โดย อัษฎางค์ ยมนาค
The iCON Group
ธุรกิจขายตรง หรือ แชร์ลูกโซ่ ?
จากข้อมูลที่ได้รับเกี่ยวกับธุรกิจ MLM และแชร์ลูกโซ่ของบริษัท The iCon Group ที่กำลังเป็นข่าวโด่งดังในเมืองไทย ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนถึงกลยุทธ์และรูปแบบธุรกิจที่มีลักษณะคล้ายกับแชร์ลูกโซ่ โดยมีประเด็นดังนี้:
1. การสร้างเครือข่ายที่อาศัยการชักชวนคนเข้าร่วมมากกว่าการขายสินค้า
รูปแบบการทำรายได้ที่ให้ค่าตอบแทนกับคนที่สามารถชวนคนอื่นมาเข้าร่วมได้มากกว่าการขายสินค้า อาจส่อให้เห็นลักษณะของธุรกิจแชร์ลูกโซ่ (Ponzi Scheme) ที่ต้องพึ่งพาเงินลงทุนจากคนที่เข้ามาใหม่เพื่อนำมาจ่ายให้กับคนเก่า ซึ่งหากไม่มีคนใหม่เข้ามา ระบบจะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
2. ข้อสงสัยเรื่องราคาต้นทุนและการแข่งขันในตลาด
ปัญหาที่สินค้ามีต้นทุนสูงแต่ถูกขายต่ำกว่าต้นทุน หรือไม่สามารถแข่งขันในตลาด ทำให้ตัวแทนจำหน่ายต้องพึ่งพาการหาคนใหม่เข้าร่วมแทนการขายสินค้า ซึ่งเป็นลักษณะที่ขัดกับธุรกิจ MLM ที่ถูกต้องตามหลักจริยธรรม
3. การใช้คนดังและการโฆษณาเกินจริง
การใช้ดาราหรือคนดังเพื่อดึงดูดความสนใจและสร้างความน่าเชื่อถือทำให้หลายคนรู้สึกไว้วางใจ แต่หากธุรกิจไม่ได้มีพื้นฐานการขายสินค้าที่แข็งแกร่ง การใช้คนดังอาจกลายเป็นเพียงกลยุทธ์ในการหลอกลวงผู้ที่สนใจ โดยใช้ “หลักฐานทางสังคม” (Social Proof) เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
Social Proof (หลักฐานทางสังคม) – การใช้ดาราหรือคนดังที่เป็นที่รู้จักเข้ามาเป็นตัวแทนหรือแสดงความเชื่อมั่นต่อธุรกิจช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ โดยคนมักจะเชื่อมั่นในสิ่งที่คนที่เขารู้จักหรือชื่นชมทำอยู่ ดังนั้นการมีดาราเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจช่วยเสริมให้ผู้คนรู้สึกว่าเป็นธุรกิจที่เชื่อถือได้
Social Proof (หลักฐานทางสังคม) – แนวคิดนี้ได้รับการพัฒนาโดย Robert Cialdini นักจิตวิทยาและนักเขียนผู้มีชื่อเสียงด้านการโน้มน้าวและอิทธิพลทางสังคม ในหนังสือของเขาที่ชื่อ Influence: The Psychology of Persuasion (1984) Cialdini อธิบายว่า Social Proof คือแนวโน้มที่คนเราจะเชื่อหรือทำตามสิ่งที่คนอื่นทำ โดยเฉพาะเมื่อเราเห็นว่าคนอื่นในสังคมหรือกลุ่มมีพฤติกรรมแบบเดียวกัน ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งนั้นมีความถูกต้องหรือเป็นที่ยอมรับทางสังคม
4. ข้อสังเกตด้านจิตวิทยา
กลยุทธ์เหล่านี้ใช้หลักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้อง เช่น การกระตุ้นความกลัวว่าจะพลาดโอกาส (FOMO) การใช้แรงกดดันทางสังคม และการสร้างภาพลวงว่าผู้เข้าร่วมจะได้รับผลตอบแทนสูงในเวลาอันสั้น ส่งผลให้คนหลงเชื่อและเข้าร่วมโดยไม่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน
Fear of Missing Out (FOMO) – การใช้ข้อความที่แสดงถึงความสำเร็จหรือรางวัลจากการเข้าร่วมธุรกิจ โดยบ่งบอกว่าผู้ที่เข้าร่วมจะมีโอกาสได้สิ่งที่ดี เช่น รถหรู หรือรายได้สูง จะทำให้ผู้คนกลัวว่าจะพลาดโอกาสที่สำคัญและรีบเข้าร่วม
