โดย อัษฎางค์ ยมนาค
รัฐศาสตร์ 101 การเมืองการปกครอง:
ระบบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์หรือประธานาธิบดีเป็นประมุข แบบไหนดีกว่ากัน?
อยากรู้คำตอบต้องอ่านให้จบ เพื่อใช้ข้อมูลเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจ
ลักษณะของการปกครองแบบมีประธานาธิบดีเป็นประมุข
1. ระบบประธานาธิบดี (เช่น สหรัฐอเมริกา):
• ประธานาธิบดี มีอำนาจสูงสุดในฐานะทั้งหัวหน้ารัฐบาลและผู้นำประเทศ (Head of State และ Head of Government)
• สามารถตัดสินใจในหลายเรื่องได้โดยตรง เช่น การออกกฎหมายบางส่วน การลงนามในสนธิสัญญา การแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุด ฯลฯ
2. ระบบกึ่งประธานาธิบดี (เช่น ฝรั่งเศส):
• ประธานาธิบดีมีอำนาจสูง แต่ต้องแบ่งอำนาจบางส่วนกับนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบงานด้านการบริหาร
• ประธานาธิบดีมักจะดูแลด้านการต่างประเทศและความมั่นคง ขณะที่นายกรัฐมนตรีดูแลการบริหารงานภายในประเทศ
3. ระบบรัฐสภา:
• ในบางประเทศที่ใช้ระบบรัฐสภา ประธานาธิบดีจะเป็นเพียงสัญลักษณ์ของประเทศ (Ceremonial Role) ซึ่งมีบทบาทเป็นตัวแทนในการต่างประเทศ แต่ไม่มีอำนาจบริหารที่แท้จริง อำนาจบริหารจะอยู่ที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ได้แก่เยอรมนี อิตาลี กรีซ ออสเตรีย ฮังการี โปรตุเกส ไอร์แลนด์ เป็นต้น
ลักษณะของการปกครองแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ในสหราชอาณาจักรและหลายประเทศในยุโรปที่มีพระมหากษัตริย์ ระบบการปกครองเป็นแบบ ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ซึ่งหมายความว่าพระมหากษัตริย์มีบทบาทเชิงสัญลักษณ์และไม่มีอำนาจในการบริหารรัฐบาลโดยตรง โดยมีการแบ่งบทบาทระหว่างพระมหากษัตริย์และนายกรัฐมนตรีอย่างชัดเจน ดังนี้:
1. บทบาทของพระมหากษัตริย์:
• พระมหากษัตริย์เป็น ประมุขแห่งรัฐ (Head of State) และมีหน้าที่เชิงสัญลักษณ์ในการเป็นตัวแทนของประเทศ ทั้งภายในและต่างประเทศ เช่น การต้อนรับผู้นำต่างชาติ การเสด็จร่วมพิธีสำคัญ และการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์
• พระมหากษัตริย์มีบทบาทเชิงพิธีการในบางกรณี เช่น การลงพระปรมาภิไธยในกฎหมายที่ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภา การประกาศเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นขั้นตอนเชิงสัญลักษณ์มากกว่าการตัดสินใจด้วยตนเอง
• ในหลายประเทศ พระมหากษัตริย์จะอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและไม่มีอำนาจในการตัดสินใจหรือแทรกแซงการเมือง เนื่องจากการใช้อำนาจทางการเมืองจะเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
2. บทบาทของนายกรัฐมนตรี:
• นายกรัฐมนตรี เป็น หัวหน้ารัฐบาล (Head of Government) ซึ่งมีอำนาจและความรับผิดชอบในการบริหารประเทศ เช่น การกำหนดนโยบาย ออกกฎหมาย บริหารงานของรัฐบาล และดูแลด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการต่างประเทศ
• นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจะได้รับการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งจากสมาชิกสภาที่มีเสียงข้างมาก ซึ่งหมายความว่าพวกเขาเป็นตัวแทนของประชาชนและเป็นผู้บริหารที่แท้จริงของประเทศ
พระมหากษัตริย์มีบทบาทเป็น หัวหน้าของรัฐ เชิงสัญลักษณ์ แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการบริหารและการเมือง ขณะที่ นายกรัฐมนตรี มีบทบาทเป็นผู้นำรัฐบาลและมีอำนาจในการกำหนดนโยบายและการบริหารประเทศ
จะเห็นได้ว่าการปกครองในระบอบรัฐสภาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีลักษณะบทบาทและอำนาจทางการเมืองและการบริหารใกล้เคียงกับการปกครองระบอบรัฐสภาที่มีประธานาธิบดี
การเปรียบเทียบบทบาทของ พระมหากษัตริย์ กับประธานาธิบดี ในระบบรัฐสภาแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในด้านอำนาจและบทบาทหน้าที่ ดังนี้:
1. การได้มาของตำแหน่ง
• พระมหากษัตริย์: สืบทอดตามสายพระโลหิตในราชวงศ์
