โดย อัษฎางค์ ยมนาค
23 ตุลาคม | สมเด็จพระปิยมหาราช
น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่ทรงพัฒนาชาติไทยรุดหน้าจนทำให้ไม่ให้ตกเป็นทาสใคร
คนยุคนี้โดนนักการเมืองและอาจารย์ผู้เฒ่าหลอกให้ออกมาพูดว่า เสียดายที่ไทยไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก เลยทำให้ไทยยังไม่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วเหมือนชาติอาณานิคมอื่นๆ
ความจริง คำว่า “อาณานิคม” หมายถึง การถูกปกครอง ควบคุม แทรกแซง กดขี่และขูดรีด
คนยุคนี้เกลียดคำว่า ไพร่และทาส แต่กลับอยากเป็นไพร่และทาสชาติตะวันตก
ในโลกนี้ มีเพียง 5 ประเทศในโลกเท่านั้นที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของยุโรปอย่างสมบูรณ์
การที่ไทยไม่ตกเป็นอาณานิคมก็ด้วยพระปรีชาสามารถที่สำคัญได้แก่ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยการทูตเพื่อถ่วงดุลอำนาจและหาเสียงสนับสนุน และการปฏิรูปเพื่อพัฒนาประเทศให้ทันสมัยทุกด้าน
คือหัวใจสำคัญที่เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว กล่าวคือ ไทยรอดพ้นการตกเป็นอาณานิคมและประเทศได้รับการพัฒนารุดหน้าแบบก้างกระโดด กลายเป็นประเทศชั้นนำของเอเชีย
• Never colonized by Europe
ห้าประเทศในโลกเท่านั้นที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคม
1. ประเทศไทย (สยาม)
สาเหตุที่ไม่ตกเป็นอาณานิคม (มีรายละเอียดอยู่ในบทความนี้ในช่วงต่อไป)
2. ญี่ปุ่น
สาเหตุที่ไม่ตกเป็นอาณานิคมเพราะ ญี่ปุ่นกลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจในเอเชีย จากการพัฒนาประเทศในทุกด้าน ได้แก่
“การปฏิรูปเมจิ” ซึ่งเป็นการฟื้นฟูอำนาจของจักรพรรดิและการปฏิรูประบบการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมให้ทันสมัยตามแบบตะวันตก ภายใต้การนำของจักรพรรดิเมจิ ญี่ปุ่นได้เปลี่ยนแปลงจากประเทศที่มีระบบศักดินามาเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ทันสมัยในระยะเวลาอันสั้น
สร้างความสัมพันธ์ทางการทูตที่สมดุลกับมหาอำนาจตะวันตกการพัฒนากองทัพนี้ทำให้ญี่ปุ่นมีความเข้มแข็ง มีภูมิศาสตร์ที่เป็นหมู่เกายากต่อการรุกรานทำให้เป็นข้อได้เปรียบ
ญี่ปุ่นไม่ได้เพียงแค่ป้องกันตัวเองจากการตกเป็นอาณานิคม แต่ยังกลายเป็นจักรวรรดิที่ล่าอาณานิคมเองในภายหลัง ญี่ปุ่นขยายอิทธิพลทางทหารและเศรษฐกิจในเอเชีย โดยการยึดครองเกาหลีและบางส่วนของจีน รวมถึงเขตอิทธิพลในแมนจูเรีย ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจในเอเชียในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
3. เกาหลี
สาเหตุที่เกาหลีไม่ตกเป็นอาณานิคมเพราะ เกาหลีตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่นจนถึงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
4. เอธิโอเปีย
สาเหตุที่ทำให้ไม่ตกเป็นอาณานิคม เพราะมีตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ยากต่อการรุกราน และผู้นำที่เข้มแข็งและการปฏิรูป
ภายใต้การนำของ จักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 เอธิโอเปียได้ดำเนินการปฏิรูปกองทัพและสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับชาติมหาอำนาจอื่น ๆ เช่น ฝรั่งเศส และรัสเซีย ทำให้เอธิโอเปียได้รับการสนับสนุนและป้องกันจากการตกเป็นอาณานิคมของอิตาลี
5. ไลบีเรีย
สาเหตุที่ทำให้ไม่ตกเป็นอาณานิคม เพราะเป็นประเทศที่ “ทาสเก่าของอเมริกัน โดย American Colonization Society” ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีเป้าหมายในการปล่อยทาสแอฟริกันจากสหรัฐฯ และตั้งพวกเขาขึ้นเป็นผู้ปกครองของดินแดนใหม่นี้ แม้ว่าจะมีลักษณะเหมือนเป็นอาณานิคม แต่สหรัฐฯ ไม่ได้เข้ามาปกครองไลบีเรียโดยตรง และรัฐบาลไลบีเรียเองก็ได้รับเอกราชอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1847
• Partially controlled or influenced by Europe
ประเทศที่ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาติมหาอำนาจยุโรปอย่างเต็มรูปแบบ แต่ตกอยู่ในอำนาจควบคุมบางส่วน หรือมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจที่สำคัญในดินแดนนั้น เช่น การเมือง เศรษฐกิจ หรือวัฒนธรรม ได้แก่
จีน: แม้จะไม่ตกเป็นอาณานิคมโดยตรงจากชาติตะวันตก แต่ก็ถูกแทรกแซงและควบคุมในหลายด้าน โดยเฉพาะการควบคุมเมืองท่าสำคัญและการสูญเสียอำนาจอธิปไตยในบางพื้นที่ เช่น ฮ่องกง มาเก๊า และเขตสัมปทานต่าง ๆ
อัฟกานิสถานและซาอุดีอาระเบีย: ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมอย่างสมบูรณ์ แต่เคยถูกครอบงำบางส่วน
• อาณานิคมหมายถึงอะไร?
