
การเปิดใช้งาน “ศูนย์ฝึกและสนับสนุนท่าเรือเรียม” ของจีน-กัมพูชา ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ไม่ใช่เรื่องเล็ก — เพราะมันคือ “ฐานทัพเรือจีนแห่งที่สองนอกประเทศ”
และตั้งอยู่ ในอ่าวไทย ห่างจากชายแดนทะเลไทยแค่ไม่กี่ชั่วโมงเดินเรือ
เรือรบจีน Type 071 และ Type 054 สามารถจอดประจำได้ทั้งปี
สนามบินดาราสาครที่อยู่ข้างๆ ก็รองรับเครื่องบินทหารขนาดใหญ่
แถมโครงการนี้ยังเชื่อมโยงกับ “ยุทธศาสตร์คอคอดกระ” ที่จีนผลักดันมาเกินสิบปี
ทั้งหมดนี้หมายถึงอะไร?
มันหมายถึง… อ่าวไทยกำลังกลายเป็น “สมรภูมิทางยุทธศาสตร์” โดยที่ไทยไม่รู้ตัว
สถานการณ์แบบนี้ย่อมทำให้…
“ทหารเรือขาดขวัญ กำลังใจ และไม่มั่นใจในการเอาเรือออกไปรบ เมื่อต้องเผชิญสถานการณ์จริง”
• งบต่อเรือใหม่ถูกตัดทุกปี
• ไม่ให้งบประมาณในการต่อเรือเลย
• ที่ต่ออยู่ ก็ไม่ดำเนินการให้เสร็จสิ้น
• พิการไปเรื่อยๆ
• สงสาร ประเทศชาติ และประชาชน
• ขณะที่กัมพูชามีเรือรบใหม่ และจีนส่งเรือเข้าจอดฝึกได้ตลอดปี
เราอ่อนแอเกินไปในทะเลของเราเอง
• กองทัพจีนเคลื่อนกำลังได้ 1,300 ไมล์ใน 100 ชั่วโมง
• แต่กองทัพเรือไทย… ยังไม่สามารถซ่อมเรือที่มีให้พร้อมรบได้ครบทุกลำ
นี่คือ “สัญญาณเตือน”
ประเทศไทยควรเป็นผู้เล่น ไม่ใช่ผู้ดู
เพราะหากเราเงียบ อ่าวไทยจะไม่ใช่ “หลังบ้านของไทย” อีกต่อไป
_______________________________________________
จีน-กัมพูชา กับสมการใหม่ในอ่าวไทย: บทสะท้อนต่อยุทธศาสตร์ความมั่นคงของไทย
โดย อัษฎางค์ ยมนาค
บทคัดย่อ
การเปิดใช้งาน “ศูนย์สนับสนุนและฝึกอบรมร่วมท่าเรือเรียม” (Ream Naval Base) ของจีน-กัมพูชาในเดือนเมษายน พ.ศ.2568 เป็นปรากฏการณ์ที่ส่งผลกระทบในเชิงยุทธศาสตร์อย่างลึกซึ้งต่อประเทศไทย ฐานทัพนี้ตั้งอยู่ริมอ่าวไทย ใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชา และมีความสามารถในการรองรับเรือรบหลักของจีนหลายประเภท ทั้งยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินนานาชาติดาราสาคร ซึ่งสามารถรองรับการส่งกำลังทางอากาศระดับยุทธศาสตร์ได้อย่างเต็มรูปแบบ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของการตั้งฐานทางทหารจีนในกัมพูชาโดยเฉพาะต่อประเทศไทยใน 6 มิติ ได้แก่ การเมือง ความมั่นคงทางทหาร เศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยาสาธารณะ และนโยบายสาธารณะ พร้อมผสานข้อคิดเห็นของนายทหารเรือระดับสูงของไทยที่สะท้อนภาวะความอ่อนแอเชิงโครงสร้างของกองทัพเรือไทย และความไม่พร้อมในการตอบสนองต่อภัยคุกคามยุทธศาสตร์รูปแบบใหม่
_______________________________________________
บทนำ
การขยายอิทธิพลทางทะเลของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ทะเลจีนใต้อีกต่อไป แต่กำลังแทรกซึมเข้าสู่ “อ่าวไทย” ผ่านการสร้างพันธมิตรทางทหารกับประเทศเพื่อนบ้านของไทยโดยตรง ฐานทัพเรือเรียมในกัมพูชา ที่ได้รับการอัปเกรดด้วยเงินทุนจากจีน และมีโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับเรือรบขนาดใหญ่ เช่น Type 071 และ Type 054 ได้ เป็นสัญลักษณ์ของการ “ปักหมุดทางยุทธศาสตร์” ของจีนในภูมิภาค
ยิ่งไปกว่านั้น ฐานดังกล่าวยังมีการวางท่าเทียบเรือ ระบบโลจิสติกส์ และอู่ซ่อมบำรุงสำหรับการประจำการระยะยาวของกองทัพเรือจีน ซึ่งอาจกลายเป็นศูนย์กลางการส่งกำลังบำรุงทางทะเลของจีนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และอาจมีบทบาทต่อการปกป้องหรือสนับสนุนโครงการยุทธศาสตร์อื่นของจีน เช่น “คอคอดกระ” ได้ในอนาคต
_______________________________________________
วิเคราะห์ผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ต่อไทย
1. มิติด้านการเมือง
• การท้าทายบทบาทของอาเซียน: การที่กัมพูชายอมให้จีนตั้งศูนย์สนับสนุนทางทหารในประเทศอาจสร้างความแตกแยกในกลุ่มอาเซียนโดยเฉพาะในประเด็นความเป็นกลางทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ไทยต้องวางตัวให้ระมัดระวังมากขึ้นในการประสานกับทั้งจีนและสหรัฐฯ
• แรงกดดันทางการทูตต่อไทย: ประเทศไทยซึ่งมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับทั้งจีนและสหรัฐฯอาจถูกกดดันให้ “เลือกข้าง” ในประเด็นด้านความมั่นคงหรือโครงสร้างพื้นฐานเช่นโครงการคอคอดกระหากจีนต้องการให้ไทยเอื้ออำนวยในลักษณะที่สหรัฐฯมองว่าเป็นภัยเชิงยุทธศาสตร์
_______________________________________________
2. มิติด้านการทหารและความมั่นคง
• ความใกล้ชิดทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง: ฐานทัพเรือเรียมอยู่ในอ่าวไทยไม่ไกลจากฝั่งไทยและอยู่ใกล้ช่องแคบมะละกาและจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญหากจีนสามารถวางกำลังในพื้นที่นี้ได้ถาวรเท่ากับ “เจาะเข้ากลางหลังบ้านของไทย” โดยตรง
• ภัยคุกคามทางความมั่นคงในอนาคต: แม้จีนจะอ้างว่าใช้เพื่อการฝึกบรรเทาภัยพิบัติและต่อต้านก่อการร้ายแต่โครงสร้างพื้นฐานที่รองรับเรือรบขนาดใหญ่และการฝึกร่วมที่มีความเข้มข้นทำให้ไทยต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนเป็น “การตั้งฐานปฏิบัติการทางทหารเต็มรูปแบบ” ได้ในอนาคต
• การเฝ้าระวังข่าวกรองและการลาดตระเวนทางทะเลของไทยจะต้องขยายตัวมากขึ้นโดยเฉพาะฝั่งตะวันออกและทางตอนล่างของอ่าวไทย
_______________________________________________
3. มิติด้านเศรษฐกิจ
