เจ้าพ่อการเงิน Bernie Madoff
กับคดีหลอกลวงแชร์ลูกโซ่ ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
โดย #อัษฎางค์ยมนาค
Bernie Madoff หรือที่หลายคนรู้จักกันว่า “เจ้าพ่อการเงิน Madoff” ซึ่งเกี่ยวข้องกับหนึ่งในคดีหลอกลวงแชร์ลูกโซ่ (Ponzi scheme) ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
Bernie Madoff เป็นนักการเงินและนักลงทุนในสหรัฐฯ ที่ได้ก่อตั้งบริษัทลงทุนของตัวเองและเริ่มดำเนินแผน Ponzi scheme ในช่วงปี 1990 โดยหลอกลวงนักลงทุนโดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูงและมั่นคง อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ใช้เงินที่ได้รับไปลงทุนจริง แต่กลับนำเงินจากนักลงทุนใหม่มาจ่ายเป็นผลตอบแทนให้กับนักลงทุนเก่า
คดีนี้แตกในปี 2008 เมื่อมีการเปิดเผยว่าเขาหลอกลวงนักลงทุนจนสูญเสียเงินไปกว่า 65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 2 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน นับเป็นหนึ่งในคดีแชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์และส่งผลกระทบต่อบุคคลและองค์กรจำนวนมากทั่วโลก Madoff ถูกตัดสินจำคุก 150 ปีในปี 2009 และเสียชีวิตในเรือนจำในปี 2021
Bernie Madoff หรือชื่อเต็มว่า Bernard Lawrence Madoff เป็นนักการเงินชาวอเมริกันที่เกิดเมื่อวันที่ 29 เมษายน 1938 ในเมืองควีนส์ รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเติบโตในครอบครัวชาวยิวที่มีพื้นฐานดีและเริ่มเข้าสู่วงการการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ในปี 1960 เขาก่อตั้งบริษัท Bernard L. Madoff Investment Securities LLC ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่โดดเด่นใน Wall Street
ประวัติส่วนตัวและการก่อตั้งบริษัท
Madoff เริ่มต้นธุรกิจด้วยการใช้เงินเก็บของตัวเองเพียง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐจากการทำงานพิเศษในช่วงหน้าร้อน และด้วยการสนับสนุนจากครอบครัว เขาสามารถเติบโตบริษัทจนกลายเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการซื้อขายหุ้น ในช่วงยุค 1970 และ 1980 เขาได้รับความน่าเชื่อถืออย่างมากในวงการการเงิน โดยเฉพาะในบทบาทของผู้บริหารระดับสูงของบริษัท Nasdaq และเคยดำรงตำแหน่งประธานบริษัทมาแล้ว นอกจากนี้ เขายังเป็นที่ปรึกษาให้กับหลายบริษัทและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา
กลโกงแชร์ลูกโซ่ (Ponzi Scheme) ของ Madoff
Madoff ใช้กลโกงแชร์ลูกโซ่ในรูปแบบ Ponzi scheme ซึ่งเป็นการหลอกลวงโดยใช้เงินจากนักลงทุนใหม่มาจ่ายเป็นผลตอบแทนให้กับนักลงทุนเก่า ทำให้นักลงทุนที่มีความเชื่อถือสูงได้รับเงินกลับไปเรื่อยๆ ในระยะต้น และทำให้พวกเขาเชื่อมั่นว่าแผนการลงทุนของ Madoff นั้นให้ผลตอบแทนสูงและมั่นคง ทั้งนี้ Madoff ไม่เคยนำเงินของนักลงทุนไปลงทุนในตลาดหุ้นจริง ๆ อย่างที่เขาอ้าง แต่กลับใช้วิธีการสร้างรายงานการลงทุนปลอมและทำให้ดูเหมือนว่ามีการลงทุนเกิดขึ้นจริง
กลยุทธ์ของเขาประกอบด้วย
สัญญาผลตอบแทนสูง
Madoff สัญญากับนักลงทุนว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูงถึง 10-12% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าการลงทุนแบบทั่วไปที่มักมีความเสี่ยง
การสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ
