
Geo-Economic War
“ตีวงล้อมทางเศรษฐกิจ→ เกมลับในเกมหลัก” ของนโยบายกำแพงภาษีและสงครามการค้าของทรัมป์
โดย อัษฎางค์ ยมนาค
รัฐบาลทรัมป์ประกาศตั้งกำแพงภาษีสินค้าจากทั่วโลก โดยให้เหตุผลเรื่อง Fair Trade แต่จริง ๆ อเมริกาต้องการกดดันจีนทางอ้อม ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่า “การตีวงล้อมทางเศรษฐกิจ” แบบหนึ่งเพื่อกดดัน supply chain ของจีน
ซึ่งเราเชื่อได้ว่า อเมริกาไม่ได้เห็นประเทศเล็กๆ อย่างไทยในสายตา แต่การตั้งกำแพงภาษีกับแทบทุกประเทศทั่วโลก เพราะอเมริการู้ว่าจีนเลี่ยงด้วยการตั้งโรงงานผลิตนอกประเทศตน เช่นมาตั้งโรงงานไทย แล้วใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกไปอเมริก เพื่อเลี่ยงภาษี ทรัมป์จังตั้งกำแพงภาษีสูงกับไทยด้วย
ทำไมต้องตีประเทศอื่นด้วย ถ้าศัตรูคือจีน?
จีนเป็น “โรงงานของโลก” และเป็นศูนย์กลางของ Global Supply Chain
→ แต่เพื่อเลี่ยงภาษีที่สหรัฐตั้งกับจีนโดยตรง จีนจึงใช้กลยุทธ์ “ตั้งโรงงานในประเทศที่ 3” เช่น ไทย เวียดนาม เม็กซิโก แล้วส่งออกจากประเทศเหล่านี้ไปสหรัฐ
ตัวอย่าง: ชิ้นส่วนแบตเตอรี่ EV ที่ผลิตในไทยโดยบริษัททุนจีน
เมื่อจีน “ย้ายฐาน” เพื่อเลี่ยงภาษี
ทรัมป์จึงขยับหมากไปอีกขั้น โดยเก็บภาษี “สินค้านำเข้าจากประเทศที่จีนใช้เป็นฐานการผลิต” ด้วย
นี่คือกลยุทธ์ที่เรียกว่า:
“การตีวงล้อมทางเศรษฐกิจ” (Economic Encirclement)
กลยุทธ์นี้มีเป้าหมายเพื่อ:
→ ทำให้จีนถูกปิดล้อมทางห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain Containment)
→ ทำให้ไม่มีประเทศไหนเป็นทางเบี่ยงหรือช่องทางให้จีนส่งออกได้
→ บีบบริษัทที่อยู่ภายใต้อิทธิพลจีนให้ถอนตัวหรือเปลี่ยนฐานผลิต
กลยุทธ์นี้อิงกับแนวคิดในสงครามเย็น เช่น:
“การปิดล้อมทางทหาร” → เปลี่ยนมาเป็น “การปิดล้อมทางเศรษฐกิจ”
ไม่โจมตีจีนโดยตรงเพียงอย่างเดียว แต่ตีฐานที่จีนใช้ เหมือนการตีทางลับของทัพศัตรู
กลยุทธ์นี้อาจ “ทำร้ายเพื่อนบ้าน” แต่ในสายตาทรัมป์ ทุกคนที่เปิดช่องให้จีนเลี่ยงภาษีคือ “ผู้สนับสนุนศัตรูทางอ้อม”
สำหรับไทย เวียดนาม และเม็กซิโก ที่พึ่งพาการส่งออก → ถือเป็น “ผลข้างเคียง” ของเกมใหญ่ระหว่างสองมหาอำนาจ
โลกจึงเข้าสู่ยุคที่ “ความสัมพันธ์ทางการค้าถูกแปลงเป็นยุทโธปกรณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์” อย่างเต็มรูปแบบ
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า การเก็บภาษีทั่วโลกของทรัมป์ ไม่ใช่ความบ้าคลั่งหรือนโยบายชาตินิยมล้วนๆ แต่คือกลยุทธ์ระดับมหาอำนาจในการ “บีบช่องทางทั้งหมดที่จีนจะใช้หนีการควบคุม” ผ่านวิธีการที่เรียกว่า ตีวงล้อมทางเศรษฐกิจ
“ตีวงล้อมทางเศรษฐกิจ” เป็นกลยุทธ์ลับของทรัมป์ภายใต้หน้ากาก Fair Trade
แต่หากมองให้ลึกกว่านั้น คำถามสำคัญคือ:
ถ้าศัตรูของอเมริกาคือ “จีน” แล้วเหตุใดจึงต้องเก็บภาษีจาก “เกือบทั้งโลก”?