• ประธานาธิบดี: ด้รับการเลือกตั้งโดยประชาชนหรือ
รัฐสภา
2. อำนาจในการบริหาร
• ทั้งพระมหากษัตริย์และประธานาธิบดี: ไม่มีบทบาทในการบริหารรัฐบาล บทบาทส่วนใหญ่เป็นเชิงพิธีการและสัญลักษณ์ของรัฐ และเป็นเพียงสัญลักษณ์ของความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ
3. อำนาจในการตรวจสอบรัฐบาล
• ทั้งพระมหากษัตริย์และประธานาธิบดี: ไม่มีอำนาจในการตรวจสอบรัฐบาลโดยตรง แต่สามารถแต่งตั้งและปลดนายกรัฐมนตรีตามมติของรัฐสภา
4. หน้าที่เชิงพิธีการ
• ทั้งพระมหากษัตริย์และประธานาธิบดี: ทำพิธีสำคัญของรัฐ เช่น การเปิดสภาลงพระปรมาภิไธยในกฎหมาย การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี การรับรองกฎหมาย การเป็นประธานในพิธีสำคัญ และต้อนรับผู้นำต่างประเทศ
5. สัญลักษณ์ของประเทศ
• พระมหากษัตริย์: เป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน
• ประธานาธิบดี: เป็นสัญลักษณ์ของประเทศที่มาจากการเลือกตั้ง
6. ความต่อเนื่อง
• พระมหากษัตริย์: ดำรงตำแหน่งอย่างต่อเนื่องตลอดพระชนม์ชีพหรือตามราชวงศ์ ทำให้ประเทศมีเสถียรภาพ
• ประธานาธิบดี: มีวาระการดำรงตำแหน่งชัดเจนและจำกัดตามรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อหมดวาระ
จะเห็นได้ว่า ระบอบพระมหากษัตริย์และประธานาธิบดีแบบรัฐสภา มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องอำนาจทางการเมืองและการบริหาร
โดยส่วนใหญ่บทบาทของพวกเขาเน้นในเชิงพิธีการและการเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ มากกว่าการมีอำนาจควบคุมการดำเนินงานของรัฐบาล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวคิดของการแยกอำนาจและการรักษาสมดุลในระบบการเมืองระหว่างประมุขของรัฐกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ความคล้ายคลึงกันระหว่างพระมหากษัตริย์และประธานาธิบดีในระบบรัฐสภา
1. บทบาทเชิงพิธีการและสัญลักษณ์ของประเทศ:
• ทั้งพระมหากษัตริย์และประธานาธิบดีในระบบรัฐสภามีหน้าที่เชิงสัญลักษณ์ เช่น การเปิดประชุมสภา การลงนามหรือรับรองกฎหมาย การต้อนรับผู้นำต่างประเทศ และการเข้าร่วมพิธีสำคัญของรัฐ
• บทบาทเชิงพิธีการเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความเป็นหนึ่งเดียวและสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเมือง
2. ความเป็นกลางทางการเมือง:
• ทั้งสองไม่มีบทบาทในทางการเมืองโดยตรง และต้องรักษาความเป็นกลาง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการบริหารหรือการตัดสินใจทางการเมือง ซึ่งทำให้เกิดเสถียรภาพและลดความขัดแย้งทางการเมือง
• การที่พระมหากษัตริย์และประธานาธิบดีในระบบรัฐสภามีอำนาจจำกัดและเป็นกลาง ช่วยให้การปกครองดำเนินไปอย่างราบรื่น และประชาชนสามารถไว้วางใจในระบบได้
3. อำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและยุบสภา (ขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญ):
• พระมหากษัตริย์และประธานาธิบดีในระบบรัฐสภาสามารถแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามมติของสภาผู้แทนราษฎร ในบางกรณีอาจมีอำนาจยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่การใช้อำนาจนี้ต้องเป็นไปตามกฎหมายหรือข้อแนะนำจากนายกรัฐมนตรี
• อำนาจนี้มักจะเป็นไปในเชิงพิธีการ และจะใช้อำนาจเฉพาะกรณีที่จำเป็นเท่านั้น
4. ความต่อเนื่องและเสถียรภาพในระบบการเมือง:
• พระมหากษัตริย์และประธานาธิบดีทำให้เกิดความต่อเนื่องในระบบการเมืองในฐานะประมุขของรัฐ แม้ว่าจะไม่มีอำนาจในการกำหนดนโยบาย แต่การมีตำแหน่งเหล่านี้ทำให้ระบบการเมืองมั่นคง และเสถียรภาพที่ได้รับความเคารพจากประชาชน
พระมหากษัตริย์และประธานาธิบดีในระบบรัฐสภามีบทบาทและอำนาจที่คล้ายคลึงกัน คือ เป็นประมุขของรัฐที่มีอำนาจจำกัดในทางการเมืองและการบริหาร โดยทั้งสองมีบทบาทสำคัญในเชิงสัญลักษณ์และการเสริมสร้างความสามัคคีในสังคม ขณะที่การบริหารงานในระดับปฏิบัติจะเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล
ระบอบพระมหากษัตริย์และประธานาธิบดีแบบรัฐสภา แบบไหนดีกว่ากัน?
