
รัฐบาลลูกคุณหนูขี้โม้กับคุณพ่อตกยุค
การรับมือมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ไม่สมราคาคุย
โดย อัษฎางค์ ยมนาค
ทรัมป์อดีตนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจด้วยการสร้างข้อต่อรองที่สูงเกินจริง เพื่อให้คู่ค้าเป็นฝ่ายเข้ามาขอเจรจาต่อรอง และเขากำลังนำกลยุทธ์นั้นมาใช้บริหารประเทศ
ใครหรือไทยจะหลงกลหรือจะมองเกมนี้ทะลุปรุโปร่ง
การตอบสนองของรัฐบาลเพื่อไทยต่อมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยนายกฯแพททองธาร ชินวัตร ที่เคยคุยโตเรื่องความสามารถในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจมาตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง อ่อนด้อยกว่าราคาคุยหลายขุนนัก
ราคาคุยโตนั้นใหญ่โต มาจากมั่นใจกับความสำเร็จของคุณพ่อในอดีต ที่ปัจจุบันตกยุคไปนานแล้ว
การตอบสนองของรัฐบาลเพื่อไทยต่อมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มุ่งเน้นเฉพาะด้านเศรษฐกิจ เช่น การค้าและการลงทุน โดยไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อการเจรจา
ปัจจัยอื่น ๆ ที่ว่านั้นได้แก่ เรื่องภูมิรัฐศาสตร์ของไทยเอง รวมไปถึงการเป็นสมาชิกอาเซียน RCEP และ Indo-Pacific ของไทยที่สามารถสร้างอำนาจต่อรองได้อย่างมีพลังมากกว่าที่คิด
การมุ่งเน้นเฉพาะด้านเศรษฐกิจอาจทำให้ไทยพลาดโอกาสในการใช้ปัจจัยอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างอำนาจต่อรองในการเจรจากับสหรัฐฯ
ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว นอกเหนือจากการค้าและการลงทุน ไทยยังมีปัจจัยด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์ที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเจรจาได้ เช่น:
• ความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ของไทย:
ไทยตั้งอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญระหว่างมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก สหรัฐฯ มีความสนใจในภูมิภาคนี้เพื่อถ่วงดุลอำนาจกับประเทศอื่น ๆ
• ความร่วมมือด้านความมั่นคง:
ไทยและสหรัฐฯ มีประวัติความร่วมมือทางทหารและความมั่นคงมาอย่างยาวนาน การใช้ความสัมพันธ์เหล่านี้ในการเจรจาอาจช่วยเสริมสร้างอำนาจต่อรองของไทย
ยิ่งไปกว่านั้น ไทยเรายังมี อาเซียน RCEP และ Indo-Pacific ทำไมไม่คิดเอาเรื่องพวกนี้มาพิจารณาเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง
• อาเซียน (ASEAN): สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย 10 ประเทศสมาชิก รวมถึงไทย มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมในภูมิภาค
• RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership): ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เป็นข้อตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบด้วย 15 ประเทศ ได้แก่ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มีเป้าหมายในการลดภาษีและอุปสรรคทางการค้า เพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศสมาชิก
• Indo-Pacific: แนวคิดยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ และพันธมิตรใช้ในการส่งเสริมความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ซึ่งครอบคลุมพื้นที่จากมหาสมุทรอินเดียถึงมหาสมุทรแปซิฟิก สหรัฐฯ ได้เสนอกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework: IPEF) เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้
