โดย อัษฎางค์ ยมนาค
สมเด็จย่าเลี้ยงลูกอย่างไร?
เนื่องในวันที่ 21 ตุลาคม เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของ ” สมเด็จย่า“สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีพระราชมารดาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9
สมเด็จย่าทรงมีพระราชกรณียกิจสำคัญมากมาย แต่มีเรื่องหนึ่งที่ไม่ค่อยเป็นที่พูดถึง คือความสำเร็จในการอบรมเลี้ยงดูพระราชธิดาและพระราชโอรส
ซึ่งถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้านคือ “เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นคนดีที่บำเพ็ญสาธารณะประโยชน์เพื่อความผาสุกของมวลมหาประชาชน จนกลายเป็นพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นที่รักและบูชายิ่งของคนไทย
วันนี้ขอลองวิเคราะห์ดู
การที่สมเด็จย่าเลี้ยงดูพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 จนทั้งสองพระองค์ทรงกลายเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศไทยอย่างมหาศาล สะท้อนถึงวิธีการเลี้ยงดูที่มีลักษณะพิเศษ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้:
1. ปลูกฝังความเรียบง่ายและความพอเพียง
สมเด็จย่าไม่ยึดติดกับความหรูหราหรือฐานะอันสูงส่ง แม้ว่าท่านจะเป็นพระราชมารดาของพระมหากษัตริย์ก็ตาม พระองค์ทรงปลูกฝังให้พระราชโอรสทั้งสองพระองค์ใช้ชีวิตเรียบง่ายและไม่ฟุ้งเฟ้อ ทรงเลี้ยงดูพระโอรสอย่างสามัญชน ไม่ใช้ชีวิตหรูหราท่ามกลางพระราชวัง ทรงปล่อยให้พระโอรสได้เรียนรู้การทำงานบ้านด้วยพระองค์เอง สิ่งนี้ทำให้พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์มีความใกล้ชิดกับประชาชน เข้าใจความเป็นอยู่ของคนทั่วไป และใช้ชีวิตอย่างสมถะ
2. ส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ด้วยตนเอง
สมเด็จย่าทรงเห็นถึงความสำคัญของการศึกษา และให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ พระองค์ทรงสนับสนุนให้พระโอรสทั้งสองได้ศึกษาในต่างประเทศ เพื่อเปิดโลกทัศน์และได้รับประสบการณ์จากสังคมที่มีความหลากหลาย การศึกษานี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้พระโอรสมีความรู้ในด้านวิชาการ แต่ยังทำให้เข้าใจความสำคัญของการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
3. ปลูกฝังคุณธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม
สมเด็จย่าทรงเน้นการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมในชีวิตประจำวันของพระโอรส พระองค์สอนให้ตระหนักถึงความสำคัญของการรับผิดชอบต่อสังคมและการทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ ทรงเน้นว่าหน้าที่ของกษัตริย์คือการรับใช้ประชาชน มิใช่เป็นเพียงผู้ปกครอง สิ่งนี้กลายเป็นหลักการสำคัญในการดำรงพระชนม์ชีพของทั้งรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ซึ่งทรงเห็นว่าการทำงานเพื่อประชาชนคือหัวใจของการปกครองประเทศ
4. สอนให้รู้จักความยืดหยุ่นและการปรับตัว
พระโอรสทั้งสองพระองค์เติบโตขึ้นในยุคสมัยที่มีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม สมเด็จย่าทรงสอนให้พระโอรสเรียนรู้การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับเหตุการณ์ความไม่สงบ หรือการปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมที่แตกต่างขณะศึกษาในต่างประเทศ สิ่งนี้ทำให้พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์มีความยืดหยุ่นและสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. เป็นตัวอย่างในด้านความเสียสละและความเพียร
