
ภาระกิจ Call Out พิธาคิโอ้ อีกแล้วครับท่าน
#อัษฎางค์ยมนาค
พิธาไปพูดให้นักศึกษามหาวิทยาลัย Stanford ฟังว่า ตัวเองควรจะได้เป็นนายกฯ แต่ไม่ได้เป็น เพราะประเทศไทยมีการปกครองแบบ “ประชาธิปไตยกึ่งเผด็จการแบบแข่งขัน”
พิธายังบอกต่อว่า…
“เป็นระบอบเผด็จการที่อนุญาตให้มีการเลือกตั้งเป็นครั้งคราว แต่ถ้าผลการเลือกตั้งไม่เป็นที่พอใจของผู้มีอำนาจ ผลการเลือกตั้งกับผลลัพธ์ที่แท้จริงก็อาจไม่ตรงกัน นั่นเป็นเหตุผลที่แม้ว่าผมจะชนะการเลือกตั้งและสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมได้ แต่สุดท้ายก็ถูกขัดขวางไม่ให้เป็นนายกรัฐมนตรี”
ทำไมพิธาไม่พูดความจริงว่า ถึงผมจะชนะการเลือกตั้งแต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมได้ เพราะ….
1. มีพรรคที่จับมือทำท่าจะสนับสนุน แต่ในที่สุดไม่แน่ใจว่าพิธาและพรรคก้าวไกลทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่
2. นอกจากนี้ การวุฒิสภาไม่ยกมือสนับสนุนให้พิธาเป็นนายกฯ เพราะวุฒิสมาชิกไม่ไว้ใจพิธาและพรรคก้าวไกลในความภักดีต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
3. ในที่สุดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์สั่งยุบพรรคก้าวไกล โดยให้เหตุผลว่าพรรคมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองดังกล่าว
4. สาเหตุหลักที่นำไปสู่การยุบพรรคคือการที่พรรคก้าวไกลเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 (กฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์) และใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ศาลเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง
ถ้าอยากอ่านบทเสวนาที่ทิมไปพิธาคิโอ้ที่ Stanford อ่านต่อได้ข้างล่างนี้
…………………………………………………………
ต่อไปนี้เป็นการถอดบทสัมภาษณ์หรือเสวนาของพิธา ซึ่งมีหลายประโยคที่ผิดหลักไวยากรณ์ ผมเลยถือโอกาสแก้คำผิดให้ เผื่อเป็นประโยชน์กับผู้ที่มาอ่านจะได้ศึกษาภาษาอังกฤษไปคราวเดียวกัน
พิธา ไปพูดที่ มหาวิทยาลัย Stanford…………………………….
ก่อนหน้านี้ ผมเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพรรคที่ชนะการเลือกตั้งในประเทศไทย และเป็นอดีตสมาชิกรัฐสภาที่ถูกปลดออกจากตำแหน่ง
Before that, I was the prime ministerial candidate for Thailand’s election-winning party and a deposed parliamentarian.
ข้อผิดพลาด:
• พิธาพูดว่า…“Thailand election winner” ที่ถูกต้องควรเป็น→ “Thailand’s election-winning party” เพื่อให้สื่อถึงพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง
…………………………………………………………
โดยแก่นแท้แล้ว นี่คือการต่อสู้ระหว่าง ฝ่ายที่มาจากการเลือกตั้ง กับ ฝ่ายที่มาจากการแต่งตั้ง เพราะในอดีต เรามีการเลือกตั้ง รวมถึงมีทั้ง สภาผู้แทนราษฎร (สภาล่าง) และ วุฒิสภา (สภาสูง) ฟังดูเหมือนเป็นประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ แต่ความจริงที่หลายคนไม่รู้คือ วุฒิสภาทั้งหมดมาจากการแต่งตั้ง วุฒิสมาชิกทั้งหมดได้รับการแต่งตั้งจาก คณะรัฐประหาร ดังนั้น วุฒิสภาจึงเป็นผลพวงของการรัฐประหาร สิ่งที่เรามีอยู่ตอนนี้ ผมขอเรียกมันว่า “ประชาธิปไตยกึ่งเผด็จการแบบแข่งขัน”
Essentially, it’s a struggle between elected and appointed politics. Back in the day, we had elections, as well as both a lower house and an upper house. It sounded almost like a proper democracy, but many people didn’t realize that the upper house was entirely appointed. The senators were all handpicked by the military junta, making the Senate a byproduct of a military coup. What we have now is what I would call a borderline competitive autocracy.