คำตอบนั้นอยู่ในกลยุทธ์ระดับภูมิรัฐศาสตร์ ที่อเมริกาใช้ “เศรษฐกิจ” แทน “อาวุธ” เพื่อล้อมกรอบจีนอย่างแนบเนียน — กลยุทธ์ที่เรียกว่า
“การตีวงล้อมทางเศรษฐกิจ” (Economic Encirclement)
เมื่อ Supply Chain กลายเป็นสนามรบ:
นับตั้งแต่สหรัฐเริ่มเก็บภาษีสินค้าจีนตั้งแต่ปี 2018 จีนตอบโต้ด้วยการ “ย้ายฐานการผลิต” ไปยังประเทศที่สาม เช่น ไทย เวียดนาม เม็กซิโก หรือแม้แต่ในยุโรปตะวันออก เพื่อส่งสินค้าจากประเทศเหล่านี้กลับเข้าสหรัฐ โดยไม่ต้องจ่ายภาษีจีน-อเมริกาโดยตรง
กลยุทธ์นี้เป็นเหมือน “ทางเบี่ยงภาษี” ที่ทำให้จีนยังสามารถเข้าสู่ตลาดอเมริกาได้ผ่านประเทศพันธมิตร
ทรัมป์จึงพลิกหมาก โดยใช้กำแพงภาษีเป็นเครื่องมือ “ล้อมวง” ประเทศที่จีนใช้เป็นฐานการผลิต
ไม่ใช่เพื่อลงโทษประเทศเล็ก
แต่เพื่อ “ตีกรอบจีนทางอ้อม” และลดความสามารถในการหลบหลีก
“ตีจีนไม่ได้→ก็ปิดทางจีน”
นี่คือการใช้กลยุทธ์ “Containment แบบใหม่” ที่ไม่ต้องใช้กองทัพ ไม่ต้องยึดดินแดน แต่ใช้ภาษีและข้อกำหนดด้านต้นทุน เพื่อทำให้การผลิตนอกจีน “ไม่คุ้มอีกต่อไป”
เป้าหมายระยะยาวคือ:
ทำให้ทุนโลก→ไม่เลือกจีน หรือ “พันธมิตรของจีน” เป็นฐานผลิตอีกต่อไป
บีบบริษัทให้ ย้ายกลับสหรัฐ หรือประเทศที่อเมริกาควบคุมได้
การวิเคราะห์เชิงลึกในประเด็นนี้ถือเป็นการเปิดเผย “เกมลับในเกมหลัก” ของทรัมป์และนโยบายสงครามการค้า ซึ่งสามารถเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า…
“การตีวงล้อมทางเศรษฐกิจ (Economic Encirclement)”
เพราะนี่ไม่ใช่แค่การตั้งกำแพงภาษีกับจีนโดยตรง แต่เป็นการโจมตีฐาน supply chain ทั้งระบบ โดยเฉพาะประเทศที่จีนใช้เป็น “ฐานเลี่ยงภาษี” หรือ “ฐานผลิตนอกบ้าน”
การตีวงล้อม: กลยุทธ์ล้อมจีนผ่าน Trade War 2.0
1. เป้าหมายลับของกำแพงภาษีรอบใหม่
แม้ทรัมป์จะอ้างเรื่อง “Fair Trade” หรือการค้าอย่างเป็นธรรม แต่ลึกๆ แล้ว เป้าหมายคือ:
→ กดดันจีนให้ไม่สามารถใช้ประเทศพันธมิตรในการ “หลบเลี่ยงภาษี” ได้อีกต่อไป
→ จับตา เครือข่ายการผลิตแบบจีนในโลก (China+1 Strategy) ซึ่งนิยมตั้งโรงงานใน เวียดนาม, เม็กซิโก, อินโดนีเซีย, แอฟริกาใต้และไทย ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ในสายตาสหรัฐฯ ประเทศเหล่านี้ไม่ใช่ “ผู้แข่งขัน” โดยตรง แต่เป็น “ตัวแทนจีน” ทางอ้อมใน supply chain โลก