การพิจารณาว่าระบอบพระมหากษัตริย์แบบรัฐสภาหรือระบอบประธานาธิบดีแบบรัฐสภา “ดีกว่า” ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละประเทศ เช่น ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม สังคม และความต้องการทางการเมืองของประชาชน ซึ่งทั้งสองระบอบมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป:
ข้อดีและข้อเสียของระบอบพระมหากษัตริย์แบบรัฐสภา
ข้อดี:
1. เสถียรภาพทางสังคมและการเมือง: พระมหากษัตริย์มักเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเอกลักษณ์และความต่อเนื่อง ทำให้ประเทศมีเสถียรภาพและความมั่นคงทางจิตใจแก่ประชาชน
2. ความเป็นกลางทางการเมือง: พระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศโดยตรง ซึ่งช่วยลดความขัดแย้งทางการเมือง
3. การรักษาประเพณีและวัฒนธรรม: การมีพระมหากษัตริย์ช่วยเสริมสร้างความต่อเนื่องของประเพณีและค่านิยมดั้งเดิมของประเทศ
ข้อเสีย:
1. การสืบทอดตำแหน่งตามสายเลือด: พระมหากษัตริย์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งอาจทำให้ขาดความชอบธรรมในสายตาของบางกลุ่มที่ต้องการระบบที่ประชาชนมีสิทธิมากกว่า
2. ค่าใช้จ่ายในการรักษาสถาบัน: การดูแลและบำรุงรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์อาจมีค่าใช้จ่ายสูง
3. บทบาทจำกัดในการแทรกแซงสถานการณ์ฉุกเฉิน: พระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจในการแทรกแซงการบริหาร ทำให้ขาดความยืดหยุ่นในบางสถานการณ์ที่ต้องการผู้นำ
ข้อดีและข้อเสียของระบอบประธานาธิบดีแบบรัฐสภา
ข้อดี:
1. ความเป็นประชาธิปไตยและชอบธรรมจากการเลือกตั้ง: ประธานาธิบดีในระบบรัฐสภามาจากการเลือกตั้ง ซึ่งสะท้อนความชอบธรรมและการสนับสนุนจากประชาชนโดยตรง
2. ความยืดหยุ่นและการเปลี่ยนแปลงที่แน่นอน: ประธานาธิบดีมีวาระการดำรงตำแหน่งชัดเจน ทำให้เกิดการหมุนเวียนอำนาจและเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เลือกประมุขใหม่เมื่อครบวาระ
3. บทบาทสำคัญในสถานการณ์พิเศษ: ประธานาธิบดีสามารถมีบทบาทสำคัญในสถานการณ์ที่ต้องการผู้นำเชิงสัญลักษณ์ที่มีความชอบธรรมในการแทรกแซงสถานการณ์ที่จำเป็น
ข้อเสีย:
1. ความขัดแย้งจากการเลือกตั้ง: การเลือกตั้งประธานาธิบดีอาจสร้างความขัดแย้งและความแตกแยกทางการเมือง เนื่องจากแต่ละฝ่ายต้องการมีอิทธิพลในการเลือกประธานาธิบดี
2. ความต่อเนื่องและเสถียรภาพที่น้อยกว่า: การมีวาระจำกัดอาจทำให้การบริหารงานไม่ต่อเนื่องและอาจสร้างความไม่มั่นคงในระบบการเมือง
3. ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งและการบริหารงาน: การจัดเลือกตั้งประธานาธิบดีต้องใช้ทรัพยากรมาก และการบริหารจัดการในระบบประชาธิปไตยอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า
สรุป
• ระบอบพระมหากษัตริย์แบบรัฐสภา: เหมาะสำหรับประเทศที่ให้ความสำคัญกับความต่อเนื่องและเสถียรภาพทางวัฒนธรรมและการเมือง อีกทั้งยังลดความขัดแย้งภายในเนื่องจากไม่มีการเลือกตั้งประมุขของรัฐ
• ระบอบประธานาธิบดีแบบรัฐสภา: เหมาะสำหรับประเทศที่ให้ความสำคัญกับการมีประมุขที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งสะท้อนเสียงประชาชนได้โดยตรง และสามารถเปลี่ยนประมุขได้ตามวาระ
ทั้งสองระบบมีความดีและข้อจำกัดในตัวเอง ขึ้นอยู่กับว่าประเทศนั้น ๆ ต้องการเสถียรภาพ ความเป็นกลาง หรือความชอบธรรมและความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนแปลง
สิงคโปร์
ปกครองแบบรัฐสภาโดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข ที่แตกแตกต่างออกไป ไม่เหมือนที่กล่าวไปแล้ว เนื่องจากบทบาทและอำนาจของประธานาธิบดีในสิงคโปร์มีความพิเศษและแตกต่างจากระบบประธานาธิบดีแบบรัฐสภาทั่วไป
สิงคโปร์ มีระบบการปกครองที่เรียกว่าประธานาธิบดีในระบบรัฐสภา (Parliamentary Republic) ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว ไม่เหมือนกับประเทศใด ๆ โดยตรง
ในระบบของสิงคโปร์ ประธานาธิบดีมีบทบาททั้งในเชิงสัญลักษณ์ และด้วยความที่ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ทำให้มีความชอบธรรมในแง่ของการเป็นตัวแทนประชาชน ในการมีบทบาทที่สำคัญในบางด้าน เช่น อำนาจในการตรวจสอบและยับยั้งการใช้เงินทุนสำรองของประเทศ และการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคน ซึ่งทำให้มีบทบาทการตรวจสอบรัฐบาลในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่มีอำนาจบริหารโดยตรง สิ่งนี้ทำให้ประธานาธิบดีของสิงคโปร์มีบทบาทในการกำกับดูแลที่สำคัญกว่าประธานาธิบดีในระบบประธานาธิบดีแบบรัฐสภาทั่วไป
สิงคโปร์จึงมีลักษณะเฉพาะตัวในด้านการให้ประธานาธิบดีมีบทบาทที่ค่อนข้างกว้างกว่าประธานาธิบดีในระบบรัฐสภาทั่วไป แต่ไม่ได้มีอำนาจเทียบเท่าประธานาธิบดีในระบบ
ประธานาธิบดีเต็มตัว (เช่น สหรัฐฯ หรือฟิลิปปินส์)
โดยประธานาธิบดีในสิงคโปร์เป็นเสมือนผู้ตรวจสอบ ที่มาจากการเลือกตั้ง มีอำนาจในการควบคุมการใช้เงินทุนสำรอง และการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ระดับ สูง ซึ่งช่วยรักษาเสถียรภาพและความโปร่งใสใน
แม้สิงคโปร์จะมีประธานาธิบดีในระบบรัฐสภา ไม่ได้เป็นระบบประธานาธิบดีแบบรัฐสภาโดยสมบูรณ์ แต่เป็นระบบผสมที่มีโครงสร้างเฉพาะตัว
