โดย อัษฎางค์ ยมนาค
โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทั้งในด้านการเมืองภายในและการต่างประเทศของสหรัฐฯ
กิจการภายในประเทศ
1. นโยบายเศรษฐกิจแบบ “America First”
ทรัมป์มีแนวโน้มที่จะผลักดันนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นการพึ่งพาตนเองและปกป้องธุรกิจอเมริกัน เช่น การลดภาษีให้ธุรกิจและการลดข้อจำกัดในการทำธุรกิจในประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต ซึ่งอาจส่งผลดีต่อการจ้างงานและการลงทุนในประเทศ
อย่างไรก็ตาม การมุ่งเน้นการผลิตในประเทศและการลดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ อาจทำให้เกิดแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาวัสดุและส่วนประกอบจากต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้ราคาสินค้าภายในประเทศสูงขึ้น
2. การปฏิรูปภายในประเทศในด้านต่าง ๆ
ทรัมป์มักให้ความสำคัญกับการควบคุมชายแดนและการจัดการผู้อพยพ ซึ่งหมายถึงนโยบายการตรวจสอบและควบคุมผู้อพยพที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น การก่อสร้างกำแพงชายแดนที่มีการพูดถึงมาก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ทรัมป์อาจมีนโยบายสนับสนุนกลุ่มประชาชนที่สนับสนุนแนวคิดอนุรักษ์นิยมมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคมมากขึ้น
3. การลดบทบาทของรัฐในบริการสาธารณะ
ทรัมป์อาจลดการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางในการบริการสาธารณะ เช่น สวัสดิการสุขภาพและการศึกษา เพื่อให้ประชาชนพึ่งพาเศรษฐกิจส่วนบุคคลและธุรกิจเอกชนในการบริหารจัดการ โดยเขามีแนวคิดที่จะลดการใช้จ่ายภาครัฐที่มากเกินไป ซึ่งอาจกระทบต่อการเข้าถึงบริการเหล่านี้ในระยะยาว
กิจการระหว่างประเทศ
1. การค้าแบบสองฝ่ายและสงครามการค้า
ทรัมป์มีแนวโน้มที่จะเน้นการเจรจาการค้าแบบสองฝ่ายและการปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งหมายถึงการเพิ่มภาษีสำหรับสินค้าที่มาจากประเทศคู่แข่ง เช่น จีน เพื่อให้ธุรกิจอเมริกันมีความได้เปรียบ ซึ่งอาจทำให้ความสัมพันธ์การค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศอื่น ๆ เช่น จีน ยุโรป และแม็กซิโก มีความตึงเครียดมากขึ้น
2. ลดบทบาทในองค์กรระหว่างประเทศ
ทรัมป์มีแนวโน้มที่จะลดการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ องค์การอนามัยโลก และ NATO ซึ่งอาจเป็นไปตามแนวคิด “America First” และลดภาระค่าใช้จ่ายที่สหรัฐฯ ต้องแบกรับ โดยทรัมป์อาจมองว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไม่คุ้มค่าและต้องการนำงบประมาณกลับมาใช้ในประเทศ
3. การใช้แนวทางที่ไม่เป็นมิตรกับประเทศพันธมิตร
ทรัมป์มีท่าทีที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับประเทศพันธมิตร โดยคาดหวังว่าพันธมิตรจะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการป้องกันตนเองมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ความสัมพันธ์กับพันธมิตรเช่น ยุโรป และประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ มีความเปลี่ยนแปลง ทรัมป์อาจจะเรียกร้องให้พันธมิตรเหล่านี้จ่ายค่าใช้จ่ายในด้านการทหารเพิ่มขึ้น
4. การส่งเสริมความมั่นคงทางทหารและความสัมพันธ์ที่เข้มงวดกับประเทศคู่แข่ง
ทรัมป์จะให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างกองทัพและความมั่นคงของสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้ภัยคุกคามจากประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะจีนและรัสเซีย นอกจากนี้ ทรัมป์อาจจะเน้นความสัมพันธ์ที่เข้มงวดกับประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะการกดดันให้ประเทศอื่น ๆ เลือกข้างในสงครามเย็นยุคใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น
แม้ว่านโยบายจะเน้นการลดการส่งทหาร แต่การมีท่าทีที่เข้มงวดกับประเทศคู่แข่ง เช่น จีนและรัสเซีย และการกดดันให้ประเทศอื่น ๆ เลือกข้างในสงครามเย็นยุคใหม่ อาจเพิ่มความตึงเครียดในเวทีโลก ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางอ้อม และอาจต้องพึ่งพาทรัพยากรด้านความมั่นคงมากขึ้น
นโยบายนี้สามารถสร้างความเสี่ยงที่จะเพิ่มความไม่มั่นคงในระดับโลก และแม้ว่าจะไม่มีการส่งทหารไปรบโดยตรง แต่สหรัฐฯ อาจต้องเผชิญกับการปะทะทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือไซเบอร์แทน ซึ่งอาจเป็นอีกแนวทางที่สหรัฐฯ ต้องเตรียมพร้อม
การชนะการเลือกตั้งของทรัมป์จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งในด้านการเมืองภายในและการต่างประเทศของสหรัฐฯ โดยทรัมป์มีแนวโน้มที่จะมุ่งเน้นนโยบายที่ส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง และลดบทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีโลก ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความตึงเครียดทั้งในประเทศและระดับโลก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ขึ้นอยู่กับวิธีการที่ทรัมป์จะใช้ในการสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงของประเทศและการแสดงอำนาจในระดับโลก