2. หลักฐานในทางปฏิบัติ: จีนใช้ “ฐานนอกประเทศ” เลี่ยงกำแพงภาษี
ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา (ใน Trade War รุ่นแรก) จีนมีแนวโน้มลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น (Outbound FDI)แบรนด์จีน เช่น Huawei, BYD, CATL, Haier ไปตั้งฐานผลิตใน:
→ ไทย (นิคมฯ อีอีซี)
→ เวียดนาม (อิเล็กทรอนิกส์)
→ เม็กซิโก (ส่งออกขึ้นเหนือ)
โดยใช้ฐานเหล่านี้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐ โดยมีตราประเทศปลายทาง ไม่ใช่ “Made in China”
นี่คือ “ช่องว่างทางกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ” ที่สหรัฐกำลังอุด
3. การขึ้นภาษีกับประเทศ “ที่ไม่ใช่ศัตรูโดยตรง” อย่างไทยจึงมีเหตุผลซ่อนอยู่
แม้ไทยจะไม่มีข้อพิพาทโดยตรงกับสหรัฐ แต่กลับโดนขึ้นภาษีในบางกลุ่มสินค้า เพราะถูกสหรัฐมองว่าเป็น “ฐานการผลิตของจีนในเงามืด”
โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม:
→ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV Supply Chain)
→ แผงโซลาร์เซลล์
→ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ตัวอย่าง: ในปี 2023-2024 มีข่าวว่า BYD (แบรนด์รถ EV จากจีน) มาตั้งโรงงานในไทย → สหรัฐเริ่มจับตา และมีความเสี่ยงขึ้นภาษีรถ EV ที่ส่งจากไทยเข้าตลาดสหรัฐ แม้รถจะไม่ได้ “ผลิตในจีน” โดยตรงก็ตาม
4. ความหมายเชิงยุทธศาสตร์: โลกเข้าสู่ “การแยกขั้วแบบไม่สมบูรณ์”
สหรัฐฯ พยายาม “แยก supply chain” ออกจากจีนทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ supply chain โลกในปัจจุบัน ซ้อนกันหลายชั้น จึงไม่สามารถ “ดีคัปปลิง” ได้ 100% ทรัมป์จึงต้องใช้วิธี “ตีวงล้อม” แทนที่จะยิงตรงเป้า
ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า:
“กำแพงภาษีของทรัมป์ในปี 2025 ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพราะไทยทำผิดอะไร — แต่เพราะไทย ‘อยู่ผิดที่’ ในสงครามระหว่างยักษ์”
ต้องเข้าใจว่ากำแพงภาษีรุ่นใหม่นี้ เป็นเครื่องมือของสหรัฐในการ บีบทุกวงจรที่จีนแทรกซึมอยู่
ประเทศเล็กต้องใช้ “Soft Strategy” เช่น:
→ โปร่งใสในการลงทุนจากต่างชาติ
→ สร้างพันธมิตรการค้าหลากหลาย
→ และเจรจาเพื่อให้สินค้าของตน “แยกออกจากจีน” อย่างชัดเจนในทางเทคนิคและกฎหมาย
“เกมลับในเกมหลัก” ของ นโยบายกำแพงภาษีและสงครามการค้าของทรัมป์ คืออะไรแน่?