การที่ไทยเป็นสมาชิกของอาเซียนและ RCEP และมีบทบาทในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ทำให้ไทยมีตำแหน่งที่สำคัญในเวทีระหว่างประเทศ การใช้ประโยชน์จากความร่วมมือและข้อตกลงเหล่านี้ในการเจรจากับสหรัฐฯ อาจช่วยเสริมสร้างอำนาจต่อรองของไทยได้
สรุปแล้วไทยควรพิจารณาใช้ปัจจัยด้านความมั่นคง ภูมิรัฐศาสตร์ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ควบคู่ไปกับด้านเศรษฐกิจ เพื่อเสริมสร้างอำนาจต่อรองในการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อเสริมสร้างอำนาจต่อรองของประเทศไทยในการเจรจากับสหรัฐอเมริกา รัฐบาลควรดำเนินกลยุทธ์ที่ผสมผสานปัจจัยด้านความมั่นคง ภูมิรัฐศาสตร์ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ควบคู่ไปกับด้านเศรษฐกิจ ดังนี้:
1. ใช้ประโยชน์จากความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ของไทย:
ประเทศไทยตั้งอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ซึ่งเป็นที่สนใจของสหรัฐฯ ในการถ่วงดุลอำนาจกับประเทศอื่น ๆ การเน้นย้ำบทบาทของไทยในภูมิภาคนี้สามารถเพิ่มความสำคัญของไทยในสายตาสหรัฐฯ
2. เสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคง:
ไทยและสหรัฐฯ มีความร่วมมือทางทหารและความมั่นคงมาอย่างยาวนาน การขยายความร่วมมือเหล่านี้ เช่น การฝึกซ้อมทางทหารร่วมกัน หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง สามารถใช้เป็นปัจจัยในการเจรจาเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
3. ใช้ประโยชน์จากความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค:
การเป็นสมาชิกของอาเซียนและ RCEP ทำให้ไทยมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับหลายประเทศ การใช้ความสัมพันธ์เหล่านี้ในการสร้างพันธมิตรและข้อตกลงการค้าสามารถเพิ่มอำนาจต่อรองของไทยในการเจรจากับสหรัฐฯ
4. พิจารณาการเข้าร่วมกรอบความร่วมมือใหม่ ๆ:
การเข้าร่วมกรอบความร่วมมือเช่น Indo-Pacific Economic Framework (IPEF) ที่สหรัฐฯ ริเริ่ม สามารถเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค
5. กระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ:
ลดการพึ่งพาการค้ากับสหรัฐฯ โดยการขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ และส่งเสริมการค้าภายในภูมิภาค เพื่อสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจและลดผลกระทบจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ
6. ส่งเสริมการลงทุนจากสหรัฐฯ ในไทย:
สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพ เช่น เทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาด เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
การดำเนินการตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยให้ไทยมีอำนาจต่อรองที่แข็งแกร่งขึ้นในการเจรจากับสหรัฐฯ และเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศในระยะยาว
ทรัมป์เก็บภาษี 10% สินค้านำเข้าทั้งโลก: ไทย-สหรัฐฯ ใครได้ ใครเสีย?
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างแรงสั่นสะเทือนอีกครั้ง ด้วยการประกาศเก็บ “ภาษีพื้นฐาน” (baseline tariff) 10% ต่อสินค้าทุกชนิดที่นำเข้าจากทั่วโลก และจะใช้ “ภาษีตอบโต้” (reciprocal tariff) กับประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าอย่างหนัก — โดย ประเทศไทย ก็อยู่ในกลุ่มนั้น และถูกตั้งกำแพงภาษีสูงถึง 36%
คำถามคือ: ประเทศไทยและสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบอย่างไร?
