
ทรัมป์ปลดคณะกรรมการกำกับดูแลโรงเรียนนายร้อยสหรัฐฯ อ้างต้องกำจัดแนวคิดฝ่ายซ้าย
โดย อัษฎางค์ ยมนาค
วอชิงตัน, สหรัฐฯ – ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันจันทร์ว่า เขาได้ปลดคณะกรรมการกำกับดูแล (Boards of Visitors) ของโรงเรียนนายร้อยสี่แห่งของสหรัฐฯ โดยให้เหตุผลว่าคณะกรรมการเหล่านี้ถูก “แทรกซึมโดยแนวคิดฝ่ายซ้ายแบบ Woke”
ทรัมป์มีคำสั่งให้ ปลดสมาชิกคณะกรรมการทั้งหมดทันที ในโรงเรียนนายร้อยต่อไปนี้:
• โรงเรียนนายร้อยทหารบกสหรัฐฯ (West Point) ในนิวยอร์ก
• โรงเรียนนายเรือสหรัฐฯ (Naval Academy) ในรัฐแมริแลนด์
• โรงเรียนนายเรืออากาศสหรัฐฯ (Air Force Academy) ในโคโลราโด
• โรงเรียนนายเรือยามฝั่งสหรัฐฯ (Coast Guard Academy) ในคอนเนตทิคัต
คำสั่งปลดดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของทรัมป์ในการ “ฟื้นฟูหลักการดั้งเดิมของกองทัพ” และกำจัดอิทธิพลของแนวคิดความหลากหลายที่เขามองว่าเป็นอุปสรรคต่อขีดความสามารถของกองทัพ
ทรัมป์ปลดคณะกรรมการโรงเรียนนายร้อย ต่อเนื่องจากแนวทางเดียวกับไบเดนเมื่อปี 2021
วอชิงตัน – การตัดสินใจของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการปลดสมาชิกคณะกรรมการของโรงเรียนนายร้อยสหรัฐฯ เป็นแนวทางที่คล้ายกับสิ่งที่ อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยดำเนินการหลังเข้ารับตำแหน่งในปี 2021
ในช่วงเวลานั้น ทำเนียบขาวของไบเดน ได้ขอให้สมาชิกคณะที่ปรึกษาของโรงเรียนนายร้อยกองทัพบก (Army), กองทัพเรือ (Navy) และกองทัพอากาศ (Air Force) จำนวน 18 คน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยทรัมป์ในสมัยแรก ลาออกจากตำแหน่ง
แนวทางที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการเมืองแทรกแซง
การกระทำของไบเดนในขณะนั้น ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายสนับสนุนทรัมป์ โดยพวกเขามองว่าเป็นการนำ การเมืองมาแทรกแซง คณะกรรมการที่ควรจะเป็นองค์กร ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ในขณะที่ฝ่ายบริหารของไบเดน ให้เหตุผลว่าพวกเขามีความกังวลเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ได้รับการแต่งตั้ง
บุคคลที่ถูกปลดในยุคของไบเดนประกอบด้วย อดีตโฆษกทำเนียบขาว และนายทหารเรือ ฌอน สไปเซอร์ (Sean Spicer), อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ H.R. McMaster และ เคลลีย์แอนน์ คอนเวย์ (Kellyanne Conway) อดีตที่ปรึกษาอาวุโสของทรัมป์
ก่อนที่ไบเดนจะเข้ามามีอำนาจ คณะกรรมการโรงเรียนนายร้อยมักจะได้รับอนุญาตให้ดำรงตำแหน่งจนครบวาระ 3 ปี แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลก็ตาม ตัวอย่างเช่น สมาชิกหลายคนที่ได้รับการแต่งตั้งโดย อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในช่วงท้ายของวาระของเขา ยังคงดำรงตำแหน่งในยุคของทรัมป์
องค์ประกอบของคณะกรรมการที่ถูกปลด
คณะกรรมการโรงเรียนนายร้อยประกอบด้วย
