงแต่ทำลายความเชื่อมั่นในระบบการเงินและเศรษฐกิจ แต่ยังบั่นทอนการพัฒนาทางเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศอีกด้วย
ดังนั้น การแทรกแซงธนาคารกลางจากฝ่ายการเมืองจะทำให้ธนาคารกลางไม่สามารถรักษาความเป็นอิสระและบทบาทในการควบคุมเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาวได้ เศรษฐกิจจะเสี่ยงต่อการเสียหายจากนโยบายระยะสั้นที่มุ่งหวังผลทางการเมืองมากกว่าผลประโยชน์ของประเทศในภาพรวม