จีน จะเป็นอีกอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ระบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ของจีนมีลักษณะเฉพาะที่ต่างจากระบบประชาธิปไตยแบบตะวันตกและระบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญในหลายประเทศ โดยจีนมีโครงสร้างการปกครองที่เรียกว่า ระบบพรรคเดียว ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของ พรรคคอมมิวนิสต์จีน (Chinese Communist Party: CCP) ที่มีบทบาทและอำนาจเหนือทุกหน่วยงานของรัฐบาลและสังคมทั้งหมด
ลักษณะเฉพาะของระบบคอมมิวนิสต์จีน
1. การปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ (One-Party Rule):
•พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นพรรคการเมืองเดียวที่มีอำนาจในการปกครองประเทศ และไม่มีการอนุญาตให้มีกลุ่มการเมืองอื่นใดขึ้นมาเป็นคู่แข่ง
• โครงสร้างการเมืองของจีนจะรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งมักจะเป็น ประธานาธิบดี ด้วย และคณะกรรมการกลางของพรรคที่ควบคุมนโยบายทั้งหมดของประเทศ
2.การรวมศูนย์อำนาจ (Centralized Power):
• จีนมีการรวมศูนย์อำนาจสูงสุดที่อยู่ในมือของผู้นำพรรค โดยตำแหน่งสำคัญเช่น ประธานาธิบดี เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ และ ประธานคณะกรรมาธิการทหารกลาง มักจะอยู่ในมือบุคคลเดียวกัน ทำให้ผู้นำมีอำนาจควบคุมทั้งด้านการเมือง การทหาร และการบริหาร
• คณะกรรมาธิการต่าง ๆ ของพรรคคอมมิวนิสต์ควบคุมการตัดสินใจสำคัญ ๆ ทั้งหมด และมีอำนาจในการวางแผนนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
3. การควบคุมด้านเศรษฐกิจและสังคม:
• จีนใช้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดที่ผสมผสานกับการควบคุมจากรัฐ (Socialist Market Economy) ซึ่งรัฐจะมีบทบาทสำคัญในการควบคุมธุรกิจขนาดใหญ่และอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ
• รัฐบาลจีนควบคุมสื่อ การศึกษา และการสื่อสารออนไลน์ รวมถึงกำหนดนโยบายสังคมเพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศ และป้องกันไม่ให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ที่อาจก่อให้เกิดความไม่สงบ
4. การจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น:
• รัฐบาลจีนควบคุมการแสดงออกทางการเมืองและการแสดงความคิดเห็นอย่างเข้มงวด โดยจำกัดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม สื่อมวลชน และอินเทอร์เน็ต
• การควบคุมสื่อและโซเชียลมีเดียทำให้รัฐบาลมีอำนาจในการควบคุมข้อมูลข่าวสารและการแสดงความคิดเห็นของประชาชน
ข้อดีและข้อเสียของระบบคอมมิวนิสต์จีน
ข้อดี:
• ความรวดเร็วในการดำเนินนโยบาย: เนื่องจากเป็นระบบรวมศูนย์ที่ไม่มีความขัดแย้งจากพรรคการเมืองหลายพรรค จึงสามารถดำเนินนโยบายต่าง ๆ ได้รวดเร็ว
• การพัฒนาเศรษฐกิจ: จีนสามารถใช้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดที่ผสมผสานการควบคุมจากรัฐเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างมีประสิทธิภาพ
• เสถียรภาพการปกครอง: ระบบพรรคเดียวช่วยให้รัฐบาลสามารถควบคุมเสถียรภาพและความสงบเรียบร้อยของสังคมได้อย่างต่อเนื่อง
ข้อเสีย:
• ขาดเสรีภาพทางการเมือง: ประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพในการเลือกผู้แทนทางการเมืองและไม่สามารถแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้อย่างเสรี
• ขาดการตรวจสอบและสมดุล: ระบบที่รวมศูนย์อำนาจไว้ในพรรคคอมมิวนิสต์ทำให้ขาดการตรวจสอบจากฝ่ายอื่น ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้อำนาจเกินขอบเขตและปัญหาการทุจริต
• การควบคุมทางสังคม: การควบคุมข้อมูลข่าวสาร สื่อมวลชน และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างเข้มงวดอาจทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างเสรีและอาจมีการจำกัดความคิดสร้างสรรค์
สรุป
ระบบคอมมิวนิสต์แบบจีนเน้นการรวมศูนย์อำนาจและการควบคุมทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการตัดสินใจและการบริหาร แต่ข้อเสียคือ ขาดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและขาดกลไกการตรวจสอบจากภายนอก
จีนมีลักษณะการปกครองแบบ สังคมนิยม หรือคอมมิวนิสต์ โดยเน้นการควบคุมจากรัฐ แต่ในด้านเศรษฐกิจนั้นกลับมีการเปิดเสรีและส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบของ ทุนนิยม ผสมผสานกับการควบคุมโดยรัฐบาล จึงเรียกแนวคิดนี้ว่า เศรษฐกิจตลาดแบบสังคมนิยม (Socialist Market Economy) ซึ่งถูกนำมาใช้ในช่วงที่เติ้ง เสี่ยวผิง (Deng Xiaoping) เริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจจีนในปี 1978
เหตุผลและหลักการเบื้องหลังการผสมผสานนี้
1. การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและการพัฒนา:
• หลังจากการทดลองใช้ระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมแบบเต็มตัวภายใต้การควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวดในยุคของเหมา เจ๋อตง (Mao Zedong) เศรษฐกิจจีนกลับเผชิญกับปัญหาความยากจนและการพัฒนาที่ช้า