ข้อผิดพลาด:
• พิธาพูดว่า…“It sounds almost like a proper democracy” → ใช้ “sounds” เป็นปัจจุบัน แต่กำลังพูดถึงอดีต
• พิธาพูดว่า…“didn’t know” → พิธาใช้ past simple (อดีต) แต่ประโยคก่อนหน้าใช้ present simple
• พิพิธาพูดว่า…“ “a lot of people didn’t know” เปลี่ยนให้เป็น→ “many people didn’t realize”
• “many people” เป็นภาษาที่เป็นทางการกว่า
• “realize” เหมาะสมกว่าคำว่า “know” เพราะหมายถึง “ตระหนัก”
> ดังนั้นที่ถูกต้องควรเป็น:
It sounded almost like a proper democracy, but many people didn’t realize that the upper house was appointed.
• พิธาใช้คำว่า…What we have now is what I would say it’s a borderline competitive autocracy.
• “what I would say it’s” → ซ้ำซ้อน “what I would say” และ “it’s” ไม่ควรใช้ด้วยกัน
> ดังนั้นที่ถูกต้องควรเป็น:
What we have now is what I would call a borderline competitive autocracy.
…………………………………………………………
เป็นระบอบเผด็จการที่อนุญาตให้มีการเลือกตั้งเป็นครั้งคราว แต่ถ้าผลการเลือกตั้งไม่เป็นที่พอใจของผู้มีอำนาจ ผลการเลือกตั้งกับผลลัพธ์ที่แท้จริงก็อาจไม่ตรงกัน
It’s an autocratic system that allows elections once in a while. But if the election outcome is not favorable to those in power, the election result and the actual outcome do not have to be the same.
…………………………………………………………
นั่นเป็นเหตุผลที่แม้ว่าผมจะชนะการเลือกตั้งและสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมได้ แต่สุดท้ายก็ถูกขัดขวางไม่ให้เป็นนายกรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลที่ผมจัดตั้งขึ้นมี 312 ที่นั่งจากทั้งหมด 500 ที่นั่ง ซึ่งถือว่าเป็นเสียงข้างมากที่เข้มแข็งในระบบรัฐสภา อย่างไรก็ตาม วุฒิสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้ง ได้ใช้สิทธิ์ขัดขวางการเลือกนายกรัฐมนตรี ภายใต้กฎของเรา ผู้ที่ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีต้องได้รับเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 376 เสียง จาก 500 ส.ส. และ 250 ส.ว. รวมกัน
That’s why, after winning the election and forming a coalition, I was ultimately blocked from becoming prime minister. The coalition I formed secured 312 out of 500 seats—a strong majority in any parliamentary system. However, the appointed senators obstructed my prime ministerial bid. Under our system, winning the premiership requires a simple majority of 376 votes out of 500 MPs and 250 senators combined.
แก้คำผิด:
• พิธาพูดว่า…That’s why I won the election, and I formed the coalition.
ข้อผิดพลาด:
• การใช้ “That’s why” ควรตามด้วยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากสาเหตุที่พูดถึง
•การใช้ “and” ในที่นี้ทำให้ประโยคดูแปลก เพราะ “I won” และ “I formed” เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน
• ใช้ “after winning” เพื่อแสดงลำดับเหตุการณ์ที่ชัดเจนขึ้น
ประโยคที่ถูกต้อง:
That’s why, after winning the election, I formed a coalition.
การแก้ไข:
• เปลี่ยน “I won the election, and I formed” → “after winning the election, I formed”
…………………………………………………………
ในรอบแรกของการลงมติ ผมได้รับประมาณ 324 เสียง ผมจำได้ว่าตอนให้สัมภาษณ์กับ คริสเตียน อามานพัวร์ จาก CNN ผมบอกว่าผมยังมีโอกาสอยู่ และผมยกตัวอย่างกรณีของ เควิน แม็กคาร์ธี ที่ต้องผ่านการลงคะแนนถึง 15 รอบ กว่าจะได้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ผมควรได้รับโอกาสเหมือนกัน อย่างน้อยก็ควรมีรอบที่สองหรือสาม
In the first round of voting, I received around 324 votes. I remember speaking with CNN’s Christiane Amanpour, arguing that I still had a chance. I even referenced Kevin McCarthy, who had to go through 15 rounds of voting before becoming the U.S. House Speaker. I believed I deserved at least a second or third chance.