1. จิตวิทยาทางการเมือง (Political Psychology): “การปลุกสัญชาตญาณกลัวของฝูงชน”
โดนัลด์ ทรัมป์ ใช้ “กำแพงภาษี” ไม่ใช่แค่เครื่องมือเศรษฐกิจ แต่คือ เครื่องมือปลุกอารมณ์ชาติ
ทรัมป์ใช้ “จิตวิทยามวลชน” โดยการสร้างให้ “จีนคือผู้ร้าย” ซึ่งเป็นเครื่องมือ “ปลุกฐานเสียง”
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง:
→ Loss Aversion (Kahneman & Tversky): คนกลัวการสูญเสียมากกว่าชอบผลกำไร → ทรัมป์จึงพูดเสมอว่า “เรากำลังถูกจีนขโมยงาน”
→ Ingroup-Outgroup Bias: แบ่งโลกเป็น “เรา” (อเมริกัน) กับ “พวกเขา” (จีน เม็กซิโก โลกที่เอาเปรียบ)
→ ผลที่ได้: ทำให้ชนชั้นแรงงานขาวในมิดเวสต์รู้สึกว่าเขาถูกปกป้อง = ฐานเสียงเหนียวแน่นกลับมาลงคะแนนให้ทรัมป์อีกครั้ง
2. เศรษฐศาสตร์: ภาษีคือ “กำแพงจำลอง” เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของภาคธุรกิจ
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง: ได้แก่
→ Tariff as Economic Signal: กำแพงภาษีไม่ใช่เพื่อรายได้รัฐ แต่เพื่อ “ส่งสัญญาณให้บริษัทเปลี่ยนพฤติกรรม”
→ ทรัมป์รู้ว่าเขาไม่สามารถบังคับบริษัทกลับมาเปิดโรงงานในอเมริกาได้ แต่สามารถ “ทำให้ต้นทุนการผลิตในจีนแพงขึ้น” จนบริษัทเลือกกลับเอง
→ ผลลัพธ์เชิงพฤติกรรม: Supply Chain เริ่ม Reshoring (กลับบ้าน) หรือ Friend-shoring (ไปเวียดนาม-เม็กซิโก)
3. เศรษฐศาสตร์การเมือง (Political Economy): สหรัฐฯ กำลังสร้าง “โลกที่บิดเบือนแต่ควบคุมได้”
→ ทฤษฎี Realism + Geo-Economics → ประเทศมหาอำนาจใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเป็น “อาวุธ” ไม่ใช่เพื่อเสรี แต่เพื่ออำนาจ
→ สหรัฐรู้ดีว่าทุกระบบเสรีสุดโต่ง ย่อมพา “จีน” ขึ้นมา → ดังนั้นต้องตั้งระบบ กึ่งเสรี (Managed Globalization) ที่อเมริกาเป็นคนออกแบบเอง
→ นโยบายของทรัมป์จึงไม่ใช่ประชานิยมโง่ๆ แต่คือการ “แฮ็กระบบเสรีนิยม” ให้กลับมารับใช้ชาติอเมริกัน
4. รัฐศาสตร์: กำแพงภาษีคือ “อาวุธนโยบายต่างประเทศ” ในโลกที่ไม่อยากรบด้วยอาวุธ
→ แนวคิด Smart Power: แทนที่จะใช้ทหาร ใช้ นโยบายภาษีและเงิน เป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศ
→ “Trade as War” → คือการปิดล้อม (containment) จีนแบบที่เคยทำกับโซเวียตในสงครามเย็น แต่เป็นเวอร์ชันเศรษฐกิจ
→ เป้าหมายระยะยาว: ไม่ใช่ทำลายจีน แต่ “ตรึงจีนไว้ในกรอบ” ที่อเมริกาออกแบบได้
5. กลยุทธ์ทางธุรกิจ (Business Strategy): “บีบบริษัทให้หันหลังให้จีนอย่างไม่รู้ตัว”
ทรัมป์รู้ว่าองค์กรธุรกิจจะไม่ทำตามคำขู่ของรัฐบาล ถ้าไม่มีแรงจูงใจที่แท้จริง