มาลองวิเคราะห์ด้วย PESTEL
PESTEL คือเครื่องมือวิเคราะห์สถานการณ์รอบด้าน ที่นิยมใช้กันในแวดวงธุรกิจและการวางนโยบาย เพื่อมองให้ครบว่า “ปัจจัยภายนอก” ใดบ้างที่จะกระทบกับองค์กร ประเทศ หรืออุตสาหกรรม โดยแบ่งออกเป็น 6 ด้านดังนี้:
•P = Political (การเมือง)
•E = Economic (เศรษฐกิจ)
•S = Social (สังคม)
•T = Technological (เทคโนโลยี)
•E = Environmental (สิ่งแวดล้อม)
•L = Legal (กฎหมาย)
การวิเคราะห์แบบ PESTEL ช่วยให้เราเห็นภาพใหญ่ เข้าใจทั้งโอกาสและความเสี่ยงรอบตัวที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจและการวางกลยุทธ์ในระยะสั้นและระยะยาว
1. ปัจจัยทางการเมือง (Political):
• ความสัมพันธ์ทางการทูต: การเป็นสมาชิกของอาเซียนและ RCEP ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศสมาชิกอื่นๆทำให้ไทยมีบทบาทสำคัญในเวทีระหว่างประเทศ
• การเข้าร่วม IPEF: การเข้าร่วมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF) ที่สหรัฐฯริเริ่มสามารถเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับสหรัฐฯและประเทศอื่นๆในภูมิภาค
2. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ (Economic):
• การเข้าถึงตลาด: การเข้าร่วม RCEP เปิดโอกาสให้ไทยเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้นและลดอุปสรรคทางการค้าซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเจรจากับสหรัฐฯ
• การปรับตัวต่อมาตรการภาษี: การพิจารณาลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯและเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรเช่นข้าวโพดถั่วเหลืองเนื้อสัตว์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อช่วยลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ
3. ปัจจัยทางสังคม (Social):
• การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์: ความร่วมมือระหว่างประเทศเปิดโอกาสในการพัฒนาทักษะและการศึกษาเพื่อรองรับความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลง
• การส่งเสริมความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรม: การเป็นส่วนหนึ่งของอาเซียนทำให้ไทยมีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมที่หลากหลายซึ่งสามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม
4. ปัจจัยทางเทคโนโลยี (Technological):
• การถ่ายทอดเทคโนโลยี: ความร่วมมือภายใต้กรอบ RCEP และ IPEF สามารถส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่ประเทศไทย
• การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล: การเข้าร่วมข้อตกลงระหว่างประเทศช่วยสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
5. ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม (Environmental):
• ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม: การเป็นสมาชิกของข้อตกลงระหว่างประเทศเปิดโอกาสในการร่วมมือด้านการปกป้องสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน
• การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ความร่วมมือในระดับภูมิภาคช่วยให้ไทยสามารถเข้าถึงทรัพยากรและเทคโนโลยีเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
6. ปัจจัยทางกฎหมาย (Legal):
• การปฏิบัติตามมาตรฐานสากล: การเข้าร่วมข้อตกลงระหว่างประเทศทำให้ไทยต้องปรับปรุงกฎหมายและระเบียบข้อบังคับให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลซึ่งช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือในระดับนานาชาติ
• การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา: ความร่วมมือระหว่างประเทศส่งเสริมการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและสิทธิทางการค้า
พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
การที่สหรัฐฯ ประกาศเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยถึง 36% อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในวิกฤตนี้ยังมีโอกาสที่ไทยสามารถใช้เพื่อปรับตัวและเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ดังนี้:
1. การปรับโครงสร้างการผลิตและการส่งออก:
เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า: พัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพสูงและมีนวัตกรรมเพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
เน้นสินค้าที่ไทยมีความเชี่ยวชาญ: ส่งเสริมการผลิตและส่งออกสินค้าที่ไทยมีความเชี่ยวชาญและมีความต้องการสูงในตลาดโลกเช่นสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป
2. การขยายตลาดส่งออกใหม่:
กระจายความเสี่ยงทางการค้า: ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯโดยการหาตลาดใหม่ในภูมิภาคอื่นๆเช่นเอเชียใต้ลาตินอเมริกาและแอฟริกา
สร้างความร่วมมือทางการค้า: เข้าร่วมและเสริมสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มการค้าและข้อตกลงการค้าเสรีในภูมิภาคต่างๆเพื่อเปิดโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่
3. การเจรจาและความร่วมมือกับสหรัฐฯ:
เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ: พิจารณานำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯมากขึ้นเช่นข้าวโพดถั่วเหลืองเนื้อวัวและสุราเพื่อสร้างสมดุลทางการค้าและลดความตึงเครียด
ลดอุปสรรคทางการค้า: พิจารณาลดภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทจากสหรัฐฯเพื่อแสดงความยืดหยุ่นและเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้า
4. การพัฒนาความสามารถในการแข่งขันภายในประเทศ:
ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม: ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า
พัฒนาทรัพยากรมนุษย์: ยกระดับทักษะและความรู้ของแรงงานไทยเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและความต้องการของตลาดโลก
ใช้การจัดการแบรนด์ (Brand Management) รับมือมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
การจัดการแบรนด์สามารถมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างอำนาจต่อรองของประเทศไทยในการเจรจากับสหรัฐฯ และตอบสนองต่อมาตรการภาษีได้อีกด้วย โดยการประยุกต์ใช้แนวคิดดังนี้:
1. สร้างและส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศ (Nation Branding):
การพัฒนาและส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในระดับสากล (Nation Branding) เป็นกลยุทธ์สำคัญที่สามารถช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและดึงดูดการ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความน่าสนใจในการทำธุรกิจกับประเทศอื่น ๆ รวมถึงสหรัฐอเมริกา
การดำเนินการในด้านนี้สามารถทำได้โดย:
• ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และวัฒนธรรมท้องถิ่น: การพัฒนาและโปรโมตสินค้าทางวัฒนธรรม เช่น อาหารไทย ดนตรี ภาพยนตร์ และศิลปะ สามารถเสริมสร้างความน่าสนใจและความแตกต่างของประเทศไทยในสายตาชาวต่างชาติ การจัดตั้งหน่วยงานอย่าง Thailand Creative Culture Agency (THACCA) เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์เป็นตัวอย่างของความพยายามในด้านนี้
• เข้าร่วมและมีบทบาทในเวทีความร่วมมือระหว่างประเทศ: การเข้าร่วมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เช่น อาเซียน, RCEP และ IPEF ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับประเทศสมาชิกอื่น ๆ การมีบทบาทสำคัญในเวทีเหล่านี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความสำคัญของประเทศไทยในระดับสากล
• พัฒนาสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสูง: การเน้นการผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูง จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและนักลงทุนต่างชาติ การสร้างแบรนด์สินค้าที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับในตลาดโลกจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ
• ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการจัดงานระดับนานาชาติ: การจัดกิจกรรมและงานแสดงสินค้านานาชาติ เช่น การประชุมและนิทรรศการ จะช่วยเพิ่มการรับรู้และความน่าสนใจของประเทศไทยในสายตาชาวต่างชาติ การดำเนินงานของหน่วยงานอย่าง Thailand Convention and Exhibition Bureau (TCEB) เป็นตัวอย่างของความพยายามในด้านนี้
• พัฒนาทรัพยากรมนุษย์และความสามารถในการแข่งขัน: การลงทุนในการศึกษาและการพัฒนาทักษะของประชากร เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับตลาดแรงงานที่มีความต้องการสูง จะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความน่าสนใจของประเทศไทยในสายตานักลงทุนต่างชาติ
2. เน้นย้ำคุณค่าของสินค้าส่งออกไทย:
การจัดการแบรนด์ที่มีประสิทธิภาพสามารถช่วยให้สินค้าส่งออกของไทยมีความโดดเด่นในตลาดโลก แม้จะเผชิญกับมาตรการภาษี โดยการสร้างความแตกต่างและคุณค่าเฉพาะตัวในสินค้าส่งออก เช่น สินค้าเกษตรและหัตถกรรม สามารถดำเนินการได้ดังนี้:
• สร้างและพัฒนาแบรนด์ระดับประเทศ (Nation Branding):
