โดย อัษฎางค์ ยมนาค
”ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีบทบาทสำคัญในการ ยุติความขัดแย้งและเปิดทางสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย“
ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ซึ่งเป็นการต่อสู้ของประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและการต่อต้านเผด็จการทหาร บทบาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) มีความสำคัญในการยุติความขัดแย้งและทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงอย่างสงบ โดยสามารถสรุปบทบาทที่สำคัญได้ดังนี้:
1. การยุติความรุนแรง
• ในช่วงที่เกิดการชุมนุมประท้วงและความรุนแรงบานปลาย รัชกาลที่ 9 ได้มีบทบาทในการตัดสินใจสำคัญเพื่อยุติสถานการณ์โดยไม่ให้ความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นไปอีก
• พระองค์ทรงมีพระบรมราชโองการเรียกจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และผู้มีอำนาจในรัฐบาลให้พ้นจากตำแหน่ง และมีพระราชดำริให้ผู้นำกลุ่มผู้ประท้วง นักศึกษา และประชาชนเข้าเฝ้าในพระบรมมหาราชวังเพื่อหารือและคลี่คลายสถานการณ์
2. การเปิดทางให้ประชาธิปไตย
• รัชกาลที่ 9 ทรงเห็นถึงความต้องการของประชาชนในการเปลี่ยนแปลงไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย พระองค์ทรงยืนยันการสนับสนุนให้มีการจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนใหม่ที่มาจากความต้องการของประชาชน
• หลังจากที่จอมพลถนอมและผู้มีอำนาจในรัฐบาลเดินทางออกนอกประเทศ พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้แต่งตั้ง สัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพจากทั้งนักศึกษาและประชาชน ให้เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่ในการฟื้นฟูประเทศและนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งเป็นการเปิดทางสู่ระบอบประชาธิปไตยในเวลาต่อมา
3. การสร้างความเชื่อมั่นและลดความตึงเครียด
• ในช่วงที่สถานการณ์เริ่มรุนแรงและมีการสลายการชุมนุม พระองค์ทรงแสดงบทบาทในการสร้างความสงบเรียบร้อยแก่ประชาชน ซึ่งช่วยลดความตึงเครียดและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการแก้ปัญหาของประเทศอย่างสงบ
4. พระราชดำรัสและการสนับสนุนการพัฒนา
• หลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการสนับสนุนให้ประเทศพัฒนาไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน โดยพระองค์ได้ให้พระราชดำรัสที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเคารพสิทธิเสรีภาพ ความสามัคคี และความปรองดองในสังคม ซึ่งเป็นหลักการที่ส่งเสริมให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยในระยะยาว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีบทบาทสำคัญในการ ยุติความขัดแย้งและเปิดทางสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย พระองค์ทรงแสดงบทบาทที่สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน และส่งเสริมการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างยั่งยืนในประเทศไทย
เหตุการณ์ 14 ตุลา หรือ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เป็นการต่อสู้ของประชาชน นักศึกษา และประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ที่รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านเผด็จการทหาร
สาเหตุของเหตุการณ์
ในช่วงเวลานั้น ประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหารที่มีจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นผู้นำ ประชาชนเริ่มไม่พอใจต่อการปกครองแบบเผด็จการที่มีการทุจริตและกดขี่เสรีภาพ มีการควบคุมสื่อและการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก ส่งผลให้นักศึกษาและประชาชนกลุ่มต่าง ๆ เริ่มเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพ
เหตุการณ์หลัก
การประท้วงเริ่มต้นจากการเรียกร้องของนักศึกษาและประชาชนที่ต้องการรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นประชาธิปไตย มีการชุมนุมและเดินขบวนขนาดใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย การประท้วงรุนแรงขึ้นจนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ และมีการใช้กำลังทหารเพื่อสลายการชุมนุม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
ผลลัพธ์ของเหตุการณ์
เหตุการณ์นี้ส่งผลให้จอมพลถนอม กิตติขจร และผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลต้องลาออกจากตำแหน่งและเดินทางออกนอกประเทศ และส่งผลให้ประเทศไทยเข้าสู่ยุคประชาธิปไตยชั่วคราว มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมืองมากขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่ถือเป็นก้าวสำคัญของขบวนการประชาธิปไตยในไทย