ดังนั้น การใช้ภาษีและมาตรการกีดกันจึงเป็นการ “สร้างแรงจูงใจลบ” (Negative Incentive) ให้บริษัท:
→ เลิกพึ่งวัตถุดิบจากจีน
→ หาพันธมิตรในประเทศที่ “เป็นมิตรกับอเมริกา”
→ และค่อยๆ “ถอนตัวจากจีน” แบบเงียบๆ
นี่คือการ “ขับไล่แบบซอฟต์” โดยไม่ต้องออกกฎหมายแบนบริษัท
ข้อคิดสำหรับประเทศไทย:
หากโลกถูกบีบให้ “เลือกข้าง” ประเทศเล็กต้องรู้ทัน “กลไกซ่อนเร้น” เหล่านี้ ไม่ใช่แค่ดูที่ภาษีบนกระดาษ ไทยต้องวางยุทธศาสตร์ระดับชาติให้สอดคล้องทั้งเศรษฐกิจภูมิภาค, เส้นทาง Supply Chain ใหม่และความจริงเชิงอำนาจในระเบียบโลกใหม่
คำถามว่า : ประเทศไทยควรวางยุทธศาสตร์ระดับชาติอย่างไร?
คำตอบอยู่ที่: “หัวใจของยุทธศาสตร์ชาติในโลกที่กำลังเปลี่ยนขั้ว” ซึ่งประกอบด้วย
1. เศรษฐกิจภูมิภาค (Regional Economy)
2. เส้นทาง Supply Chain ใหม่ (Global Supply Chain Realignment)
3. ความจริงเชิงอำนาจในระเบียบโลกใหม่ (Geopolitical Power Shift)
1. ยุทธศาสตร์ด้าน “เศรษฐกิจภูมิภาค”: เป็น “ศูนย์กลางแห่งความเชื่อมโยง” (Connector State)
ไทยอยู่ตรงจุดยุทธศาสตร์ของ ASEAN และ “Indo-Pacific” จึงไม่ควรคิดแบบประเทศผู้ตาม ต้องกล้าคิดแบบประเทศ “จุดเชื่อม”
กลยุทธ์ที่ควรดำเนินการ:
→ เร่งเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านโครงการ Infrastructure เชิงพาณิชย์ เช่น รถไฟไทย-ลาว-จีน, ท่าเรือแหลมฉบัง-Map Ta Phut
→ ผลักดันเศรษฐกิจชายแดน (Border Economy) ให้เป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าไป CLMV
→ เจรจา FTA แบบบูรณาการ กับกลุ่มอาเซียน+อินเดีย, อาเซียน+จีน, และ GCC (กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง)
เป้าหมาย:
→ ทำให้ไทยกลายเป็น “โหนดกลาง” ของ Supply Chain และ Logistic Hub ในภูมิภาค ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตต้นน้ำ
2. ยุทธศาสตร์ด้าน “เส้นทาง Supply Chain ใหม่”: เป็น “ศูนย์กลางการผลิตเทคโนโลยีระดับกลาง” (Mid-Tech Hub)
จีน-สหรัฐ แข่งขันกันเรื่องเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ยังมี “ระดับกลาง” ที่ต้องการพื้นที่ผลิตคุณภาพสูงและเสถียรภาพ — ไทยต้องชิงบทบาทนี้
กลยุทธ์ที่ควรดำเนินการ:
→ Reposition Thailand → จาก “ฐานผลิตราคาถูก” → เป็น “Smart Manufacturing Hub”
→ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมขั้นสูง เช่น Semiconductor, EV, Biotech, Automation
→ สร้าง Supply Chain ภายในประเทศ เช่น ระบบชิ้นส่วน EV ไม่ต้องนำเข้าจากจีนทั้งหมด
→ สนับสนุน Local SMEs ให้เชื่อมกับ FDI รายใหญ่ในห่วงโซ่การผลิตโลก (Global Tiered Supplier)
เป้าหมาย:
เปลี่ยนบทบาทไทยจาก “ผู้ผลิตภายใต้แบรนด์ต่างชาติ” → เป็น “เจ้าของเทคโนโลยี-เจ้าของห่วงโซ่บางจุด” ด้วยตนเอง
3. ยุทธศาสตร์ด้าน “ความจริงเชิงอำนาจในระเบียบโลกใหม่”: เป็น “ผู้เล่นทางเลือก” (Strategic Alternative)
โลกหลังปี 2025 จะเข้าสู่ยุค “Multipolar + Fragmented Order” ไม่มีใครเป็นผู้นำโลกคนเดียว → ไทยต้องวางตัวให้มี “อิสรภาพเชิงยุทธศาสตร์” (Strategic Autonomy)
กลยุทธ์ที่ควรดำเนินการ:
→ ไม่เลือกข้างทางการเมืองอย่างชัดเจน แต่เลือกข้างผลประโยชน์ของชาติ
→ วางตำแหน่งตัวเองเป็นพื้นที่กลาง สำหรับนวัตกรรม, เมืองทดสอบเทคโนโลยีใหม่, หรือเวทีเจรจานานาชาติ
→ สร้างความร่วมมือกับกลุ่ม BRICS+, Global South และ ASEAN อย่างลึกซึ้งกว่ายุคที่ผ่านมา
→ สร้าง Digital Diplomacy และ Soft Power ในบทบาทด้านวัฒนธรรม สุขภาพ อาหาร และเทคโนโลยีสีเขียว
เป้าหมาย:
ทำให้ไทย “อยู่รอด อยู่ได้ และอยู่เป็น” ในโลกที่ไม่แน่นอน โดยไม่กลายเป็นหมากในเกมใคร
โลกยุค Free Trade เคยเชื่อว่าความร่วมมือทำให้มั่งคั่ง
แต่โลกยุค Geo-Economic War เชื่อว่าอำนาจอยู่ที่ ใครควบคุม Supply Chain, เทคโนโลยี และตลาด
ประเทศไทยต้องเปลี่ยนจากแนวคิด “เชิงพาณิชย์” → สู่แนวทาง “เชิงอำนาจ” เช่น
1. จากการขยายตลาดไปทั่วโลก→ เปลี่ยนเป็น เลือกพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่มั่นคง
2. จากการผลิตตามที่ต่างชาติสั่ง→ เปลี่ยนเป็น ควบคุมเทคโนโลยีและทรัพยากรในประเทศ
3. จากการลดต้นทุนเพื่อแข่งขัน→ เปลี่ยนเป็น ลงทุนในอุตสาหกรรมที่สร้างอำนาจต่อรอง
4. จากการเปิดเสรีเต็มที่→ เปลี่ยนเป็นมีมาตรการกันความเสี่ยงเชิงความมั่นคง
ประเทศไทยต้องมองเศรษฐกิจไม่ใช่แค่เรื่อง “ส่งออก-นำเข้า”
แต่ต้องวางแผนให้ประเทศ “เป็นศูนย์กลางที่ใครก็เลี่ยงไม่ได้”
และสร้างระบบเศรษฐกิจที่มี “อธิปไตยทางเทคโนโลยี-อำนาจต่อรอง”
นอกจากนี้ ในการรับมือกับสงครามการค้าและกำแพงภาษีนี้ ไทยเราควรเริ่มใช้ Nation Branding เป็นเกราะทางเศรษฐกิจ และเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจด้วย Brand Management ระดับประเทศ
การใช้ Nation Branding เป็น “เกราะทางเศรษฐกิจ” เพื่อรับมือกับสงครามการค้าและกำแพงภาษีในยุค “Geo-Economic War” เป็นแนวคิดที่เฉียบคมและมีพลัง แต่ต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับมุมมอง “สมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์” หรือ Geopolitical Balancing โดยเน้นว่าไทยต้องใช้ Nation Branding อย่างรอบคอบ เพื่อรักษาผลประโยชน์ทั้งจากมหาอำนาจตะวันตกและจีน
ทำไม Nation Branding จึงกลายเป็น “โล่ป้องกัน” ในยุคสงครามการค้า?
