โดย อัษฎางค์ ยมนาค
การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด จากเคยเป็นประเทศด้อยพัฒนาและยากจนที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย มาเป็นประเทศกำลังพัฒนาชั้นแนวหน้าในภูมิภาค ด้วยพระราชกรณียกิจสำคัญหลายโครงการของรัชกาล 9
ในสมัยรัชกาลที่ 9 ประเทศไทยได้รับการพัฒนาจากประเทศด้อยพัฒนามาเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่แข็งแกร่งและได้รับการยกย่องในระดับนานาชาติ ความสำเร็จนี้มาจากโครงการพระราชดำริต่างๆ ที่เน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนซึ่งครอบคลุมหลายด้าน ได้แก่ การจัดการน้ำ เกษตรกรรม การฟื้นฟูป่าไม้ และการพัฒนาชุมชน ทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากประเทศที่เคยด้อยพัฒนาและยากจนที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย มาเป็นประเทศกำลังพัฒนาชั้นแนวหน้าในภูมิภาค ความสำเร็จนี้วัดจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ การลดความยากจน การขยายบริการสุขภาพ และการพัฒนาชุมชน ซึ่งได้รับการสนับสนุนและประเมินผลจากองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง
ตัวชี้วัดสำคัญที่แสดงถึงการพัฒนาของไทย ได้แก่:
1. การเติบโตของ GDP:
เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างมั่นคงตั้งแต่ปี 1960 ทำให้ GDP ขยายตัวหลายเท่า การเติบโตนี้มาจากการส่งออก การลงทุนภาคอุตสาหกรรม และการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 1997 ที่ไทยสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
2. การลดความยากจน:
ธนาคารโลกชี้ว่าไทยมีความก้าวหน้าในการลดอัตราความยากจนและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะการเข้าถึงบริการสุขภาพและการศึกษา ซึ่งเพิ่มอายุเฉลี่ยของประชากรและลดอัตราการเสียชีวิตในทารกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. การพัฒนาชุมชน:
แนวทางการพัฒนาของไทยเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน เช่น การใช้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนาตามความต้องการของชุมชนเอง สิ่งนี้ช่วยเพิ่มความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความสามารถในการต้านทานต่อวิกฤต
องค์การสหประชาชาติ (UN) และธนาคารโลก (World Bank) เป็นหน่วยงานที่สนับสนุนและเผยแพร่ความสำเร็จนี้ โดยยกย่องให้ไทยเป็นตัวอย่างในการพัฒนาที่ครอบคลุมทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในภูมิภาค
ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีส่วนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
จากเดิมที่เป็นประเทศด้อยพัฒนามากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย สู่ประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศผ่าน โครงการพระราชดำริ และ แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน
1. โครงการพระราชดำริเพื่อการพัฒนา:
พระองค์ทรงริเริ่มโครงการพระราชดำริต่าง ๆ กว่า 4,000 โครงการทั่วประเทศ ขอยกตัวอย่างที่ได้รับยอมรับและยกย่องในระดับนานาชาติได้แก่
• การจัดการน้ำและสิ่งแวดล้อม: พระองค์ทรงริเริ่มแนวคิด “แก้มลิง” (Monkey Cheek) เพื่อช่วยกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝนและปล่อยน้ำในฤดูแล้ง ช่วยลดปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพฯ และเพิ่มน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติในชนบทเพื่อใช้ในการเกษตร โครงการนี้ไม่เพียงช่วยป้องกันภัยพิบัติ แต่ยังสร้างแหล่งน้ำที่ยั่งยืนสำหรับชุมชนในระยะยาว
• การพัฒนาเกษตรกรรมและส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง: พระองค์ทรงส่งเสริมให้เกษตรกรใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเน้นความพอประมาณ เช่น การพัฒนาเกษตรทฤษฎีใหม่ที่จัดสรรพื้นที่เพื่อทำการเกษตรหลากหลายประเภท ลดการพึ่งพิงจากภายนอกและสร้างความยั่งยืนให้กับเกษตรกร
• การฟื้นฟูป่าไม้และรักษาสิ่งแวดล้อม: โครงการฟื้นฟูป่าไม้ เช่น โครงการห้วยฮ่องไคร้ในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงการสร้างความยั่งยืนของระบบนิเวศ ด้วยการกักเก็บความชุ่มชื้นในดินและฟื้นฟูป่าที่เสื่อมโทรม ทำให้ประชาชนในพื้นที่มีทรัพยากรในการประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตได้
นอกจากนี้ยังมี “โครงการฝนหลวง” เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง “โครงการพัฒนาการเกษตรทฤษฎีใหม่” ซึ่งช่วยปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรและประชาชนในชนบท ลดความยากจนและเพิ่มความมั่นคงด้านอาหาร
2. แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง:
แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 เน้นการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง มีเหตุผล และสร้างภูมิคุ้มกันต่อวิกฤต พระองค์ทรงเน้นให้คนไทยสามารถพึ่งพาตนเองและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า แนวคิดนี้ได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติว่าเป็นแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
3. การยกระดับประเทศไทยในเวทีโลก:
พระราชกรณียกิจและแนวคิดของพระองค์ทำให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยองค์การสหประชาชาติได้มอบรางวัลการพัฒนามนุษย์แห่งสหประชาชาติให้แก่พระองค์ และนานาชาติยังนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน
ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้ไทยได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวอย่างในการพัฒนาแบบยั่งยืนในภูมิภาคและทั่วโลก