สมเด็จย่าทรงแสดงให้พระโอรสเห็นถึงการทำงานอย่างขยันขันแข็งและความเสียสละ พระองค์เองทรงผ่านชีวิตที่มีความลำบากมาก่อน และทรงต่อสู้เพื่อให้พระโอรสทั้งสองได้รับการศึกษาและการเลี้ยงดูที่ดี พระองค์ไม่ได้เพียงแต่บอกสอน แต่ยังเป็นแบบอย่างที่ดีให้พระโอรสเห็นถึงคุณค่าของการทำงานหนักและการรับผิดชอบต่อผู้อื่น
6. การปลูกฝังความรักในแผ่นดิน
สมเด็จย่าทรงสอนให้พระโอรสรักและเห็นคุณค่าของแผ่นดินไทย ทรงทำให้พระโอรสตระหนักว่าหน้าที่ของพระมหากษัตริย์คือการรักษาและพัฒนาประเทศให้ประชาชนมีความสุข พระองค์ยังทรงสอนให้เข้าใจถึงประเพณี วัฒนธรรม และความเป็นไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ยึดถือและปฏิบัติตลอดพระชนม์ชีพ
7. เปิดโอกาสให้พระโอรสได้ตัดสินใจด้วยพระองค์เอง
สมเด็จย่าไม่ใช่แม่ที่ควบคุมทุกอย่าง ทรงเปิดโอกาสให้พระโอรสได้คิดและตัดสินใจด้วยตนเอง ทำให้พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์มีความมั่นใจในตนเองและสามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญได้อย่างรอบคอบและมีความรับผิดชอบ การปล่อยให้พระโอรสเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงนี้เป็นการเตรียมพระองค์ให้พร้อมสำหรับบทบาทการเป็นผู้นำในอนาคต
จากวิธีการเลี้ยงดูเหล่านี้ ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 กลายเป็นกษัตริย์ที่เป็นที่รักและเคารพของประชาชนไทย พระองค์ทั้งสองทรงมีพระราชกรณียกิจมากมายที่มุ่งเน้นการพัฒนาประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน
การเลี้ยงลูกของสมเด็จย่ามีหลายองค์ประกอบที่สอดคล้องกับหลักจิตวิทยาสมัยใหม่ โดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาอุปนิสัยและบุคลิกภาพของเด็ก ตลอดจนการสร้างความรับผิดชอบและคุณธรรมต่อสังคม หลักจิตวิทยาที่สามารถนำมาอธิบายแนวทางการเลี้ยงดูของสมเด็จย่าได้
มีดังนี้:
1. การเลี้ยงดูแบบยึดการสนับสนุน (Authoritative Parenting)
หลักจิตวิทยาเรื่อง การเลี้ยงดูแบบยึดการสนับสนุน หรือ Authoritative Parenting ถือเป็นรูปแบบการเลี้ยงดูที่สมดุลระหว่างความเข้มงวดและความยืดหยุ่น ผู้ปกครองในแนวทางนี้จะให้คำแนะนำที่ชัดเจน แต่ก็จะเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิดเห็น และสนับสนุนการเรียนรู้และการตัดสินใจของพวกเขาเอง
สมเด็จย่าทรงสนับสนุนให้พระราชโอรสมีโอกาสเรียนรู้จากประสบการณ์ด้วยตัวเองและสามารถตัดสินใจด้วยตนเองในบางเรื่อง ขณะเดียวกันก็ทรงตั้งมาตรฐานที่สูงในการทำงานหนัก ความรับผิดชอบ และความมีคุณธรรม สิ่งนี้ช่วยสร้างสมดุลในการพัฒนาเด็กให้มีความมั่นใจในตนเองและมีความสามารถในการเผชิญหน้ากับความท้าทาย
2. ทฤษฎีพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ของ Erik Erikson
การพัฒนาเด็กตามทฤษฎีของ Erik Erikson อธิบายการเติบโตของบุคลิกภาพตามระยะของชีวิต โดยเน้นการสร้างความมั่นใจในตนเองและการพัฒนาความรับผิดชอบต่อสังคม ในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น เป็นช่วงที่เด็กต้องเรียนรู้เรื่องความไว้วางใจในตนเองและผู้อื่น รวมถึงการรู้จักเป้าหมายและหน้าที่ของตนในสังคม
สมเด็จย่าทรงปลูกฝังให้พระโอรสเรียนรู้เรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม และการทำประโยชน์เพื่อประชาชนตั้งแต่ยังเยาว์วัย การปลูกฝังเรื่องการพึ่งพาตนเอง การทำงานหนัก และการเสียสละเป็นสิ่งสำคัญในระยะพัฒนาการนี้ ซึ่งทำให้พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์เติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำที่เข้าใจและพร้อมจะรับใช้สังคมอย่างจริงจัง