Fear of Missing Out (FOMO) – มาจากการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ที่มักจะกลัวว่าจะพลาดโอกาสหรือประสบการณ์ดี ๆ ที่ผู้อื่นได้สัมผัส โดยนักวิจัยเช่น Dan Ariely ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมเศรษฐศาสตร์ และนักจิตวิทยาคนอื่นๆ ได้ศึกษาเกี่ยวกับ FOMO โดยเฉพาะในยุคโซเชียลมีเดีย ที่มีผลกระทบอย่างมากต่อการตัดสินใจของมนุษย์ในการเข้าร่วมกิจกรรมหรือซื้อสินค้าจากความกลัวที่จะพลาดสิ่งที่ดีจากการเห็นผู้อื่นโพสต์เกี่ยวกับประสบการณ์ที่น่าสนใจ
ทั้งนี้ ธุรกิจ MLM ที่มีความชัดเจนและถูกต้องจะเน้นการสร้างรายได้จากการขายสินค้า ไม่ใช่จากการชักชวนคนเข้าร่วม ดังนั้น ผู้ที่สนใจธุรกิจแบบ MLM ควรตรวจสอบโครงสร้างการทำรายได้ของบริษัทและพิจารณาถึงความน่าเชื่อถือก่อนการลงทุน
ธุรกิจ MLM (Multi-Level Marketing) และแชร์ลูกโซ่ (Ponzi Scheme) มีความแตกต่างกันในแง่โครงสร้างและวิธีการสร้างรายได้ ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีลักษณะการชักชวนผู้อื่นเข้าร่วมและสร้างเครือข่ายที่ซับซ้อน แต่ MLM ที่ถูกต้องจะมุ่งเน้นที่การขายสินค้า ในขณะที่แชร์ลูกโซ่เน้นการหาสมาชิกใหม่เพื่อระดมทุน
1. โครงสร้างรายได้
• MLM: รายได้หลักมาจากการขายสินค้าหรือบริการที่จับต้องได้ให้กับผู้บริโภค รายได้ของผู้เข้าร่วมมาจากการขายสินค้าหรือคอมมิชชั่นจากยอดขายของทีมงานที่พวกเขาสร้างขึ้น
• แชร์ลูกโซ่: รายได้มาจากการนำเงินลงทุนของสมาชิกใหม่ไปจ่ายให้กับสมาชิกเก่าที่อยู่ในระบบ โดยไม่ได้มีการขายสินค้าหรือบริการจริง ๆ ซึ่งหากไม่มีสมาชิกใหม่เข้ามา เงินก็จะหมดลงและระบบจะล่ม
2. สินค้าหรือบริการ
• MLM: มีสินค้าหรือบริการจริงให้ผู้บริโภค โดยสินค้ามีคุณค่าในตัวเองและสามารถขายในตลาดได้ เช่น สินค้าสุขภาพและความงาม สินค้าทำความสะอาด และสินค้าอุปโภคบริโภค
• แชร์ลูกโซ่: มักไม่มีสินค้าหรือบริการจริง หรือหากมีสินค้าก็เป็นเพียงข้ออ้างที่ใช้บังหน้า ตัวสินค้ามักไม่มีคุณค่าในการตลาดและไม่สามารถสร้างรายได้จากการขายได้จริง
3. กฎหมายและความโปร่งใส
• MLM: ในหลายประเทศ MLM ถูกกฎหมายหากดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและรายได้หลักมาจากการขายสินค้า อย่างไรก็ตาม MLM ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการกลายเป็นแชร์ลูกโซ่
• แชร์ลูกโซ่: ผิดกฎหมายในหลายประเทศ เพราะถือว่าเป็นการฉ้อโกง การระดมทุนจากสมาชิกใหม่เพื่อจ่ายให้สมาชิกเก่าโดยไม่มีสินค้าเป็นการหมุนเวียนเงินที่ไม่ยั่งยืน
4. จิตวิทยาและแรงจูงใจ
• MLM: ใช้จิตวิทยาเชิงบวก เช่น การพัฒนาตนเอง การสร้างรายได้เสริม และการสนับสนุนซึ่งกันและกันในเครือข่าย โดยมักมีการส่งเสริมการขายที่เน้นการสร้างแรงบันดาลใจ
• แชร์ลูกโซ่: ใช้จิตวิทยาหลอกลวง เช่น การสร้างแรงกดดันให้รีบเข้าร่วมเพื่อไม่ให้พลาดโอกาส และการใช้คนดังเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในธุรกิจ ทำให้คนรู้สึกเชื่อถือโดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริง
ตัวอย่างที่พบได้:
• MLM: ธุรกิจขายตรงที่มีชื่อเสียงเช่น Unicity , Atomy, Amway, Herbalife, และ Nu Skin ที่เน้นการขายสินค้าจริง และมีการตรวจสอบตามกฎหมาย
• แชร์ลูกโซ่: ระบบการลงทุนที่เน้นการจ่ายผลตอบแทนให้กับผู้ที่เข้าร่วมใหม่ เช่น กรณีของ The Icon Group ที่อาจใช้ลักษณะการชักชวนเข้าร่วมคล้าย MLM แต่เน้นการหาคนใหม่เข้ามามากกว่าการขายสินค้า
โดยสรุป ธุรกิจ MLM ที่ถูกต้องตามกฎหมายจะมีสินค้าและบริการจริงที่สามารถสร้างรายได้จากการขายสินค้า ในขณะที่แชร์ลูกโซ่เป็นการหลอกลวงที่ใช้เงินของสมาชิกใหม่จ่ายให้กับสมาชิกเก่า ซึ่งไม่ยั่งยืนและเสี่ยงต่อการสูญเสียเงิน
คำถามว่า เหล่าดารา คนดัง ที่มาร่วมงานช่วย The iCon เป็น PR โฆษณา ประชาสัมพันธ์ โดยใช้ความเป็นดาราที่มีแฟนคลับมากมาย เป็นตัวดึงดูดและสร้างความน่าเชื่อถือ ดาราเหล่านั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในเหยื่อของบริษัทหรือเป็นผู้ร่วมขบวนการหลอกลวงประชาชน?
กรณีของเหล่าดาราหรือคนดังที่เข้ามาช่วย The Icon Group ในการประชาสัมพันธ์ ถือว่าเป็นประเด็นที่ซับซ้อน เนื่องจากต้องพิจารณาจากเจตนารมณ์และระดับการมีส่วนร่วมของดาราเหล่านั้นในธุรกิจ โดยสามารถแบ่งเป็น 2 แนวทางหลัก:
1. ดาราเป็นเหยื่อของบริษัท:
ในกรณีนี้ ดาราอาจถูกจ้างหรือเชิญให้มาเป็นพรีเซนเตอร์เพื่อประชาสัมพันธ์โดยที่ไม่ได้รู้ลึกรายละเอียดหรือการดำเนินงานภายในของธุรกิจ ดาราเหล่านี้อาจมองว่าเป็นโอกาสในการทำงานเชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติในวงการบันเทิง แต่หากบริษัทนั้นมีการหลอกลวงจริง ๆ ดาราก็อาจตกเป็นเหยื่อได้เช่นกัน เนื่องจากพวกเขาอาจไม่ได้ตั้งใจหลอกลวงประชาชน แต่ได้รับข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนจากผู้ว่าจ้าง
2. ดาราเป็นผู้ร่วมขบวนการหลอกลวง:
หากพบว่าดารามีการเข้าร่วมธุรกิจในระดับที่ลึกกว่าการเป็นเพียงพรีเซนเตอร์ เช่น มีส่วนได้ส่วนเสียหรือมีการรับรู้ถึงโครงสร้างรายได้ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ดาราเหล่านี้อาจถูกพิจารณาเป็นผู้ร่วมขบวนการหลอกลวงได้ ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดทางกฎหมาย เพราะการรู้เห็นการทำงานภายในธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่อการหลอกลวงประชาชนแล้วร่วมประชาสัมพันธ์ก็ถือเป็นการกระทำที่ผิดจรรยาบรรณ
ในหลายกรณี ผู้ตรวจสอบทางกฎหมายจะพิจารณาถึงระดับการมีส่วนร่วมและเจตนาของดาราเหล่านั้นในการประชาสัมพันธ์ธุรกิจ หากดาราไม่ทราบถึงลักษณะการทำงานที่อาจเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ พวกเขาอาจได้รับการปฏิบัติเป็นเพียงผู้ร่วมงานโฆษณาที่ไม่ได้มีเจตนาหลอกลวง แต่ถ้าหากมีหลักฐานที่ชี้ชัดว่าดารารับรู้ถึงรูปแบบธุรกิจที่มีการหลอกลวงหรือได้รับผลประโยชน์จากการชักชวนคนเข้าร่วม กฎหมายอาจถือว่าเป็นการร่วมกระทำผิด
เรื่องนี้จะจบลงยังไง ต้องคอยติดตามกันต่อไป