อาณานิคม หมายถึงดินแดนหรือประเทศที่ถูกปกครองหรือควบคุมโดยชาติอื่น
ลักษณะของอาณานิคม
1. การควบคุมโดยมหาอำนาจต่างชาติ
อาณานิคมถูกปกครองหรือควบคุมโดยประเทศมหาอำนาจ (เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน หรือโปรตุเกส) โดยมหาอำนาจเหล่านี้จะเข้ามาแทรกแซงและปกครองดินแดนในแง่ต่าง ๆ เช่น การปกครอง การจัดเก็บภาษี การกำหนดกฎหมาย และการใช้ทรัพยากร
2. การขูดรีดทรัพยากรธรรมชาติ
มหาอำนาจที่ครอบครองอาณานิคมมักมีเป้าหมายในการขูดรีดทรัพยากรธรรมชาติจากดินแดนที่ยึดครอง เช่น การนำเอาทรัพยากรแร่ธาตุ น้ำมัน ยางพารา และผลิตผลทางการเกษตรไปใช้ในประเทศของตนเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจและอำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศแม่ (Mother Country)
3. การแทรกแซงทางการเมืองและการปกครอง
อาณานิคมมักจะอยู่ภายใต้การปกครองจากผู้แทนที่ถูกแต่งตั้งโดยมหาอำนาจ ซึ่งเข้ามาใช้อำนาจในการปกครองและควบคุมดินแดนนั้น ๆ บางครั้งการปกครองแบบนี้อาจมีลักษณะเป็น รัฐบาลหุ่นเชิด (Puppet Government) ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของประเทศผู้ยึดครอง
4. การแทรกแซงทางวัฒนธรรมและศาสนา
ชาติมหาอำนาจมักพยายามแทรกแซงทางวัฒนธรรมและศาสนาในอาณานิคม เช่น การเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในดินแดนแอฟริกาและเอเชีย หรือการส่งเสริมให้คนในอาณานิคมยอมรับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมตะวันตก นอกจากนี้ ภาษา วัฒนธรรม และระบบการศึกษาแบบใหม่ก็จะถูกนำมาใช้ในอาณานิคมด้วย
5. การกดขี่ประชากรในอาณานิคม
ประชากรในอาณานิคมมักจะถูกกดขี่ในหลายด้าน เช่น ถูกเก็บภาษีสูง การบังคับใช้แรงงาน และการกดขี่เสรีภาพ โดยชาวอาณานิคมมักจะไม่ได้รับสิทธิเสรีภาพเท่ากับประชากรในประเทศแม่
6. การใช้กองกำลังทหารและตำรวจในการควบคุม
เพื่อรักษาอำนาจและควบคุมอาณานิคม มหาอำนาจมักใช้กองกำลังทหารและตำรวจในการปราบปรามการต่อต้านหรือการกบฏที่อาจเกิดขึ้นจากประชากรในอาณานิคม
7. การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจและการค้า
อาณานิคมมักจะถูกบังคับให้ผลิตสินค้าและทรัพยากรเพื่อส่งออกไปยังประเทศแม่ และอาจถูกบังคับให้ซื้อสินค้าจากประเทศแม่เท่านั้น ระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมของอาณานิคมมักจะถูกทำลายและแทนที่ด้วยระบบเศรษฐกิจที่เอื้อประโยชน์ต่อมหาอำนาจ
อาณานิคมมีลักษณะสำคัญ คือการที่ดินแดนที่ถูกมหาอำนาจต่างชาติเข้ามาควบคุมอย่างสมบูรณ์ในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยที่ประชากรในอาณานิคมมักถูกกดขี่และถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความมั่งคั่งและอำนาจของประเทศผู้ยึดครอง
• รัชกาลที่ 5 ทำให้ไทยไม่ตกเป็นอาณานิคมได้อย่างไร
ในสมัยรัชกาลที่ 5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ประเทศไทย (สยาม) สามารถรอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกได้โดยใช้หลายวิธีการที่ชาญฉลาดและมีวิสัยทัศน์ ซึ่งประกอบด้วย
รัชกาลที่ 5 ทรงใช้การผสมผสานระหว่าง การทูต การปฏิรูปภายในประเทศ และการยอมเสียดินแดนบางส่วน เพื่อรักษาเอกราชของสยามไว้ในยุคล่าอาณานิคมที่ชาติตะวันตกเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างหนัก