• การเชื่อมโยงกับ “โครงการคอคอดกระ”: ฐานทัพเรือเรียมอาจถูกใช้เป็นหนึ่งใน “โครงสร้างคุ้มกัน” เพื่อผลักดันโครงการคอคอดกระในเชิงยุทธศาสตร์ของจีนหากจีนต้องการเส้นทางเดินเรือสำรองที่ไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา
• การเปลี่ยนทิศทางการลงทุนในภูมิภาค: หากจีนใช้ศูนย์แห่งนี้เพื่อส่งเสริมความมั่นคงในโครงการ BRI (Belt and Road Initiative) ในภูมิภาคอาเซียนนักลงทุนของจีนอาจหันมาลงทุนในกัมพูชาและพื้นที่ใกล้เคียงแทนไทยหากไทยไม่ร่วมมืออย่างเต็มที่
• ผลกระทบต่อท่าเรือของไทยเช่นแหลมฉบังหรือมาบตาพุดอาจลดความสำคัญลงหากจีนเลือกใช้ท่าเรือในกัมพูชาเป็นศูนย์กลางใหม่
_______________________________________________
4. มิติด้านสังคมและจิตวิทยาสาธารณะ
• กระแสความไม่ไว้วางใจต่อจีนอาจเพิ่มขึ้นในหมู่ประชาชนโดยเฉพาะในกลุ่มที่มองว่าการขยายอิทธิพลของจีนเป็นภัยต่ออธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้านและส่งผลกระทบต่อไทยในระยะยาว
• อาจกระตุ้นความตื่นตัวในหมู่ภาคประชาสังคมและกลุ่มนักวิชาการด้านความมั่นคงที่จะออกมาเรียกร้องให้มีนโยบายด้านความมั่นคงที่โปร่งใสและตอบโต้เชิงยุทธศาสตร์อย่างมีหลักการ
_______________________________________________
5. มิติด้านเทคโนโลยีทางทหารและยุทธศาสตร์โลก
• การที่เรือรบจีนสามารถเดินทางจากฐานเรือจ้านเจียงถึงอ่าวไทยภายใน 100 ชั่วโมงสะท้อนถึงขีดความสามารถในการเคลื่อนกำลังของจีนในภูมิภาคที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอ่าวไทย
• ไทยอาจกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์แทรกกลางระหว่างการปะทะทางอำนาจระหว่างจีนและสหรัฐฯโดยเฉพาะหากเกิดวิกฤตในไต้หวันหรือทะเลจีนใต้ขึ้นในอนาคต
_______________________________________________
6. เปรียบเทียบ “ความพร้อมทางยุทธศาสตร์” ไทย-กัมพูชา-จีน
“กัมพูชาได้รับเรือใหญ่จากจีน 2 ลำ… เรือจีนจะมาจอดตลอดเวลา รวมถึงเรือดำน้ำ”
ขณะที่ “ไทยไม่ให้บประมาณการต่อเรือเลย” และ “ที่ต่ออยู่ก็ไม่ดำเนินการให้เสร็จสิ้น”
นี่คือ ความเหลื่อมล้ำเชิงยุทธศาสตร์ ที่ไม่ใช่แค่เรื่อง “จำนวน” เรือรบ
แต่คือ “ความตั้งใจทางนโยบายของรัฐ” ในการให้ความสำคัญกับทะเล และการรักษาอธิปไตยในน่านน้ำของตน
_______________________________________________
7. ขาดขวัญ กำลังใจ และความเชื่อมั่นในการรบ
สถานการณ์แบบนี้ย่อมทำให้…
“ทหารเรือเองขาดขวัญ กำลังใจ และไม่มั่นใจในการเอาเรือออกไปรบ เมื่อต้องเผชิญสถานการณ์จริง”
นี่คือ คำเตือนระดับนโยบายความมั่นคง ที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง
• กำลังพลไร้ขวัญ→เพราะไม่เห็นอนาคตของระบบ
• อุปกรณ์ไม่มี→การฝึกฝนเสื่อม
