พระเจ้าทรัมป์ กษัตริย์ในรูปแบบของประธานาธิบดี
Donald Trump: The Face of Imperial Presidency or Presidential Supremacy in the USA?
F.H. Buckley ได้นำเสนอแนวคิดที่ท้าทายเกี่ยวกับระบบการเมืองของสหรัฐฯ โดยเสนอว่าประธานาธิบดีมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ จนคล้ายกับ “ราชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง” (Elective Monarchy) แทนที่จะเป็นประชาธิปไตยแบบที่ผู้ก่อตั้งประเทศตั้งใจไว้
เมื่อพูดถึง “Imperial Presidency” หรือ “Presidential Supremacy” ชื่อของ Donald Trump มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างสำคัญของประธานาธิบดีที่ใช้อำนาจบริหารแบบสุดโต่ง ซึ่งนำไปสู่คำถามสำคัญว่า “สหรัฐฯ กำลังกลายเป็นจักรวรรดิที่มีการเลือกตั้ง (Elective Monarchy) หรือไม่?”
F.H. Buckley ได้เสนอแนวคิดในหนังสือ The Once and Future King: The Rise of Crown Government in America ว่า ระบบการเมืองของสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนแปลงไปจากประชาธิปไตยแบบแบ่งแยกอำนาจ สู่ระบบที่ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีมากขึ้นเรื่อยๆ จนคล้ายกับราชาธิปไตยที่ประชาชนเลือกขึ้นมาเอง
คำถามคือ แนวคิดนี้สะท้อนถึงความจริงในยุคของ Donald Trump หรือไม่?
เมื่ออำนาจประธานาธิบดีไร้ขีดจำกัด?
Imperial Presidency คือแนวคิดที่ชี้ว่า อำนาจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ขยายตัวจนแทบไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลอย่างแท้จริง
ประธานาธิบดีใช้อำนาจบริหารโดยไม่ต้องผ่านสภาคองเกรส แต่ผ่านคำสั่งบริหาร (Executive Orders)
ประธานาธิบดีมีอำนาจเหนือกระบวนการยุติธรรม ผ่านการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลฎีกาที่มีแนวคิดสอดคล้องกับตนเอง
ประธานาธิบดีกำหนดนโยบายต่างประเทศได้ตามอำเภอใจ เช่น การถอนตัวจากข้อตกลงนานาชาติ หรือการใช้มาตรการคว่ำบาตรโดยไม่ต้องขออนุมัติจากรัฐสภา
ในยุคของ Donald Trump เราได้เห็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ Imperial Presidency เช่น
• การออกคำสั่งบริหารจำนวนมาก เพื่อข้ามขั้นตอนของสภาคองเกรส
• พยายามกดดันศาลและหน่วยงานรัฐ เช่น การแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลฎีกาสายอนุรักษ์นิยมเพื่อให้เกิดความได้เปรียบทางการเมือง
• ใช้อำนาจในการกำหนดนโยบายต่างประเทศแบบเบ็ดเสร็จ เช่น การถอนตัวจาก WHO และข้อตกลง Paris Climate Agreement
Trump ยังพยายามทำลายกลไกการเลือกตั้งในปี 2020 โดยกล่าวอ้างว่า “การเลือกตั้งถูกขโมยไป” ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามรวบอำนาจแบบเผด็จการอย่างชัดเจน
ผู้นำที่เหนือกว่าสถาบันอื่นๆ
ในทางกลับกัน บางคนมองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ Imperial Presidency แต่เป็น Presidential Supremacy
Presidential Supremacy หมายถึง สถานการณ์ที่อำนาจของประธานาธิบดีแข็งแกร่งกว่าสถาบันอื่นๆ เช่น รัฐสภาและศาล แต่ ยังอยู่ภายใต้กรอบประชาธิปไตยและกลไกการเลือกตั้ง เช่น
Trump ยังถูกตรวจสอบโดยรัฐสภาและศาล แม้ว่าเขาจะพยายามกดดันสถาบันเหล่านี้
กระบวนการถอดถอน (Impeachment) ยังสามารถใช้ได้ แม้ว่า Trump จะรอดพ้นจากการถอดถอนสองครั้ง
สื่อมวลชนและภาคประชาสังคมยังมีบทบาทสำคัญ ในการตรวจสอบอำนาจของเขา
Trump ไม่สามารถรวบอำนาจแบบเผด็จการได้อย่างสมบูรณ์ เพราะสุดท้าย เขาแพ้การเลือกตั้ง และต้องออกจากตำแหน่งตามกระบวนการประชาธิปไตย
สหรัฐฯ กำลังเป็น “Elective Monarchy” หรือแค่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจ?