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 มีความเชื่อมโยงกับ บริบททางการเมืองโลกในช่วงสงครามเย็น รวมถึง สงครามเวียดนาม และ อิทธิพลของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและโซเวียต อย่างชัดเจน แม้จะไม่ได้เป็นผลโดยตรง แต่บริบทและบรรยากาศทางการเมืองระหว่างประเทศในขณะนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองไทย และเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวทางประชาธิปไตยในประเทศ
1. สงครามเย็นและอิทธิพลของมหาอำนาจ
• ในช่วงสงครามเย็น ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับสหรัฐอเมริกาในการป้องกันการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค ซึ่งสหรัฐฯ กังวลว่าการขยายตัวของโซเวียตและจีนจะกระทบต่อความมั่นคงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
• ประเทศไทยกลายเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ โดยรับการสนับสนุนทั้งด้านเศรษฐกิจและการทหารเพื่อป้องกันคอมมิวนิสต์ ซึ่งนำมาสู่การตั้งฐานทัพสหรัฐฯ หลายแห่งในประเทศไทยในช่วงสงครามเวียดนาม
2. สงครามเวียดนามและการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์
• สงครามเวียดนามทำให้ไทยต้องรักษาเสถียรภาพภายในประเทศเพื่อสนับสนุนแนวคิดต่อต้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีการใช้มาตรการเผด็จการทหารในการควบคุมสังคมและจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก
• บรรยากาศในภูมิภาคนี้มีความตึงเครียด เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศตกอยู่ในอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ ไทยจึงได้รับแรงกดดันจากสหรัฐฯ ให้ป้องกันการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ภายในประเทศ ซึ่งรัฐบาลไทยในยุคนั้นใช้เป็นข้ออ้างในการควบคุมประชาชนและรักษาอำนาจเผด็จการ
3. อิทธิพลของสหรัฐอเมริกาในประเทศไทย
• สหรัฐอเมริกาสนับสนุนรัฐบาลไทยในการป้องกันคอมมิวนิสต์ ซึ่งนำไปสู่การลงทุนและการช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 แต่การพัฒนาเศรษฐกิจส่วนใหญ่กลับไม่ได้กระจายอย่างเป็นธรรม ซึ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม
• สหรัฐฯ ยังสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการทหารไทยเพื่อให้มีเสถียรภาพทางการเมืองและเป็นพันธมิตรที่มั่นคง แต่ในเวลาเดียวกัน ความตึงเครียดที่เกิดจากการปกครองแบบเผด็จการทำให้ประชาชนเริ่มเกิดความไม่พอใจและต้องการประชาธิปไตยมากขึ้น
4. แนวคิดประชาธิปไตยจากตะวันตกและการเคลื่อนไหวของนักศึกษา
• นักศึกษาและปัญญาชนไทยได้รับอิทธิพลจากแนวคิดประชาธิปไตยตะวันตกผ่านการศึกษาและการรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากโลกตะวันตก รวมถึงการรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิและเสรีภาพในต่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้เกิดขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในไทย
• กลุ่มนักศึกษาหลายคนที่ได้รับทุนไปศึกษาต่างประเทศหรือเรียนรู้แนวคิดประชาธิปไตยจากโลกตะวันตก นำมาสู่การปลูกฝังแนวคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพและความยุติธรรมทางสังคมในกลุ่มนักศึกษาไทย
แม้ว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 จะเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านเผด็จการทหารในประเทศไทยโดยตรง แต่บรรยากาศและบริบททางการเมืองโลกในช่วงสงครามเย็น รวมถึงอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาและมหาอำนาจอื่น ๆ ก็มีส่วนในการกดดันให้ประเทศไทยต้องรักษาเสถียรภาพด้วยการปกครองแบบเผด็จการ และเกิดความไม่พอใจของประชาชนจนกลายเป็นแรงขับเคลื่อนในการเคลื่อนไหวประชาธิปไตย
ในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 นักศึกษาจำนวนมากที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่ประชาธิปไตยถูกกดดันและปฏิบัติอย่างรุนแรงจากฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มเผด็จการทหาร จึงต้องหลบหนีเข้าป่าและเข้าร่วมกับ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) หรือ ผกค. โดย ผกค. เป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเผด็จการและมีอุดมการณ์สังคมนิยม-คอมมิวนิสต์
ลักษณะของนักศึกษาที่เข้าป่าและการเคลื่อนไหวร่วมกับ ผกค.