• เติ้ง เสี่ยวผิง จึงนำแนวคิด “ทำให้คนบางกลุ่มรวยก่อน” มาใช้ ซึ่งเป็นการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจให้ประชาชนสามารถเริ่มธุรกิจและลงทุนได้ เพื่อสร้างความเจริญเติบโตในระบบเศรษฐกิจโดยรวม แม้จะยังคงโครงสร้างทางการเมืองแบบพรรคคอมมิวนิสต์
2. ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ:
• จีนเปิดเสรีทางเศรษฐกิจเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น เซินเจิ้น เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว ซึ่งทำให้มีเม็ดเงินจำนวนมากเข้ามาช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจในประเทศ
• การเปิดรับเทคโนโลยีและความรู้จากต่างประเทศช่วยให้จีนสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็วและกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับโลก
3. ควบคุมเพื่อเสถียรภาพของสังคมและการเมือง:
• จีนยังคงยึดแนวทางคอมมิวนิสต์และการควบคุมทางการเมืองเพื่อรักษาเสถียรภาพ โดยรัฐบาลมีบทบาทในการกำกับดูแลและควบคุมอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น การเงิน พลังงาน และการสื่อสาร
• แม้จะเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ แต่การเมืองยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำให้รัฐสามารถรักษาเสถียรภาพของสังคมและควบคุมปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองที่อาจเกิดขึ้นได้
4. พัฒนาระบบเศรษฐกิจที่ผสมผสาน (Hybrid Model):
• ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดที่ควบคุมโดยรัฐช่วยให้จีนสามารถใช้นโยบายทุนนิยมเพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงรักษาแนวคิดสังคมนิยมเพื่อการกระจายรายได้และรักษาความเท่าเทียม
• จีนใช้กลไกทุนนิยมในการพัฒนาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่รัฐยังคงควบคุมโครงสร้างพื้นฐานหลัก ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการผูกขาดหรือการควบคุมเศรษฐกิจโดยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ข้อดีของการผสมผสานนี้
• จีนสามารถเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรหลายร้อยล้านคน
• รัฐบาลจีนสามารถรักษาเสถียรภาพทางการเมืองและการพัฒนาเศรษฐกิจไปพร้อมกันได้ ทำให้เกิดความมั่นคงในระยะยาว
ข้อเสียและความท้าทาย
• ระบบนี้อาจนำไปสู่ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นการเติบโตในเมืองใหญ่ ทำให้คนในชนบทและกลุ่มผู้มีรายได้น้อยได้รับประโยชน์น้อยกว่า
• การผสมผสานระหว่างสังคมนิยมและทุนนิยมทำให้มีความท้าทายในการควบคุมเศรษฐกิจเมื่อเกิดความไม่สมดุล หรือเมื่อต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจระดับโลก
สรุป
จีนเลือกใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมควบคู่กับการควบคุมของรัฐในลักษณะสังคมนิยม เพื่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเมือง
ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ประธานาธิบดีของสหรัฐและจีน more powerful มีอำนาจมากกว่าระบอบพระมหากษัตริย์และประธานาธิบดีแบบรัฐสภา
ซึ่งอำนาจที่มากกว่านี้สะท้อนถึงบทบาทที่แตกต่างในด้านการปกครองและการบริหารประเทศ ดังนี้:
1. ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา:
• ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นทั้ง หัวหน้ารัฐ (Head of State) และ หัวหน้ารัฐบาล (Head of Government) โดยมีอำนาจในการกำหนดนโยบาย การออกคำสั่งบริหาร การใช้อำนาจในการตัดสินใจทางการทหาร และการมีบทบาทสำคัญในนโยบายต่างประเทศ
• ประธานาธิบดีสามารถใช้สิทธิ Veto ในการปฏิเสธกฎหมายที่สภาคองเกรสผ่าน และยังมีอำนาจในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูง เช่น ผู้พิพากษาศาลสูง ซึ่งทำให้ประธานาธิบดีมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายของประเทศ
• ถึงแม้จะมีการตรวจสอบจากฝ่ายนิติบัญญัติ (สภาคองเกรส) และฝ่ายตุลาการ (ศาลฎีกา) แต่ประธานาธิบดีก็ยังคงมีอำนาจกว้างขวางในหลายด้าน ซึ่งมากกว่าประมุขในระบบรัฐสภา
2. ประธานาธิบดีของจีน:
• ประธานาธิบดีจีนมีอำนาจสูงสุดในประเทศ เนื่องจากตำแหน่งนี้เชื่อมโยงกับ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ และ ประธานคณะกรรมาธิการทหารกลาง ซึ่งทำให้ประธานาธิบดีมีอำนาจควบคุมทั้งรัฐบาล พรรค และกองทัพ
• ประธานาธิบดีจีนมีอำนาจในการกำหนดนโยบายทุกด้านอย่างเข้มข้น รวมถึงการควบคุมเศรษฐกิจ การต่างประเทศ และการทหาร โดยไม่มีการตรวจสอบจากฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายตุลาการอย่างเป็นอิสระ ทำให้ประธานาธิบดีมีอำนาจเบ็ดเสร็จในทางปฏิบัติ
ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และจีนมีอำนาจมากกว่าประมุขของรัฐในระบบรัฐสภา เพราะประธานาธิบดีในสองประเทศนี้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางและการบริหารประเทศในระดับสูง ในขณะที่พระมหากษัตริย์และประธานาธิบดีในระบบรัฐสภามีอำนาจจำกัด และเน้นบทบาทในเชิงพิธีการมากกว่าการมีอำนาจควบคุมการบริหาร
ระบบที่มีพระมหากษัตริย์ หรือ ประธานาธิบดี เป็นประมุข แบบไหนดีกว่ากัน?