ในยุคสมัยของ รัชกาลที่ 5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ซึ่งตรงกับช่วง ยุคล่าอาณานิคม ไทยสามารถปรับตัวและนำการปฏิรูปเพื่อทำให้ประเทศ “ทันสมัย” เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก รัชกาลที่ 5 ทรงตระหนักถึงความจำเป็นในการพัฒนาประเทศให้ทันสมัยเพื่อลดข้ออ้างของมหาอำนาจตะวันตกในการเข้ามาครอบงำไทย โดยมีสิ่งที่ไทยทำในยุคนั้นที่ถือว่า ทันสมัยหรือล้ำหน้ากว่าประเทศอื่น อยู่หลายประการ ดังนี้:
1. การเปิดประเทศ การเจรจาทางการทูตและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
• รัชกาลที่ 5 ทรงใช้การเจรจาทางการทูตอย่างมีประสิทธิภาพ ทรงเสด็จประพาสยุโรป 2 ครั้งเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชาติมหาอำนาจในยุโรป การเจรจากับชาติมหาอำนาจ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมันและรัสเซีย เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งกับชาติตะวันตก ซึ่งช่วยเสริมภาพลักษณ์ของสยามว่าเป็นประเทศที่มีความทันสมัยและสามารถปกครองตนเองได้
2. การยอมยกดินแดนบางส่วน
• เพื่อรักษาเอกราชของสยาม รัชกาลที่ 5 ทรงยอม ยกดินแดนบางส่วนให้กับฝรั่งเศสและอังกฤษ เช่น ยกดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง (ลาวในปัจจุบัน) ให้ฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2436 (วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112) และยก 4 รัฐมลายูให้กับอังกฤษ (รัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี และปะลิส) เพื่อรักษาเอกราชของสยามไว้ไม่ให้ถูกมหาอำนาจตะวันตกครอบงำเต็มรูปแบบ
• แม้จะสูญเสียดินแดนไปบางส่วน แต่พระองค์ทรงเห็นว่าการเสียสละดังกล่าวคุ้มค่ากับการรักษาเอกราชของประเทศ
ในขณะที่ใช้ทรงกลยุทธ์ทางการทูตรับมือกับการรุกรานอย่างหนักจากภัยภายนอกประเทศ กิจการในประเทศก็ทรงยกเครื่องปฏิรูปใหม่ทั้งหมด เป็นการทำงานทั้ง 2 ด้านพร้อมกัน ดังนี้
3. การปฏิรูประบบราชการ
• รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูป ระบบราชการ โดยจัดตั้งกระทรวงต่าง ๆ ที่ทันสมัยขึ้นเพื่อการปกครองที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงกลาโหม ทำให้การปกครองของไทยมีระบบแบบสมัยใหม่คล้ายคลึงกับประเทศในยุโรป
• การเลิกระบบศักดินาและการปรับปรุงระบบการปกครองให้เป็นไปตามหลักการปกครองที่มีประสิทธิภาพ ลดการใช้อำนาจของขุนนางท้องถิ่น ทำให้การปกครองเป็นไปอย่างมีระเบียบมากขึ้น
4. การเลิกทาส
• การเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ 5 ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ไทยมีความก้าวหน้าทางสังคม ทรงดำเนินการอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งในสังคมโดยค่อย ๆ ลดจำนวนทาสทีละน้อย จนถึงปี พ.ศ. 2448 จึงสามารถเลิกทาสได้สำเร็จ
• การเลิกทาสช่วยให้ไทยถูกมองว่าเป็นประเทศที่มีความเจริญทางสังคมเทียบเท่ากับตะวันตก ซึ่งหลายประเทศที่เป็นอาณานิคมของยุโรปในยุคนั้นยังคงมีระบบทาสอยู่
5. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม
• รัชกาลที่ 5 ทรงพัฒนา ระบบคมนาคม ที่ทันสมัย เช่น การสร้างทางรถไฟ ซึ่งเป็นระบบขนส่งที่สำคัญในยุคนั้น โดยเส้นทางรถไฟสายแรกจากกรุงเทพฯ ไปยังนครราชสีมาได้เปิดใช้งานในปี พ.ศ. 2433 และมีการขยายเส้นทางเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ
• นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาถนน การสร้างสะพาน และการเปิดใช้งาน การสื่อสารแบบโทรเลข ทำให้การติดต่อสื่อสารในประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น
6. การพัฒนาระบบการศึกษา
• ไทยได้ปฏิรูประบบการศึกษา โดยการจัดตั้ง โรงเรียนสมัยใหม่ ขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองต่าง ๆ รวมถึงการส่งนักเรียนไปศึกษาต่อในต่างประเทศ โดยเฉพาะยุโรป เพื่อให้นำความรู้สมัยใหม่กลับมาพัฒนาประเทศ
• การจัดตั้งโรงเรียนหลวง (โรงเรียนรัฐบาล) เช่น โรงเรียนสวนกุหลาบ และการเปิดโรงเรียนแบบตะวันตกเพื่อส่งเสริมการศึกษาที่มีคุณภาพมากขึ้น
7. การพัฒนาระบบสาธารณสุข
• ไทยเริ่มพัฒนาระบบสาธารณสุขสมัยใหม่ เช่น การก่อตั้ง โรงพยาบาลศิริราช ในปี พ.ศ. 2431 ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์จากตะวันตก ทำให้ระบบสาธารณสุขของไทยทันสมัยและเป็นมาตรฐานสากล
• มีการส่งเสริมการศึกษาด้านการแพทย์ โดยการตั้งโรงเรียนแพทย์ที่สอนแพทย์ในแบบแผนใหม่
8. การปรับระบบกฎหมายให้เข้ากับมาตรฐานสากล
• ทรงปฏิรูปกฎหมายสยามให้ทันสมัยโดยนำระบบกฎหมายแบบตะวันตกมาใช้ เช่น การจัดตั้งกระทรวงยุติธรรม การยกเลิกระบบไพร่ และระบบทาส ยกเลิกระบบการตัดสินคดีแบบโบราณ และแทนที่ด้วยกระบวนการทางกฎหมายที่เป็นธรรมและมีมาตรฐาน ทำให้ประเทศไทยมีระบบกฎหมายที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
ในยุคสมัยของรัชกาลที่ 5 ไทยมีการพัฒนาในหลายด้านที่ทำให้ประเทศมีความทันสมัยและล้ำหน้ากว่าหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งรวมถึงการปฏิรูปการปกครอง การเลิกทาส การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และสาธารณสุข เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ช่วยให้ไทยรอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคม
รัชกาลที่ 5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงนำการพัฒนาหลายด้านที่ทันสมัยมาใช้ในประเทศไทย ซึ่งบางด้านถือว่าเป็นการนำมาใช้ในประเทศไทยเป็นชาติแรก ๆ ในภูมิภาคเอเชียหรือในโลก
นี่คือตัวอย่างของสิ่งใหม่ ๆ ที่รัชกาลที่ 5 ทรงพัฒนาขึ้น
1. รถไฟ
รัชกาลที่ 5 ทรงริเริ่มการสร้าง ทางรถไฟ ในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในชาติแรก ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการใช้รถไฟ โดยเส้นทางรถไฟสายแรกจาก กรุงเทพฯ (หัวลำโพง) ไปยังพระนครศรีอยุธยา เปิดใช้ในปี พ.ศ. 2439 และต่อมาได้ขยายเส้นทางไปยัง นครราชสีมา ในปี พ.ศ. 2443 ถือเป็นส่วนหนึ่งของความทันสมัยของประเทศไทยในยุคนั้น
2. ไฟฟ้า
ไทยเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ในเอเชียที่มีการใช้ ไฟฟ้า ในเมืองหลวง โดยไฟฟ้าถูกนำมาใช้ครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อให้แสงสว่างในพระบรมมหาราชวัง ในปี พ.ศ. 2427 ต่อมาได้ขยายการใช้ไฟฟ้าไปยังพื้นที่อื่น ๆ ในกรุงเทพฯ เช่น โรงแรมโอเรียนเต็ล ถือเป็นการนำเทคโนโลยีไฟฟ้าที่ทันสมัยในยุคนั้นมาใช้ก่อนหลายประเทศในภูมิภาค
3. โทรคมนาคม