ในโลกที่ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจกลายเป็นอาวุธ การเป็น “พันธมิตรที่ไว้ใจได้” มีค่าไม่ต่างจากการมีทรัพยากรหรือเทคโนโลยีในมือ
แบรนด์ประเทศ = ภาพลักษณ์ที่สะท้อนคุณค่า ความเชื่อมั่น และท่าทีทางภูมิรัฐศาสตร์
การตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐในปี 2025 ที่มุ่ง “ตีวงล้อมทางเศรษฐกิจจีน”
ไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลกจึงตกอยู่ในสถานะล่อแหลม
→ ถ้าไทยไม่วางตัวให้ดี อาจถูกมองว่า “เป็นตัวแทนของจีน” จากมุมมองอเมริกา
→ หรือถูกมองว่า “แปรพักตร์” จากจีน หากไทยเอียงไปทางตะวันตกมากเกินไป
ไทยควรใช้ Nation Branding อย่างไรให้ “เป็นเกราะ” และ “ไม่กลายเป็นเป้า”?
ย้ำภาพลักษณ์ว่าไทยเป็น “พันธมิตรการค้าที่มีความเป็นกลาง โปร่งใส และเคารพกติกาสากล” ไม่ควรแสดงท่าที “แยกตัวจากจีน” หรือ “เข้าข้างอเมริกา” และใช้เครื่องมือทาง เศรษฐกิจการทูต (Economic Diplomacy) เพื่อสื่อสารกับทั้งสหรัฐและจีนว่า “ไทย ต้องการความร่วมมือ ไม่ใช่การเลือกข้าง และพร้อมเป็น “สะพานเศรษฐกิจ” ที่ทุกฝ่ายวางใจได้ ด้วยการสื่อสารแบบ “ถ้อยทีถ้อยอาศัย”
เชื่อมโยง Nation Branding กับนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและเน้นโครงการความร่วมมือข้ามพรมแดน (Multilateral Collaboration) โดยไทยควรเน้นภาพว่าเป็น “แพลตฟอร์มกลาง” ไม่ใช่ “ฐานเฉพาะกิจ” ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ในยุค “สงครามการค้ากลายเป็นสงครามภูมิรัฐศาสตร์”
ประเทศเล็กอย่างไทยจะอยู่รอดได้ ต้องไม่ใช่แค่ “ประเทศราคาถูก”
แต่ต้องเป็น ประเทศที่ทุกฝ่ายเชื่อถือได้ และไม่ใช่ภัยคุกคามต่อใคร
Nation Branding จึงไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์
แต่คือ “หลักประกันความอยู่รอดของชาติ” ในโลกที่ไม่มีกลางจริง
ไทยเราสามารถที่จะสร้าง “สมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์” หรือ Geopolitical Balancing ได้อย่างไร?