“ประธานาธิบดีที่เป็นทั้ง Head of State และ Head of government” หรือ “ระบบพระมหากษัตริย์กับประธานาธิบดีแบบรัฐสภา” แบบไหนดีกว่ากัน?
หากจะพิจารณาว่าระบบใด “ดีกว่า” ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น วัฒนธรรม การเมือง ประวัติศาสตร์ สังคม และเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ไม่มีระบบใดที่ดีที่สุดในทุกบริบท แต่ทั้งสองระบบมีจุดแข็งและข้อจำกัดที่เหมาะสมแตกต่างกันไป ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้:
ระบบประธานาธิบดีที่เป็นทั้ง Head of State และ Head of Government (เช่น สหรัฐฯ)
ข้อดี:
1. การตัดสินใจที่รวดเร็วและชัดเจน: ประธานาธิบดีมีอำนาจสูงสุดทั้งในด้านการบริหารและการเมือง ซึ่งช่วยให้สามารถดำเนินนโยบายต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างสองฝ่าย (ประมุขและหัวหน้ารัฐบาล)
2. เสถียรภาพในการบริหาร: ระบบนี้สามารถสร้างเสถียรภาพในการบริหารได้ดี เนื่องจากประธานาธิบดีมีวาระการดำรงตำแหน่งที่แน่นอน และไม่ถูกเปลี่ยนบ่อยจากการโหวตไม่ไว้วางใจในสภา
3. อำนาจในการกำหนดนโยบายชัดเจน: ประธานาธิบดีสามารถนำพาประเทศไปในทิศทางที่ชัดเจน เนื่องจากเป็นผู้นำหลักในการกำหนดทิศทางทั้งด้านนโยบายในประเทศและต่างประเทศ
ข้อเสีย:
1. ความเสี่ยงของการใช้อำนาจเกินขอบเขต: เมื่อประธานาธิบดีมีอำนาจสูงสุด อาจเกิดการใช้อำนาจเกินขอบเขตหรือมีการแทรกแซงในกระบวนการตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายตุลาการ
2. การกระจุกอำนาจ: การที่ทั้งอำนาจรัฐและรัฐบาลอยู่ในมือของบุคคลเดียวกัน อาจทำให้เกิดความไม่สมดุลและนำไปสู่การเผชิญความขัดแย้งทางการเมือง หากประธานาธิบดีมุ่งมั่นในนโยบายที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนหรือกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม
3. ความขัดแย้งในการเลือกตั้ง: การเลือกตั้งประธานาธิบดีมักสร้างความขัดแย้งอย่างรุนแรง เนื่องจากมีอำนาจบริหารและอำนาจทางการเมืองสูง ทำให้เกิดการแบ่งแยกทางการเมืองได้ง่าย
ระบบพระมหากษัตริย์และประธานาธิบดีแบบรัฐสภา (เช่น สหราชอาณาจักร เยอรมนี ญี่ปุ่น)
ข้อดี:
1. เสถียรภาพทางการเมืองและการเมืองที่เป็นกลาง: พระมหากษัตริย์หรือประธานาธิบดีในระบบรัฐสภามีบทบาทเป็นกลางทางการเมือง เป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคีและเสถียรภาพ ซึ่งช่วยลดความขัดแย้งในสังคมและการเมืองได้ดี
2. ระบบการตรวจสอบและสมดุล (Checks and Balances): การแยกบทบาทประมุขของรัฐและหัวหน้ารัฐบาลทำให้เกิดการตรวจสอบและสมดุลระหว่างประมุขของรัฐและรัฐสภา หัวหน้ารัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อนโยบายและการบริหารงานในสภา และสามารถถูกโหวตไม่ไว้วางใจได้หากขาดประสิทธิภาพ
3. ความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนผู้นำรัฐบาล: ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีขาดประสิทธิภาพ สภาสามารถโหวตไม่ไว้วางใจและเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีได้โดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพของประเทศในภาพรวม
ข้อเสีย:
1. กระบวนการตัดสินใจอาจช้า: เนื่องจากนายกรัฐมนตรีต้องทำงานผ่านกระบวนการของรัฐสภา ทำให้การตัดสินใจนโยบายบางอย่างล่าช้า เมื่อเปรียบเทียบกับระบบประธานาธิบดี
2. ความไม่แน่นอนของการบริหาร: ในบางครั้งนายกรัฐมนตรีอาจถูกเปลี่ยนบ่อยตามกระแสความนิยม หรือการเมืองภายในสภา ทำให้รัฐบาลไม่สามารถดำเนินนโยบายระยะยาวได้อย่างต่อเนื่อง
3. อำนาจเชิงสัญลักษณ์ที่จำกัด: พระมหากษัตริย์หรือประธานาธิบดีในระบบรัฐสภามีอำนาจในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น จึงไม่สามารถแทรกแซงหรือควบคุมสถานการณ์ที่จำเป็นได้หากเกิดความวุ่นวายทางการเมืองหรือปัญหาฉุกเฉิน
สรุปความคิดเห็น
ทั้งสองระบบมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน โดยระบบประธานาธิบดีที่เป็นทั้ง Head of State และ Head of Government เหมาะกับประเทศที่ต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็วและมีเสถียรภาพในการบริหารงาน ส่วน ระบบพระมหากษัตริย์และประธานาธิบดีในแบบรัฐสภา เหมาะกับประเทศที่ให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางการเมืองและการมีระบบตรวจสอบที่เข้มแข็ง
ส่วนการเลือกว่าจะใช้ระบบที่มี พระมหากษัตริย์ หรือ ประธานาธิบดี ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม สังคม และการเมืองของแต่ละประเทศ