ด้วยตำแหน่งในตลาดหลักทรัพย์และประวัติในวงการการเงิน เขาสามารถสร้างความเชื่อถือในวงการได้เป็นอย่างดี นักลงทุนจึงมักไม่ตั้งข้อสงสัย
การใช้เครือข่ายบุคคล
Madoff มักใช้บุคคลที่มีฐานะและชื่อเสียงชักชวนนักลงทุนใหม่เข้ามาร่วมวง ทำให้กลโกงของเขาเติบโตไปทั่วโลก
การสร้างผลตอบแทนที่เสมอต้นเสมอปลาย
ไม่ว่าตลาดจะมีความผันผวนอย่างไร Madoff ก็ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าเขาสามารถให้ผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีความเสี่ยง
“Split-Strike Conversion”
กลยุทธ์ที่ Bernie Madoff อ้างว่าใช้ในการสร้างกำไรเรียกว่า “Split-Strike Conversion” ซึ่งเป็นเทคนิคการลงทุนในหุ้นและออปชันที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ดูมีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนที่เสมอต้นเสมอปลาย อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้เป็นเพียงข้ออ้างที่เขาใช้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการหลอกลวงนักลงทุน
ลักษณะของ “Split-Strike Conversion”
การซื้อหุ้นสามัญ (Common Stock): Madoff อ้างว่าจะลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งช่วยสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและน่าเชื่อถือ
การขายออปชัน Call (Covered Call): ในกลยุทธ์นี้ เขาจะขายออปชัน Call ที่มีราคาการใช้สิทธิเหนือราคาหุ้นที่ซื้อ เพื่อเพิ่มรายได้จากพรีเมียม (ค่าใช้จ่ายที่ผู้ซื้อออปชันต้องจ่ายให้)
การซื้อออปชัน Put (Protective Put): เพื่อป้องกันการขาดทุนในกรณีที่ราคาหุ้นตกต่ำ Madoff อ้างว่าเขาจะซื้อออปชัน Put ซึ่งเป็นการลงทุนที่ช่วยคุ้มครองพอร์ตโฟลิโอจากความเสี่ยง
กลยุทธ์นี้ฟังดูน่าเชื่อถือและมีโอกาสสร้างกำไรในสภาวะตลาดที่ผันผวน ทำให้นักลงทุนจำนวนมากเชื่อถือว่าเขามีความสามารถในการจัดการความเสี่ยงได้ดี อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง Madoff ไม่ได้นำเงินไปลงทุนตามกลยุทธ์นี้เลย เขาเพียงแค่หลอกลวงและใช้เงินของนักลงทุนใหม่มาจ่ายคืนให้กับนักลงทุนเก่าในลักษณะของ Ponzi scheme
การล่มสลายของแผน Ponzi
กลโกงของ Madoff ถูกเปิดเผยในปี 2008 หลังจากตลาดการเงินโลกเกิดวิกฤตจากวิกฤติการเงินโลกในปีนั้น (Global Financial Crisis) นักลงทุนจำนวนมากเริ่มขอถอนเงินลงทุน แต่ Madoff ไม่สามารถจ่ายคืนได้ เนื่องจากไม่มีการลงทุนจริง จึงทำให้เกิดการสืบสวน และในที่สุดลูกชายของเขาก็แจ้งความกับทางการว่า Madoff หลอกลวงนักลงทุน
ผลจากการเปิดโปงในครั้งนี้พบว่า Madoff ได้หลอกลวงนักลงทุนให้สูญเสียเงินรวมกว่า 65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งทำให้กลายเป็นหนึ่งในคดีแชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ในปี 2009 เขาถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลา 150 ปี และเสียชีวิตในเรือนจำในปี 2021
ผลกระทบจากการหลอกลวง
การโกงของ Madoff สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อนักลงทุนและวงการการเงินทั่วโลก ทั้งนักลงทุนรายบุคคล กองทุนเพื่อการเกษียณอายุ สถาบันการเงินขนาดใหญ่ รวมถึงองค์กรการกุศลหลายแห่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก บางแห่งต้องล้มละลายหรือสูญเสียทุนสำรองจำนวนมาก นอกจากนี้ คดีนี้ยังส่งผลให้เกิดการปรับปรุงกฎระเบียบของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ในสหรัฐฯ เพื่อป้องกันการเกิดคดี Ponzi scheme ในอนาคต