กำหนดอัตลักษณ์และคุณค่าของแบรนด์ไทย: พัฒนาภาพลักษณ์ที่ชัดเจนและสื่อถึงคุณค่าที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย เช่น ความเป็นธรรมชาติ วัฒนธรรมที่หลากหลาย และคุณภาพของสินค้า
ใช้สัญลักษณ์และสโลแกนที่สื่อถึงประเทศไทย: สร้างสัญลักษณ์หรือสโลแกนที่สามารถจดจำได้ง่ายและสื่อถึงความเป็นไทยเพื่อใช้ในการโปรโมตสินค้าส่งออก
• พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของสินค้า:
ยกระดับมาตรฐานการผลิต: ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลเพื่อให้สินค้ามีคุณภาพสูงและเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก
การรับรองและเครื่องหมายคุณภาพ: ขอรับรองจากองค์กรสากลหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงถึงคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
• ออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดและสื่อถึงความเป็นไทย:
การออกแบบที่สื่อถึงวัฒนธรรมไทย: ใช้ลวดลายสีสันหรือสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความเป็นไทยในการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อสร้างความแตกต่างและดึงดูดความสนใจ
บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: เลือกใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้หรือรีไซเคิลได้เพื่อสอดคล้องกับแนวโน้มการบริโภคที่ยั่งยืน
• ส่งเสริมการตลาดและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ:
การเล่าเรื่องราวของสินค้า (Storytelling): นำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับที่มาของสินค้ากระบวนการผลิตหรือชุมชนที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้บริโภค
ใช้ช่องทางการตลาดดิจิทัล: โปรโมตสินค้าผ่านสื่อสังคมออนไลน์เว็บไซต์และแพลตฟอร์มการค้าระหว่างประเทศเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น
• สร้างความร่วมมือและเครือข่ายระหว่างประเทศ:
เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ: นำเสนอสินค้าในงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติเพื่อเพิ่มโอกาสในการเจรจาธุรกิจและขยายตลาด
สร้างพันธมิตรกับผู้จัดจำหน่ายในต่างประเทศ: ร่วมมือกับผู้จัดจำหน่ายหรือร้านค้าในต่างประเทศเพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายและความน่าเชื่อถือของสินค้า
• พัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดเป้าหมาย:
วิจัยตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค: ศึกษาแนวโน้มและความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละประเทศเพื่อปรับปรุงสินค้าให้ตรงกับความต้องการ
ปรับแต่งสินค้าให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมท้องถิ่น: ปรับปรุงรสชาติขนาดหรือรูปแบบของสินค้าให้สอดคล้องกับความนิยมและวัฒนธรรมของตลาดเป้าหมาย
3. สร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศ:
การจัดการแบรนด์สามารถเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างอำนาจต่อรองของประเทศไทยในการเจรจากับสหรัฐฯ โดยการเข้าร่วมและมีบทบาทในองค์กรระหว่างประเทศ เช่น อาเซียน (ASEAN), ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และ กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF) มีรายละเอียดดังนี้:
• การเข้าร่วมและบทบาทในอาเซียน (ASEAN):
การสร้างความเป็นหนึ่งเดียวในภูมิภาค: การเป็นสมาชิกของอาเซียนช่วยให้ไทยมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและทิศทางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและการเมืองกับประเทศสมาชิกอื่นๆ
การใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี: อาเซียนมีข้อตกลงการค้าเสรีกับหลายประเทศซึ่งช่วยให้สินค้าส่งออกของไทยเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
• การเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP):
การขยายตลาดและการลงทุน: RCEP เป็นข้อตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งรวมถึงประเทศในเอเชียแปซิฟิก 15 ประเทศการเข้าร่วม RCEP ช่วยให้ไทยสามารถขยายการค้าและการลงทุนกับประเทศสมาชิกอื่นๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศสมาชิก: การมีส่วนร่วมใน RCEP ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับประเทศสมาชิกอื่นๆซึ่งสามารถใช้เป็นฐานในการเจรจากับสหรัฐฯ
• การเข้าร่วมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF):
การสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี: การเข้าร่วม IPEF ช่วยให้ไทยมีโอกาสในการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีกับประเทศสมาชิกอื่นๆรวมถึงสหรัฐฯ
การเสริมสร้างภาพลักษณ์ในเวทีระหว่างประเทศ: การมีบทบาทใน IPEF ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของไทยในฐานะประเทศที่มีความร่วมมือและเปิดกว้างต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค
• การใช้การจัดการแบรนด์ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ:
การโปรโมตภาพลักษณ์ของประเทศ: การจัดการแบรนด์ที่มีประสิทธิภาพช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของไทยในสายตาประเทศคู่ค้าทำให้ไทยเป็นที่ยอมรับและน่าเชื่อถือในการทำธุรกิจและการลงทุน
การสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าส่งออก: การสร้างแบรนด์สินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูงช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในต่างประเทศแม้จะเผชิญกับมาตรการภาษี
4. ปรับกลยุทธ์การตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์การค้า:
การจัดการแบรนด์ช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะการค้าโลก เช่น มาตรการภาษี โดยการพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น การขยายตลาดไปยังประเทศอื่น ๆ หรือการพัฒนาสินค้าใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดเป้าหมาย
การปรับกลยุทธ์การตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์การค้าโลกที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ สามารถดำเนินการได้ดังนี้:
• ขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ:
วิเคราะห์และเจาะตลาดใหม่: ศึกษาความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศที่มีศักยภาพเช่นประเทศในเอเชียยุโรปหรือแอฟริกาเพื่อหาช่องทางการส่งออกใหม่ๆที่ไม่ถูกกำแพงภาษีสูง
สร้างความร่วมมือทางการค้า: เข้าร่วมข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศหรือกลุ่มประเทศที่มีความสนใจเพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและลดอุปสรรคทางการค้า
• พัฒนาสินค้าใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดเป้าหมาย:
นวัตกรรมและการปรับปรุงสินค้า: พัฒนาสินค้าที่มีคุณลักษณะเฉพาะหรือมูลค่าเพิ่มเช่นสินค้าเกษตรอินทรีย์สินค้าแปรรูปหรือสินค้าที่มีการออกแบบที่โดดเด่นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในตลาดเป้าหมาย
ปรับปรุงมาตรฐานและคุณภาพ: ยกระดับมาตรฐานการผลิตและคุณภาพของสินค้าให้สอดคล้องกับข้อกำหนดและความคาดหวังของตลาดเป้าหมายเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความพึงพอใจในสินค้า
• ปรับกลยุทธ์การกำหนดราคา:
วิเคราะห์ต้นทุนและกำไร: ประเมินต้นทุนการผลิตและการจัดจำหน่ายเพื่อกำหนดราคาที่สามารถแข่งขันได้แม้จะมีการเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้น
ใช้กลยุทธ์การตั้งราคาแบบยืดหยุ่น: พิจารณาการตั้งราคาแบบยืดหยุ่นเช่นการเสนอส่วนลดโปรโมชั่นหรือแพ็คเกจพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้าและรักษาส่วนแบ่งตลาด
• เสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ:
พัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า: สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืนกับลูกค้าในตลาดเป้าหมายผ่านการให้บริการที่ดีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
สร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ: ร่วมมือกับผู้จัดจำหน่ายตัวแทนหรือพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศเป้าหมายเพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายและเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการแข่งขัน
• ใช้เทคโนโลยีและการตลาดดิจิทัล:
เพิ่มการตลาดออนไลน์: ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์และสื่อสังคมเพื่อโปรโมตสินค้าและเข้าถึงลูกค้าในตลาดเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พัฒนาช่องทางการขายออนไลน์: สร้างหรือปรับปรุงเว็บไซต์และแอปพลิเคชันสำหรับการขายสินค้าออนไลน์เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าและขยายฐานลูกค้า
การดำเนินกลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถปรับตัวและแข่งขันได้ในสภาวะการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลง และลดผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