ซึ่งทั้งสองระบบมีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกัน ดังนี้:
1. ระบบที่มีพระมหากษัตริย์ (ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ)
ข้อดี:
• สัญลักษณ์ความมั่นคงและความต่อเนื่อง: พระมหากษัตริย์มักเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงและเอกลักษณ์ประจำชาติ ซึ่งช่วยสร้างความเป็นหนึ่งเดียวในสังคมและรักษาประเพณีที่สืบทอดมา
• การเมืองที่มั่นคงกว่า: พระมหากษัตริย์ไม่มีบทบาทในทางการเมืองโดยตรง ทำให้ไม่มีการแทรกแซงในกิจกรรมทางการเมืองและรัฐบาลยังคงสามารถทำงานได้อย่างอิสระจากสถาบันกษัตริย์
• ไม่มีการเลือกตั้งที่ขัดแย้ง: การมีพระมหากษัตริย์ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งช่วยลดความขัดแย้งในเรื่องการแย่งชิงตำแหน่งประมุขของรัฐ
ข้อเสีย:
• ข้อจำกัดในการเปลี่ยนแปลงสถาบัน: ในบางครั้ง การคงไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์อาจทำให้สังคมรู้สึกว่ามีการแบ่งชนชั้นและการถ่ายทอดอำนาจผ่านสายเลือด
• ค่าใช้จ่ายในการดูแลสถาบันกษัตริย์: การรักษาสถานะและตำแหน่งของพระมหากษัตริย์อาจมีค่าใช้จ่ายสูง
2. ระบบที่มีประธานาธิบดี (ประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ)
ข้อดี:
• เลือกตั้งโดยประชาชน: ประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกจากประชาชนทำให้รู้สึกว่ามีความชอบธรรมและสะท้อนเสียงของประชาชนได้ดีขึ้น
• ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับเปลี่ยน: ประธานาธิบดีมักมีวาระการดำรงตำแหน่ง ซึ่งช่วยให้สามารถเปลี่ยนแปลงประมุขของรัฐได้เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่
• มีบทบาทมากกว่าในด้านการบริหาร: ในบางระบบ ประธานาธิบดีมีอำนาจในการตัดสินใจนโยบายหรือแทรกแซงการบริหารในบางกรณี เช่น ฝรั่งเศส หรือสหรัฐฯ ซึ่งช่วยให้การบริหารเกิดความรวดเร็ว
ข้อเสีย:
• ความขัดแย้งจากการเลือกตั้ง: การเลือกตั้งประธานาธิบดีอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความแตกแยกทางการเมือง
• การกระจุกอำนาจ: ในบางประเทศ ประธานาธิบดีอาจมีอำนาจมากเกินไปจนเกิดการรวมศูนย์อำนาจหรือเกิดปัญหาการทุจริตได้
สรุป
การเลือกระบบที่มีพระมหากษัตริย์หรือประธานาธิบดีไม่มีระบบใดที่ “ดีกว่า” อย่างชัดเจน เพราะแต่ละระบบมีจุดแข็งจุดอ่อนที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศนั้น ๆ เช่น บางประเทศที่มีประเพณีอันยาวนานอาจพบว่าการมีพระมหากษัตริย์ช่วยเสริมความเป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่ประเทศที่ให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยทางตรงอาจเหมาะกับการมีประธานาธิบดี
หากถามว่าแบบไหน “ดีกว่า” คำตอบขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละประเทศ เช่น ถ้าประเทศมีประวัติความขัดแย้งหรือมีความหลากหลายทางสังคมสูง การมีพระมหากษัตริย์หรือประธานาธิบดีแบบรัฐสภาอาจช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพมากกว่า แต่ถ้าประเทศต้องการความรวดเร็วและความชัดเจนในการบริหาร ระบบประธานาธิบดีอาจจะเหมาะสมมากกว่า
ที่กล่าวมาทั้งหมดคือ ข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเมืองการปกครองว่าด้วยเรื่องประมุขแห่งรัฐ และหัวหน้ารัฐบาล
ต่อไปนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผม
จะเห็นได้ว่า รูปแบบการปกครองที่เป็นต้นแบบนั้นมีอยู่ แต่มีบางประเทศที่ปรับปรุงรูปแบบบางอย่างจากต้นแบบที่เป็นหลักนั้นในเข้ากับบริบทของแต่ละประเทศ ซึ่งมีความแตกต่างในวัฒนธรรมและจารีตประเพณี เช่น
จีนปกครองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์แต่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมซึ่งความจริงแล้วทั้ง 2 ระบบขัดแย้งกันสุดขั้ว แต่จีนก็จับมารวมกันใช้บริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธภาพ
สิงคโปร์ ก็ปรับบางอย่างเล็กน้อยให้ประมุขแห่งรัฐมีอำนาจสำคัญบางอย่างในการควบคุมดูแลฝ่ายบริหาร
ทำไมไทยเราไม่คิดปรับปรุงระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขให้เข้ากับบริบทและวิถีไทย เช่น การให้อำนาจสำคัญบางอย่างต่อพระมหากษัตริย์ เนื่องจากพระมหากษัตริย์เป็นผู้ที่ทรงปลอดจากการครอบงำของการเมือง ทั้งจากนักการเมืองหรือประชาชนที่ฝักใฝ่ฝ่ายการเมืองต่างๆ กล่าวคือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นกลางต่อทุกฝ่าย ทำให้ทรงคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติและประชาชน มากกว่านักการเมืองและประชาชนที่ฝักใฝ่ฝ่ายการเมืองต่างๆ ซึ่งย่อมเห็นกับประโยชน์ของตนและพรรคพวกเป็นใหญ่