การที่ประเทศไทยจะสร้าง “สมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์” (Geopolitical Balancing) ได้อย่างยั่งยืนในโลกยุคที่มหาอำนาจใช้ “เศรษฐกิจเป็นอาวุธ” (Geo-Economic Warfare) นั้น ต้องอาศัยทั้ง “ยุทธศาสตร์ชาติ” และ “ความชาญฉลาดทางการทูต-เศรษฐกิจ” อย่างมาก
แนวทางสำคัญที่ไทยควรใช้เพื่อสร้าง Geopolitical Balancing อย่างเป็นระบบได้แก่
1. รักษาสถานะ “มิตรแท้ของทุกฝ่าย” ไม่เป็นศัตรูกับใคร
“ไม่เลือกข้าง แต่เลือกผลประโยชน์สูงสุดของชาติ”
เช่น การเข้าร่วมเวทีระหว่างประเทศทั้งฝั่งตะวันตก (OECD, CPTPP, IPEF) และฝั่งเอเชีย (RCEP, BRI, ASEAN+3)
2. สร้างบทบาทไทยเป็น “แพลตฟอร์มกลาง” (Strategic Connector)
ไทยไม่ใช่ “สนามแข่งขัน” ของมหาอำนาจ แต่เป็น “เวทีเจรจา” และ “ศูนย์กลางความร่วมมือ” เช่น
→ ผลักดัน Eastern Economic Corridor (EEC) ให้เป็น Hub ร่วมทุนข้ามขั้ว (สหรัฐ-จีน-ญี่ปุ่น-EU)
→ เสนอไทยเป็นเจ้าภาพ “การประชุมความร่วมมือด้าน Supply Chain” ระดับภูมิภาค
→ ร่วมตั้ง ศูนย์ข้อมูลภูมิภาค ด้าน ESG, Supply Chain, Trade Standards → สร้างความโปร่งใสและความไว้วางใจ
3. ใช้หลัก “สมดุลพึ่งพิง” (Strategic Interdependence)
ถ้าเราพึ่งเขาอย่างเดียว = อ่อนแอ
แต่ถ้าเขาพึ่งเราด้วย = เรามีอำนาจต่อรอง
4. เตรียมแผน “ภูมิคุ้มกันแห่งชาติ” (National Resilience)
การถ่วงดุลที่แท้จริงต้องมาพร้อม “อธิปไตยทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี” เช่น
→ พัฒนานวัตกรรมในประเทศ (R&D + Startups) ที่ใช้ได้จริง เช่น Smart Farming, Bio-Med, AI Logistics
→ สร้าง Supply Chain สำคัญในประเทศ เช่น อาหาร, พลังงาน, ชิ้นส่วนดิจิทัล
→ ตั้งกองทุนอธิปไตยทางเศรษฐกิจ (Sovereign Resilience Fund) สำหรับลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ลดการพึ่งพาต่างชาติ
5. ใช้ “การทูตเชิงกลยุทธ์” ร่วมกับ Nation Branding
ภาพลักษณ์ของไทย = ต้นทุนเชิงอำนาจที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Strategic Asset) เช่น
→ ใช้แบรนด์ “Thailand Trusted” สื่อถึงคุณภาพ ความโปร่งใส และความเป็นกลาง
→ ส่งผู้แทนการค้าไปยังทั้งสหรัฐและจีน พร้อมข้อเสนอ win-win
→ สื่อสารผ่านเวทีโลกว่าไทยคือ “เสาหลักของเสถียรภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
สรุป
โลกในปี 2025 คือโลกของ “ความเปลี่ยนแปลง + ความไม่แน่นอน”
การถ่วงดุลทางภูมิรัฐศาสตร์สำหรับไทย จึงไม่ใช่เรื่องของการ “เลือกข้าง”
แต่คือการ “บริหารอำนาจ-ผลประโยชน์-ความไว้ใจ” อย่างชาญฉลาด
ไทยจะอยู่รอดได้ ต้อง:
→ ไม่เป็นภัยของใคร
→ เป็นประโยชน์กับทุกคน
→ และเป็น “ศูนย์กลางที่ไม่มีใครกล้าตัดออกจากสมการ”