• 6 คนที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี
• 3 คนที่ได้รับการแต่งตั้งจากรองประธานาธิบดี
• 4 คนที่ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานสภาผู้แทนราษฎร
• 1 คนที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะกรรมาธิการด้านกองทัพของวุฒิสภา
• 1 คนที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะกรรมาธิการด้านกองทัพของสภาผู้แทนราษฎร
บุคคลสำคัญที่เคยเป็นสมาชิกคณะกรรมการ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บุคคลสำคัญที่เคยดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการโรงเรียนนายร้อย ได้แก่
• โรงเรียนนายร้อยทหารบก (West Point)
• ชัค เฮเกล (Chuck Hagel) อดีตรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ซึ่งเคยเป็นทหารผ่านศึกในสงคราม
• พลโทหญิง นาเดีย เวสต์ (Lt. Gen. Nadja West) อดีตศัลยแพทย์ใหญ่ของกองทัพบก และเป็นสตรีผิวดำคนแรกที่ได้รับยศพลโท (สามดาว) จาก West Point
• โรงเรียนนายร้อยกองทัพเรือ (Naval Academy)
• แจ็ค แมคเคน (Jack McCain) นักบินสำรองของกองทัพเรือ และเป็นบุตรชายของ จอห์น แมคเคน อดีตวุฒิสมาชิกและทหารผ่านศึก
• พลเรือเอกหญิง มิเชล ฮาวเวิร์ด (Adm. Michelle Howard) เป็นสตรีผิวดำคนแรกที่ได้บัญชาการเรือรบและเป็นพลเรือเอกหญิงสี่ดาวคนแรกของกองทัพเรือ
• โรงเรียนนายร้อยกองทัพอากาศ (Air Force Academy)
• เอริก แฟนนิง (Eric Fanning) อดีตรัฐมนตรีกองทัพบก และเป็นบุคคลแรกที่เป็น ผู้นำกองทัพที่เปิดเผยตัวว่าเป็น LGBTQ+ ในปี 2015
• โรงเรียนนายร้อยกองกำลังรักษาการณ์ชายฝั่ง (Coast Guard Academy)
• พลเรือเอก ปีเตอร์ เนฟเฟนเจอร์ (Vice Adm. Peter Neffenger) อดีตรองผู้บัญชาการกองกำลังรักษาการณ์ชายฝั่ง และอดีตผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความปลอดภัยด้านการคมนาคม (TSA)
สรุป
การที่ ทรัมป์ปลดคณะกรรมการโรงเรียนนายร้อย เป็นแนวทางที่คล้ายกับสิ่งที่ไบเดนเคยทำในปี 2021 แม้ว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จาก ฝ่ายตรงข้าม ว่าเป็นการเมืองแทรกแซงองค์กรที่ควรเป็นกลาง
ในขณะเดียวกัน ทรัมป์และผู้สนับสนุนมองว่าเป็นการกำจัดอิทธิพลของแนวคิด Woke และทำให้กองทัพกลับมามีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพมากกว่าความหลากหลาย
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปรับโครงสร้างคณะที่ปรึกษาของโรงเรียนนายร้อยทุกเหล่าทัพ โดยเน้นการคัดเลือกบุคคลที่มีความเป็นมืออาชีพมากกว่าการให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางเชื้อชาติหรือเพศ เป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนและมีผลกระทบหลายด้าน
การปรับโครงสร้างคณะที่ปรึกษาของโรงเรียนนายร้อยโดยเน้นความเป็นมืออาชีพมีทั้งข้อดีและข้อเสีย การมุ่งเน้นที่ความสามารถอาจช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพของกองทัพ แต่การมองข้ามความหลากหลายอาจทำให้เกิดความไม่พอใจในกลุ่มที่รู้สึกไม่ได้รับการยอมรับ และอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในเวทีระหว่างประเทศ