อำนาจที่ว่านั้น เช่น อำนาจในการตรวจสอบและยับยั้งการออกกฎหมายสำคัญบางอย่าง อำนาจในการตรวจสอบและยับยั้งการใช้งบประมาณ หรืออำนาจในการตรวจสอบและยับยั้งการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงบางตำแหน่ง เช่น ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผู้พิพากษาในศาล เป็นต้น
ระบบต้นแบบมี รัฐสภา รัฐบาลและศาลเป็น 3 เสาหลักในระบอบประชาธิปไตยที่ใช้บริหารงานราชการและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน แต่ด้วยวิถีไทย ที่ระบบอุปถัมภ์นำมาซึ่งการคอรร์รับชั่นที่ฝั่งรากลึกจนยากจะกำจัดไปได้ในเร็ววัน ทำให้ 3 เสาหลัก ไม่สามารถบริหารงานราชการอย่างซื่อสัตย์สุจริตและมีประสิทธภาพ เพราะระบบถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันถูกแทรกแซงด้วยผลประโยชน์ทางการเมือง
ดังนั้น ไทยเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นผู้ที่ยืนอยู่เคียงข้างประชาชนอย่างแท้จริงตลอดมา ทำไมเราไม่ให้สถาบันพระมหากษัตริย์ช่วยรักษาผลประโยชน์ของชาติและประชาชน ด้วยการมีอำนาจในการยับยั้งและตรวจสอบ ซึ่งจะช่วยประชาชนค้านอำนาจกับนักการเมืองหรือประชาชนที่เป็นกลุ่มก้อนที่ฝักใฝ่ฝ่ายการเมืองใดฝ่ายหนึ่ง“ เอาไว้
ในยามปกติ รัฐบาลและรัฐสภาก็บริหารราชการแผ่นดินไป แต่ในยามไม่ปกติ หรือยามวิกฤต เราก็เปิดช่องว่างให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจในการในการยับยั้งและตรวจสอบในเรื่องสำคัญบางเรื่อง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติและประชาชน
อย่าลืมว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเอกลักษณ์และความต่อเนื่อง ทำให้ประเทศมีเสถียรภาพและความมั่นคงทางจิตใจแก่ประชาชน
ที่สำคัญ สถาบันพระมหากษัตริย์ มีความเป็นกลางทางการเมือง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ย่อมทำให้เห็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อชาติและประชาชนอย่างแท้จริงมากกว่านักการเมืองที่เห็นประโยชน์ต่อตนเอง พวกพ้องและฐานเสียง
สิ่งที่การันตีได้ว่า สถาบันพระมหากษัตริย์มีความเป็นกลางทางการเมือง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ย่อมทำให้เห็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ได้แก่ ประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 242 ปีของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ไม่เคยมีประวัติเรื่องการคอรร์รับชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวงเบียดบังผลประโยชน์จากชาติและประชาชนเลย
ผิดกับนักการการเมือง ที่นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่แม้แต่คณะราษฎรที่ประกาศว่าจะมาสร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำ แต่ดลับบริหารประเทศจนตนเอง ครอบครัวและพวกพ้องร่ำรวย อันเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียมที่อยู่แล้วให้มากขึ้น ซึ่งหมายความว่า นักการเมืองจำนวนมากนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองจนมาถึงปัจจุบัน ที่ชอบประกาศว่า “จะมาสร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำ“ คือคำประกาศหาเสียงหรือเพื่อซื้อคะแนนเสียงเท่านั้น
แต่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นความตรงข้ามกับความฉ้อฉลของนักการเมืองอย่างเห็นได้ชัดตลอดมา
เพราะฉะนั้นรูปแบบการปกครองแบบสากล จำเป็นต้องปรับให้เข้ากับบริบท วัฒนธรรม จารีตประเพณีและวิถีไทย วิถีที่เชื่อว่า นักการเมืองคือ โรบินฮู้ด เสือใบ ตี่ใหญ่ จอมโจรเทวดา ที่จะเอาเงินของคนรวยมาช่วยคนจน ทำให้คนไทยสนับสนุนโจรให้เป็นใหญ่เสมอมา
อำนาจในการปกครองบ้านเมืองเป็นของพระมหากษัตริย์มาแต่เดิม แต่ถูกปล้นไปด้วยการไปหลอกประชาชนว่า จะเข้ามาสร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำ แต่ไม่เคยเป็นจริงขึ้นมา
ดังนั้นถึงเวลาปฏิรูปแล้ว ถวายคืนพระราชอำนาจบางประการ ให้อยู่ในรูปแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยเป็นองค์พระประมุขที่สามารถตรวจสอบและยับยั้งวิกฤตทางการเมือง
วิกฤตทางการเมืองที่ไม่สามารถแก้ได้ด้วยวิถีทางการเมือง เพราะนักการเมืองห่วงและหวงอำนาจ
ให้พระมหกษัตริย์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในชาติ มีอำนาจจัดการเรื่องที่ยากที่สุดที่นักการเมืองไม่เคยจริงใจหรือไม่มีความสามารถจะแก้ไขเพื่อชาติและประชาชน