1. นักศึกษาและปัญญาชน: นักศึกษาจำนวนมากจากมหาวิทยาลัยและปัญญาชนที่มีอุดมการณ์เพื่อประชาธิปไตยและความยุติธรรมทางสังคม เช่น กลุ่มที่เคยเป็นแกนนำการเคลื่อนไหวในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ได้รับแรงกดดันและถูกข่มขู่หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา จึงตัดสินใจเข้าป่าเพื่อรวมพลังกับ ผกค. ในการต่อต้านรัฐบาล
2. การใช้ชีวิตในป่า: นักศึกษาเหล่านี้เข้าป่ามารวมตัวกับ ผกค. ซึ่งตั้งฐานที่มั่นอยู่ในพื้นที่ภูเขาและป่าทางภาคเหนือ ภาคอีสาน และบางส่วนของภาคใต้ ชีวิตในป่ามีความยากลำบาก นักศึกษาต้องฝึกการใช้ชีวิตร่วมกับสมาชิก ผกค. ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากความสะดวกสบาย ต้องฝึกอาวุธและการรบเพื่อป้องกันการโจมตีจากรัฐบาล
จุดประสงค์ของ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)
พคท. มีอุดมการณ์ที่เชื่อในระบบคอมมิวนิสต์และมุ่งหวังที่จะสร้าง สังคมที่มีความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคม โดยมีเป้าหมายหลัก ๆ ดังนี้:
1. การโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครอง
พคท. เชื่อว่าการปกครองแบบเผด็จการของไทยมีความไม่เป็นธรรมและสนับสนุนระบบทุนนิยมที่กดขี่ประชาชน จึงมีจุดมุ่งหมายที่จะล้มล้างระบบการปกครองนี้และแทนที่ด้วยระบบที่ให้ความสำคัญกับชนชั้นแรงงานและเกษตรกร
2. สร้างสังคมสังคมนิยมที่มีความเสมอภาค
พคท. มุ่งหวังที่จะสร้างสังคมที่มีความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม โดยลดการแบ่งแยกชนชั้นและความเหลื่อมล้ำ เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกันและให้ชนชั้นแรงงานเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ
3. การปลุกระดมชาวบ้านและชนชั้นแรงงาน
พคท. ต้องการสร้างความตระหนักรู้ให้กับชาวบ้านและชนชั้นแรงงานเพื่อให้พวกเขามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสังคม เป้าหมายคือการปลุกระดมให้คนกลุ่มนี้ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลและสร้างขบวนการที่เข้มแข็ง
คำถามเรื่องการล้มเจ้า
เรื่อง การล้มเจ้า เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อน พคท. ไม่ได้มีเป้าหมายโดยตรงในการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะนักศึกษาและประชาชนที่เข้าร่วมกับ พคท. หลายคนมีเจตนาที่จะต่อต้านเผด็จการทหารและเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ไม่ได้ต้องการล้มล้างสถาบัน อย่างไรก็ตาม แนวคิดแบบคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้นอาจมีการตั้งคำถามถึงบทบาทของชนชั้นนำในสังคม ซึ่งบางครั้งอาจถูกมองว่าเป็นการคุกคามต่อระบอบการปกครองของประเทศ
รัฐบาลไทยในสมัยนั้นมักใช้ประเด็นเรื่องการล้มเจ้าเป็นข้ออ้างในการปราบปรามผู้ที่มีอุดมการณ์คอมมิวนิสต์หรือต่อต้านเผด็จการ ซึ่งส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดว่ากลุ่มนักศึกษาและสมาชิก พคท. ต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
การที่นักศึกษาเข้าป่าร่วมกับ พคท. เป็นผลจากการกดดันทางการเมืองในประเทศและความเชื่อที่ต้องการเห็นสังคมไทยเปลี่ยนไปสู่ความเสมอภาคและยุติธรรมมากขึ้น จุดประสงค์หลักของ พคท. คือการต่อต้านเผด็จการทหารและสร้างสังคมที่มีความเท่าเทียม
แกนนำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอาจมีแนวคิดเรื่องการล้มเจ้า เพราะระบอบคอมมิวนิสต์ต่อต้านเรื่องพวกนี้
อย่างไรก็ตาม นักศึกษาที่เข้าป่าร่วมอุดมการณ์กับพรรคคอมมิวนิสต์ก็ไม่ได้มีแนวคิดเรื่องการล้มเจ้าเหมือนนักศึกษาในปัจจุบันที่คิดล้มเจ้าเป็นเรื่องหลัก สังเกตได้จากความพยายามในการยกเลิก ม.112 ที่ศาลตัดสินแล้วว่า จะนำไปสู่การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และล้มล้างการปกครองในที่สุด
ที่สำคัญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีบทบาทสำคัญในการ ยุติความขัดแย้งและเปิดทางสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย พระองค์ทรงแสดงบทบาทที่สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน และส่งเสริมการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างยั่งยืนในประเทศไทย