การสร้างสมดุลระหว่างความเป็นมืออาชีพและความหลากหลายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้กองทัพสหรัฐฯ ยังคงมีประสิทธิภาพและเป็นตัวแทนของสังคมที่หลากหลายครับ
แนวทางที่ดีที่สุดสำหรับแนวทางการบริหารกองทัพของโดนัลด์ ทรัมป์
จากกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ปรับโครงสร้างคณะที่ปรึกษาของโรงเรียนนายร้อยทุกเหล่าทัพ โดยให้ความสำคัญกับ ความเป็นมืออาชีพ มากกว่าการพิจารณาความหลากหลายทางเชื้อชาติหรือเพศ ส่งผลให้เกิดทั้งเสียงสนับสนุนและคัดค้าน
ทางออกที่ดีที่สุดควรเป็นแนวทางที่ สร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความเป็นธรรม เพื่อให้กองทัพมีความแข็งแกร่งและยังสามารถรักษาความร่วมมือภายในและระดับนานาชาติได้
1. ปรับนโยบายการคัดเลือกบุคลากรให้เป็นแบบ “Merit-Based Inclusion”
แนวทาง:
• ใช้เกณฑ์ ความสามารถ (Merit-Based System) เป็นปัจจัยหลักในการคัดเลือกบุคลากร เพื่อให้มั่นใจว่ากองทัพมีเจ้าหน้าที่ที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญที่เหมาะสม
• ยังคง ส่งเสริมความหลากหลาย (Diversity) แต่ต้องเป็นความหลากหลายที่สอดคล้องกับ ประสิทธิภาพการทำงาน ไม่ใช่เพียงแค่โควต้าหรือสัดส่วนทางเชื้อชาติและเพศ
• จัดให้มี โครงการพัฒนาและฝึกอบรม สำหรับกลุ่มที่ขาดโอกาส ให้สามารถแข่งขันในกระบวนการคัดเลือกได้โดยอาศัยความสามารถจริง
ประโยชน์:
✅ รักษาประสิทธิภาพของกองทัพ ด้วยการคัดเลือกบุคลากรที่มีความสามารถแท้จริง
✅ หลีกเลี่ยงข้อครหาว่ากองทัพเลือกปฏิบัติ หรือสร้างความไม่เท่าเทียม
2. สร้างระบบตรวจสอบเพื่อป้องกันการเมืองเข้ามาแทรกแซงกองทัพ
แนวทาง:
• ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการคัดเลือกบุคลากรที่ เป็นอิสระจากการเมือง และประกอบด้วย อดีตนายทหารระดับสูง, นักยุทธศาสตร์ และนักวิชาการด้านความมั่นคง
• กำหนด หลักเกณฑ์ที่ชัดเจน ในการพิจารณาแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญในโรงเรียนนายร้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแต่งตั้งที่มี อคติทางการเมือง
• เปิดช่องให้มี การตรวจสอบจากภายนอก เช่น กระทรวงกลาโหม, สภาคองเกรส และองค์กรอิสระด้านความมั่นคง
ประโยชน์:
✅ ทำให้กองทัพเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางการเมือง
✅ ป้องกันไม่ให้รัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งมีอำนาจเหนือกองทัพมากเกินไป
3. รักษาสมดุลระหว่าง “ความเป็นมืออาชีพ” และ “การมีตัวแทนของทุกกลุ่ม”
แนวทาง:
• ยอมรับว่ากองทัพควร มีความเป็นมืออาชีพและมีขีดความสามารถสูงสุด
• แต่ในขณะเดียวกัน ต้องคำนึงถึง ความเป็นตัวแทนของประชากร เพราะกองทัพควรสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของประเทศ
• ควรมีการจัดตั้ง โครงการให้ทุนและฝึกอบรมพิเศษ เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับบุคคลที่มีศักยภาพแต่ขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาด้านการทหาร
ประโยชน์:
✅ ช่วยให้กองทัพมีบุคลากรที่ดีที่สุด โดยไม่ลดทอนคุณภาพ
✅ ช่วยลดข้อครหาว่ากองทัพเลือกปฏิบัติหรือปิดกั้นโอกาสของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
4. ใช้ “Data-Driven Policy” เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบาย
แนวทาง:
• รัฐบาลควรใช้ ข้อมูลและสถิติจริง เพื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์ของนโยบาย DEI และ Merit-Based System ในกองทัพ
• ศึกษาว่า การให้ความสำคัญกับความสามารถล้วนๆ ส่งผลให้ประสิทธิภาพของกองทัพดีขึ้นจริงหรือไม่ หรืออาจมีผลกระทบด้านลบที่คาดไม่ถึง
• ใช้ข้อมูลจาก กองทัพประเทศอื่นๆ ที่มีแนวทางคล้ายกัน เช่น สหราชอาณาจักร อิสราเอล หรือเยอรมนี
ประโยชน์:
✅ ทำให้นโยบายที่ถูกนำมาใช้มีความชัดเจนและสามารถวัดผลได้
✅ ช่วยให้การบริหารกองทัพเป็นไปอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่ตามแนวคิดทางการเมืองเพียงอย่างเดียว
5. ส่งเสริมให้กองทัพเป็น “องค์กรต้นแบบ” ในการพัฒนาความสามารถของบุคลากร
แนวทาง:
• สร้าง “Military Leadership Development Program” ที่เน้นการฝึกอบรมทักษะเฉพาะทางเพื่อพัฒนาผู้นำทางทหารที่มีความสามารถ
• ให้ความสำคัญกับ นโยบายที่ช่วยให้บุคลากรทุกคนสามารถพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่
• ใช้ AI และเทคโนโลยี Big Data ในการวิเคราะห์ว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้บุคลากรประสบความสำเร็จ
ประโยชน์:
✅ ช่วยให้กองทัพมีผู้นำที่มีความสามารถสูงสุด
✅ สร้างความสมดุลระหว่างความสามารถและความเท่าเทียม
ข้อสรุป
“สมดุลระหว่างความสามารถและความเป็นตัวแทน” เป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับกองทัพ
• หากเน้นแค่ความเป็นมืออาชีพเพียงอย่างเดียว อาจถูกมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ
• หากเน้นแค่ความหลากหลายโดยไม่คำนึงถึงความสามารถ ก็อาจลดประสิทธิภาพของกองทัพ
ดังนั้น “Merit-Based Inclusion” หรือการคัดเลือกที่ให้ความสำคัญกับความสามารถ พร้อมกับ การสร้างโอกาสให้กับทุกกลุ่มในสังคม เป็นทางออกที่ดีที่สุด ที่ช่วยให้กองทัพมีความแข็งแกร่งและยังคงความเป็นตัวแทนของประชากรในประเทศ
แนวคิดเพิ่มเติมสำหรับประเทศไทย
ประเทศไทยสามารถศึกษาแนวทางนี้ได้ โดยให้ความสำคัญกับ
✅ การปฏิรูประบบการคัดเลือกข้าราชการและกองทัพ เพื่อให้ได้บุคลากรที่มีความสามารถสูงสุด
✅ การเพิ่มโอกาสให้กับกลุ่มที่ขาดโอกาสทางการศึกษา เช่น การให้ทุนฝึกอบรมเพื่อพัฒนาผู้นำในภาครัฐ
✅ การลดอิทธิพลทางการเมืองในกองทัพและระบบราชการ เพื่อให้การบริหารงานมีความโปร่งใส
หากมีการนำหลัก “Merit-Based Inclusion” มาใช้ในประเทศไทย ก็อาจช่วยให้ภาครัฐและกองทัพไทยพัฒนาไปสู่มาตรฐานที่สูงขึ้นเช่นกัน