• เมื่อเกิดวิกฤติจริง (เช่นอ่าวไทยถูกควบคุมโดยอำนาจนอก) →การตอบโต้เชิงยุทธศาสตร์ของไทยจะล่าช้าและไร้ประสิทธิภาพ
_______________________________________________
8. ไทยกำลังถูก “ล้อมวงยุทธศาสตร์” โดยไม่รู้ตัว
จากภาพรวมทั้งหมด ฐานทัพเรือเรียมในกัมพูชา + สนามบิน Dara Sakor + เส้นทางยุทธศาสตร์คอคอดกระ
• ความร่วมมือด้านทหารระหว่างจีน-กัมพูชา
• ความอ่อนแอในระบบการจัดซื้อจัดหาและยุทธศาสตร์ทางเรือของไทยเอง
ทั้งหมดนี้ชี้ว่า ไทยกำลังเผชิญ “วงล้อมยุทธศาสตร์ (Strategic Encirclement)” แบบนุ่มนวล
แต่ รัฐบาลและประชาชนจำนวนมากยังไม่รับรู้ หรือไม่ตระหนักถึงผลกระทบในระดับลึก
_______________________________________________
9. การวิพากษ์เชิงโครงสร้าง: เหตุใดกองทัพเรือไทยจึงไม่แข็งแรง?
• ไม่มี “ยุทธศาสตร์ชาติด้านทะเล” ที่ชัดเจน→งบประมาณกระจัดกระจาย
• การเมืองแทรกแซงระบบจัดซื้อ→เรือดำน้ำไม่มีเครื่องยนต์, เรือใหม่ถูกตัดงบ
• ขาดการประเมินภัยคุกคามใหม่→ยังคิดแบบสงครามเรือแบบเก่า
• สื่อมวลชนและสังคมยังไม่ตื่นตัว→ถูกเบี่ยงประเด็นไปยังเรื่องอื่น
_______________________________________________
ข้อเสนอเชิงนโยบาย
1. ต้องกำหนด “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางทะเล” ใหม่ เพื่อรับมือกับการขยายอิทธิพลของจีนในอ่าวไทย
2. รักษาสมดุลระหว่างจีน-สหรัฐฯอย่างมีศิลปะทางการทูตโดยไม่เป็นรัฐบริวารของฝ่ายใด
3. ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานฝั่งตะวันออกของไทยให้เทียบเคียงกัมพูชาเพื่อไม่ให้เกิดการเบี่ยงเบนของเส้นทางยุทธศาสตร์ไปประเทศเพื่อนบ้าน
4. เพิ่มบทบาทของไทยในอาเซียนเพื่อถ่วงดุลอำนาจในภูมิภาคให้ไม่ล้มไปข้างใดข้างหนึ่ง
5. เผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะอย่างรอบคอบและโปร่งใสเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและความตื่นตัวของสังคมอย่างสร้างสรรค์
6. จัดทำ “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางทะเลแห่งชาติ” แบบข้ามรัฐบาล
ให้เกิดความต่อเนื่องทางงบประมาณและการพัฒนากองเรือ
7. ปรับกระบวนทัศน์กลาโหมไทยให้พิจารณาจีนในฐานะ “ความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์”
โดยไม่จำเป็นต้องเป็นปฏิปักษ์ แต่ไม่ควร “นิ่งนอนใจ”
8. ตั้ง “คณะกรรมการความมั่นคงทางทะเลแบบสหวิชาชีพ”
ประกอบด้วยกองทัพเรือ, นักวิชาการ, นักการทูต และผู้แทนประชาชน เพื่อร่วมออกแบบทิศทางใหม่ของไทยในอ่าวไทย
9. เร่งรื้อฟื้นแผนต่อเรือรบและพัฒนาอู่ซ่อมเรือไทยให้พึ่งพาตนเองได้
เพื่อไม่ให้ประเทศเพื่อนบ้านกลายเป็นฐานซ่อมเรือของมหาอำนาจในภูมิภาค
_______________________________________________