แนวคิดในหนังสือ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการรวมศูนย์อำนาจของประธานาธิบดี
โดยในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้อำนาจฝ่ายบริหารมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการออกคำสั่งบริหาร (Executive Orders) และการมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
ยกตัวอย่างเช่น การที่ประธานาธิบดีสามารถตัดสินใจเรื่องสงครามได้โดยไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาอย่างแท้จริง
สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของระบบถ่วงดุลอำนาจในปัจจุบัน
เดิมที สหรัฐฯ ถูกออกแบบให้มี การแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Powers) แต่ในปัจจุบัน รัฐสภา (Congress) มักถูกครอบงำโดยพรรคของประธานาธิบดีเอง ทำให้ การตรวจสอบอำนาจฝ่ายบริหารอ่อนแอลง
มีนักรัฐศาสตร์หลายคนเคยเตือนว่าสหรัฐฯ กำลังกลายเป็น “Super Executive State” ซึ่งหมายความว่าประธานาธิบดีมีอำนาจเกือบจะไร้ขีดจำกัด
ซึ่งก็ทำให้มีข้อวิจารณ์ต่อแนวคิดของ Buckley เช่น
Buckley ตั้งคำถามที่สำคัญเกี่ยวกับแนวโน้มของประชาธิปไตยอเมริกัน โดยมีหลักฐานหลายอย่างที่สนับสนุนแนวคิดว่า อำนาจของประธานาธิบดีกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการเปรียบเทียบ “Elective Monarchy” ว่าอาจเป็นการตีความที่เกินจริง เพราะประธานาธิบดีจะมีอำนาจมากขึ้น แต่ก็ยังอยู่ภายใต้ระบบการเลือกตั้งทุก 4 ปี และความสามารถในการถอดถอนผ่านกระบวนการเลือกตั้งและการตรวจสอบของสื่อมวลชน เป็นสิ่งที่แตกต่างจากระบอบกษัตริย์อย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ มีข้อวิจารณ์ต่อแนวคิดของ Buckley ว่ามองข้ามบทบาทของรัฐสภาและระบบศาลในปัจจุบัน ว่าถึงแม้ประธานาธิบดีมีอำนาจมากขึ้น แต่รัฐสภาและศาลยังคงเป็นกลไกสำคัญที่สามารถ จำกัดอำนาจของประธานาธิบดี ได้
ตัวอย่างเช่น กรณีของ Donald Trump ที่พยายามใช้อำนาจบริหารในการยับยั้งผลการเลือกตั้งปี 2020 แต่ถูกศาลและสภาคองเกรสขัดขวาง
นอกจากนี้ ระบบการถอดถอนประธานาธิบดี (Impeachment) ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ประธานาธิบดีไม่สามารถใช้อำนาจตามอำเภอใจได้
ข้อโต้แย้งที่สำคัญคือ แนวคิด “Imperial Presidency” เป็นปัญหาจริงหรือเป็นเพียงวิวัฒนาการของการเมือง?
โดยการให้เหตุผลว่า สหรัฐฯ เป็นประเทศที่เผชิญความท้าทายระดับโลก ทำให้ประธานาธิบดีต้องมีอำนาจในการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ในโลกที่การเมืองซับซ้อนขึ้น การกระจายอำนาจแบบเดิมอาจไม่ตอบโจทย์ บางครั้ง การมีผู้นำที่สามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจเป็นข้อได้เปรียบมากกว่า
สรุปคำถามสำคัญคือ สหรัฐฯ กำลังกลายเป็น “จักรวรรดิที่มีการเลือกตั้ง” หรือเป็นเพียงวิวัฒนาการของการเมือง?
โดยส่วนตัว ผมเชื่อตาม Buckley ในประเด็นที่ว่า อำนาจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมาก และ ระบบถ่วงดุลอำนาจอ่อนแอลงในบางจุด
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ อาจกำลังเข้าสู่ “Presidential Supremacy” (อำนาจประธานาธิบดีเหนือสถาบันอื่น) มากกว่า “Elective Monarchy” หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป โดยไม่มีการถ่วงดุลอำนาจที่แข็งแกร่งขึ้น
Trump ไม่สามารถสร้าง “Imperial Presidency” ได้สำเร็จ แต่เขาผลักดัน Presidential Supremacy ไปสู่ระดับที่อันตราย
หากประธานาธิบดีในอนาคตใช้อำนาจในลักษณะเดียวกัน โดยไม่มีการตรวจสอบที่เข้มแข็งขึ้น อเมริกาอาจเดินไปสู่ “Elective Monarchy” ได้จริง
Buckley อาจไม่ผิดที่เตือนว่าสหรัฐฯ อาจเดินไปสู่ระบอบที่อำนาจของประธานาธิบดีไม่ต่างจากกษัตริย์
“อเมริกากำลังย้อนกลับสู่ราชาธิปไตย?”
หากผู้ก่อตั้งประเทศอย่าง James Madison ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาอาจต้องตกใจกับสหรัฐฯ ในปัจจุบัน
เพราะประเทศที่เคยภาคภูมิใจว่า “ไม่มีวันมีพระมหากษัตริย์” อาจกำลังกลายเป็นรัฐที่มี “กษัตริย์ในรูปแบบของประธานาธิบดี”
แล้วคุณล่ะ คิดว่าสหรัฐฯ ยังเป็นประชาธิปไตยอยู่จริงหรือไม่?