รัชกาลที่ 5 ทรงริเริ่มการใช้ โทรเลข ในไทย ซึ่งเป็นระบบการสื่อสารที่ล้ำสมัยในขณะนั้น การติดตั้งระบบโทรเลขในไทยเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2418 โดยมีเส้นทางโทรเลขเชื่อมระหว่างกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ๆ เช่น พระนครศรีอยุธยา นอกจากนี้ยังมีการใช้ โทรศัพท์ ในกรุงเทพฯ ในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วย
4. ถนน
สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงพัฒนาระบบ ถนนสมัยใหม่ ในกรุงเทพฯ เช่น ถนนเจริญกรุง ซึ่งเป็นถนนสายแรกที่สร้างด้วยมาตรฐานสมัยใหม่ และเป็นถนนที่มีความสำคัญในการพัฒนาเมืองหลวงให้ทันสมัย นอกจากนี้ยังมีการสร้างถนนใหม่หลายสายเพื่ออำนวยความสะดวกในการคมนาคมในเมืองและเชื่อมต่อหัวเมืองใหญ่
5. โรงพยาบาลสมัยใหม่
ในปี พ.ศ. 2431 รัชกาลที่ 5 ทรงก่อตั้ง โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสมัยใหม่แห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โรงพยาบาลศิริราชเป็นโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานทางการแพทย์สมัยใหม่ที่ใกล้เคียงกับมาตรฐานสากล และยังคงเป็นสถาบันทางการแพทย์ที่สำคัญจนถึงปัจจุบัน
6. การศึกษา
รัชกาลที่ 5 ทรงปรับปรุงระบบการศึกษาโดยการตั้ง โรงเรียนสมัยใหม่ เช่น โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และการก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เน้นการศึกษาตามแนวคิดตะวันตก และส่งเสริมการศึกษาที่ทันสมัยในทุกระดับ
7. ระบบไปรษณีย์
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงก่อตั้ง กรมไปรษณีย์ไทย ขึ้นในปี พ.ศ. 2426 ทำให้การส่งจดหมายและพัสดุเป็นไปอย่างมีระบบ และถือเป็นการนำระบบไปรษณีย์สมัยใหม่เข้ามาใช้เป็นครั้งแรก ๆ ในภูมิภาค
8. เงินตราสมัยใหม่
รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูประบบ เงินตราสมัยใหม่ โดยนำระบบเหรียญเงินที่มีมาตรฐานสากลเข้ามาใช้ ทำให้ระบบการเงินของไทยมีความเสถียรและทันสมัยมากขึ้น นอกจากนี้ยังทรงก่อตั้ง ธนาคารสยามกัมมาจล ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกของไทย
9. การเลิกทาส
แม้จะไม่ใช่เทคโนโลยีหรือสิ่งก่อสร้าง แต่ การเลิกทาส ในปี พ.ศ. 2448 ถือเป็นความก้าวหน้าทางสังคมที่ล้ำสมัยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในยุคนั้นหลายประเทศในเอเชียยังคงมีระบบทาสอยู่ แต่การเลิกทาสในไทยเป็นการส่งเสริมความเสมอภาคในสังคมและเป็นหนึ่งในความทันสมัยที่สำคัญ
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ไทยได้มีการพัฒนาหลายด้านที่ทันสมัยและนำหน้าในภูมิภาคเอเชีย เช่น การสร้างทางรถไฟ การใช้ไฟฟ้า การพัฒนาโทรคมนาคม ระบบการแพทย์ การศึกษา และการปฏิรูประบบการเงิน ซึ่งช่วยให้ประเทศไทยสามารถรักษาเอกราชและไม่ตกเป็นอาณานิคม
การที่ประเทศหนึ่งสามารถรักษาเอกราชและไม่ตกเป็นอาณานิคมได้นำมาซึ่งความภาคภูมิใจและประโยชน์หลายประการทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสังคม ความภาคภูมิใจและประโยชน์จากการไม่ตกเป็นอาณานิคมมีดังนี้:
ความน่าภาคภูมิใจ
1. การรักษาอธิปไตยและเอกราช
• การไม่ตกเป็นอาณานิคมแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาเอกราชและอธิปไตยของประเทศ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จในการต้านทานมหาอำนาจต่างชาติที่พยายามเข้ามาครอบงำ