ข้อผิดพลาด:
พิธาพูดว่า…“out of all the people that it took him 15 times” → โครงสร้างไม่ถูกต้อง
• แก้ “that it took him 15 times” → “who took 15 rounds of voting”
• “15 rounds of voting” ฟังดูเป็นธรรมชาติกว่า “15 times”
ประโยคที่ถูกต้อง:
• I remember talking to CNN’s Amanpour, saying that I still had a chance. I even cited Kevin McCarthy, who took 15 rounds of voting to become the U.S. House Speaker.
…………………………………………………………
แผนของผม คือค่อยๆ เพิ่มเสียงสนับสนุน ผมมี ประมาณ 20 เสียงจากวุฒิสมาชิกที่แต่งตั้ง อยู่แล้ว ถ้ามีการลงมติรอบที่สอง ผมน่าจะได้เพิ่มอีก 10-15 เสียง จากนั้นผมจะกลับไปที่สภาผู้แทนราษฎร มองหาพรรคการเมืองที่ผมไม่ได้สัญญาไว้ล่วงหน้าว่าจะไม่ร่วมมือด้วย ซึ่งรวมถึงพรรคที่มีสายสัมพันธ์กับทหาร ในรอบที่สาม ผมน่าจะได้เสียงถึง 377 และสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ในที่สุด
My strategy was to gradually build support: I already had around 20 supporters among the appointed senators. In the second round, I expected to gain 10 to 15 more. Then, I planned to return to the lower house and negotiate with political parties that I had not explicitly ruled out—some of which were military-aligned. By the third round, I believed I could reach 377 votes and eventually become Prime Minister.
…………………………………………………………
แต่กระบวนการทั้งหมดถูกตัดจบอย่างรวดเร็ว แทนที่จะมีการลงมติหลายรอบ ทุกอย่างจบลงตั้งแต่รอบแรก
But the process was cut short. Instead of multiple rounds, everything ended after the first vote.
ข้อผิดพลาด:
• “it cut short” → โครงสร้างไม่ถูกต้อง ควรใช้ “was cut short” (passive voice) เพราะเหตุการณ์ถูกทำให้จบลง
ประโยคที่ถูกต้อง:
• But it was cut short.
…………………………………………………………
สำหรับรอบที่สอง ผมเตรียมพร้อมจะเข้าสู่การลงมติอีกครั้ง แต่เพียง 15 นาทีก่อนการประชุมลงมติ ผมได้รับ คำสั่งศาล ที่ถูกวางบนโต๊ะทำงานในรัฐสภาของผม เพียง 20 นาทีก่อนอื่นเริ่มกระบวนการ คำสั่งนี้ทำให้ผมต้อง เดินออกจากสภา และ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้อีกต่อไป
For the second round, I was prepared to contest again. However, just 15 minutes before the voting session, I received a court order placed on my parliamentary desk—20 minutes before the process began. This order forced me to walk out of Parliament, rendering me unable to perform my duties as an MP.
…………………………………………………………
กระบวนการจึงหยุดลง ณ จุดนั้น ผมต่อสู้คดีและกลับเข้าสู่รัฐสภา หกเดือนต่อมา ในฐานะ ฝ่ายค้าน ซึ่งยังคงเป็นพรรคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบการเมืองไทย แต่ไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้ จากนั้น พวกเขา ยุบพรรคของผม และตัดสิทธิ์ทางการเมืองผมเป็นเวลา 10 ปี ตอนนี้ผมถูกกันออกจากเวทีการเมืองเป็นเวลาสิบปี นี่เพิ่งเป็นปีแรก ผมยังเหลืออีกเก้าปี
That halted the process. I fought the case and returned to Parliament six months later, this time as part of the opposition—still the largest party in Thai politics but now on the other side of the aisle. Then, they dissolved my party and banned me from politics for ten years. Now, I am effectively sidelined for a decade. This is only the first year—I still have nine more years to go.
ข้อผิดพลาด:
• พิธาพูดว่า…Now, I am being forced to bench for ten years.
• “being forced to bench” → “bench” ไม่ใช่คำที่ใช้ในบริบททางการเมือง
การแก้ไข:
• เปลี่ยน “bench” → “sidelined”
• “sidelined” ใช้ในเชิงการเมืองและการถูกกันออกจากอำนาจ
ประโยคที่ถูกต้อง:
• Now, I am being sidelined for ten years.
• หรือ Now, I am effectively sidelined for a decade.
…………………………………………………………