3. การส่งเสริมการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking)
หนึ่งในคุณสมบัติสำคัญที่พระโอรสทั้งสองพระองค์ได้รับจากการเลี้ยงดูของสมเด็จย่าคือ การพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) สมเด็จย่าทรงเปิดโอกาสให้พระโอรสได้ตัดสินใจด้วยตนเอง และไม่ได้ควบคุมทุกอย่าง สิ่งนี้ช่วยให้พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์มีความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาและเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ซึ่งเป็นทักษะสำคัญสำหรับผู้นำ
หลักจิตวิทยาเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์เน้นให้เด็กได้ฝึกการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ส่งเสริมให้พวกเขาเห็นความเชื่อมโยงระหว่างการกระทำกับผลลัพธ์ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจและรับผิดชอบต่อการกระทำของตน
4. การปลูกฝังความสามารถในการปรับตัว (Resilience)
หลักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการปรับตัวหรือ Resilience เป็นแนวคิดที่ว่าคนเราควรมีความสามารถในการฟื้นตัวจากความล้มเหลวหรือความท้าทาย สมเด็จย่าทรงเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากหลายครั้งในชีวิตส่วนตัว ซึ่งสิ่งนี้ทำให้พระองค์ทรงสอนพระโอรสถึงความสำคัญของการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค
การที่สมเด็จย่าทรงสอนให้พระโอรสเห็นถึงคุณค่าของการทำงานหนักและความเพียรพยายาม เป็นการสร้างพื้นฐานให้พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์มีความสามารถในการเผชิญกับวิกฤตและความท้าทายทางการเมืองและสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในการดำรงตำแหน่งผู้นำ
5. การสร้างคุณค่าในตนเอง (Self-Esteem)
สมเด็จย่าทรงสนับสนุนให้พระโอรสทั้งสองมีความมั่นใจในตนเองโดยไม่ยึดติดกับพระยศหรืออำนาจ แต่เน้นให้เห็นคุณค่าในความพยายามและความสามารถของตนเอง การสอนให้รู้จักการทำงานหนักและการเห็นคุณค่าในความสามารถของตนเอง เป็นการเสริมสร้าง Self-Esteem ตามหลักจิตวิทยา
การที่สมเด็จย่าไม่ได้เน้นเรื่องฐานะสูงศักดิ์ในการเลี้ยงดู แต่ปลูกฝังความพยายามและการรู้จักพึ่งพาตนเอง ทำให้พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์มีความมั่นใจและมีความเข้าใจในบทบาทของตนในฐานะผู้นำของประเทศ
6. การสร้างทัศนคติแห่งการบริการ (Servant Leadership)
หลักการ Servant Leadership หรือการเป็นผู้นำที่รับใช้ เป็นแนวคิดที่เน้นว่าผู้นำที่ดีต้องมุ่งเน้นการทำงานเพื่อผู้อื่นและสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม สมเด็จย่าทรงเน้นให้พระโอรสเข้าใจว่าหน้าที่ของกษัตริย์คือการรับใช้ประชาชน ไม่ใช่การปกครองอย่างเด็ดขาด สิ่งนี้เป็นหลักการสำคัญที่เห็นได้จากพระราชกรณียกิจของทั้งสองพระองค์ ที่ทรงมุ่งมั่นพัฒนาประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนตลอดพระชนม์ชีพ
การเลี้ยงดูของสมเด็จย่าตามหลักจิตวิทยานี้ เน้นการสนับสนุนการเรียนรู้ด้วยตนเอง การปลูกฝังความรับผิดชอบต่อสังคม และการสร้างทัศนคติที่ยืดหยุ่นและเข้มแข็ง ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ทรงเติบโตเป็นผู้นำที่ประชาชนไทยรักและเคารพ