• ประเทศเช่นไทยและญี่ปุ่นสามารถปกครองตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาหรือถูกควบคุมโดยมหาอำนาจอื่น
2. ความเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง
• การไม่ตกเป็นอาณานิคมแสดงถึงการมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และความสามารถในการนำประเทศผ่านช่วงเวลาที่มีความท้าทาย เช่น รัชกาลที่ 5 ของไทย หรือจักรพรรดิเมจิของญี่ปุ่น ซึ่งทั้งสองท่านเป็นผู้นำที่ปฏิรูปประเทศและทำให้ประเทศก้าวทันสมัยเพื่อป้องกันการถูกรุกราน
• ผู้นำเหล่านี้เป็นที่ยอมรับและยกย่องจากประชาชนจนถึงปัจจุบัน
3. ความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชาติ
• การไม่ตกเป็นอาณานิคมทำให้ประเทศสามารถรักษา วัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิม ไว้ได้อย่างเข้มแข็ง โดยไม่ถูกแทรกแซงจากวัฒนธรรมต่างชาติอย่างรุนแรงเหมือนในประเทศที่ถูกล่าอาณานิคม
• ประเทศที่รักษาเอกราชไว้มักมีความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของตนเอง ทั้งในด้านภาษา วัฒนธรรม ศาสนา และประวัติศาสตร์
ประโยชน์จากการไม่ตกเป็นอาณานิคม
1. อิสรภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจ
• ประเทศที่ไม่ตกเป็นอาณานิคมสามารถควบคุมทรัพยากรธรรมชาติและระบบเศรษฐกิจของตนเองได้ โดยไม่ถูกชาติมหาอำนาจขูดรีดหรือควบคุมเศรษฐกิจเหมือนที่เกิดขึ้นในอาณานิคม
• ประเทศสามารถเลือกแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าได้อย่างอิสระ ซึ่งส่งเสริมความเจริญทางเศรษฐกิจในระยะยาว
2. ความสามารถในการกำหนดนโยบายการเมืองเอง
• การไม่ตกเป็นอาณานิคมหมายถึงการที่ประเทศสามารถกำหนดนโยบายการเมือง การปกครอง และการทูตด้วยตนเอง ไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งจากมหาอำนาจต่างชาติ ทำให้สามารถสร้างระบบการปกครองที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมและสถานการณ์ของประเทศ
• ประเทศสามารถรักษาความเป็นเอกราชในเวทีระหว่างประเทศและเจรจาต่อรองกับประเทศอื่นได้อย่างเสรี
3. การรักษาและพัฒนาศักยภาพทางสังคม
• การไม่ตกเป็นอาณานิคมช่วยให้ประเทศสามารถรักษาโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนไว้ได้ โดยไม่ถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงตามนโยบายของประเทศผู้ล่าอาณานิคม
• ส่งเสริมการพัฒนาการศึกษาและระบบสาธารณสุขที่เหมาะสมกับสภาพสังคมของตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาหรือถูกแทรกแซงจากต่างชาติ
4. อำนาจในการควบคุมทรัพยากรธรรมชาติ
• การที่ประเทศไม่ถูกล่าอาณานิคมทำให้สามารถควบคุมและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของตนเองได้อย่างเต็มที่ เช่น น้ำมัน แร่ธาตุ หรือทรัพยากรเกษตร โดยไม่ต้องเสียทรัพยากรเหล่านี้ให้กับประเทศมหาอำนาจที่มักเข้ามายึดครองและขูดรีดในอาณานิคม
การไม่ตกเป็นอาณานิคมนำมาซึ่งความภาคภูมิใจในด้านการรักษาเอกราช การปกป้องวัฒนธรรม และการมีผู้นำที่เข้มแข็ง รวมถึงมีประโยชน์ในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ การปกครอง และการใช้ทรัพยากรของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ
ภูมิใจเถิดที่เกิดเป็นไทย
น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
ที่ทรงพัฒนาชาติไทยรุดหน้าจนทำให้ไม่ให้ตกเป็นทาสใคร