
ข้อเสนอเชิงนโยบาย: การจัดตั้งสถาบันข้อมูลนักการเมืองแห่งชาติ (National Political Profile Institute)
โดย อัษฎางค์ ยมนาค
เมื่อประชาธิปไตยกลายเป็นเรื่องของครอบครัว
ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติศรัทธาทางการเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพราะเหตุการณ์ “ลูกนักการเมืองท้องถิ่น” ขับรถหรูชนประชาชนธรรมดา จนกลายเป็นข่าวดัง
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่า คือโครงสร้างอำนาจที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นั้น อาณาจักรทางการเมืองของครอบครัวเดียว ที่กุมตำแหน่งทุกระดับในระบบท้องถิ่นอย่างเบ็ดเสร็จ
กรณี “บ้านหลีนวรัตน์” ที่ครอบครัวเดียวมีทั้งอดีตนายกเทศมนตรี รองนายกฯ ที่เป็นภรรยา ลูกสาวเป็นที่ปรึกษาและ ส.อบจ. ลูกชายคนโตเป็น ส.ส. ทั้งที่เคยมีประวัติรุนแรง และลูกชายอีกคนเพิ่งลงสมัครสมาชิกเทศบาล กลายเป็น “ภาพสะท้อนการเมืองแบบเครือญาติ” ที่ประชาชนไม่ควรนิ่งเฉยอีกต่อไป
แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะระดับท้องถิ่น เพราะโครงสร้างแบบเดียวกันนี้ฝังรากอยู่ในการเมืองระดับชาติของไทยมานานหลายทศวรรษ
และไม่ใช่ปัญหาเฉพาะราย แต่คือ ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ฝังรากอยู่ในการเมืองไทยมายาวนาน ซึ่งเต็มไปด้วย
- ความสัมพันธ์แบบ อุปถัมภ์ (patron-client)
- การแต่งตั้ง “คนใน” เป็นที่ปรึกษาหรือบริหาร
- การสืบทอดตำแหน่งผ่านสายเลือด ไม่ใช่ความสามารถ
การเมืองเช่นนี้ไม่ได้สะท้อนเสียงของประชาชน… แต่มันสะท้อนพลังของตระกูล
และเมื่อไม่มีใครสามารถตรวจสอบอำนาจเหล่านี้ได้อย่างเป็นระบบ โปร่งใส และเชื่อถือได้ — ประชาธิปไตยก็จะเหลือเพียงฉากหน้า
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า “ประชาธิปไตยในไทย” อาจกลายสภาพเป็น “การเมืองของตระกูล” มากกว่าการเมืองของประชาชน
แม้การสืบทอดอำนาจในหมู่เครือญาติจะไม่ผิดกฎหมาย
แต่คำถามสำคัญคือ:
- โอกาสของประชาชนทั่วไปอยู่ที่ไหน?
- ความสามารถสำคัญน้อยกว่าสายเลือดใช่หรือไม่?
- แล้วประชาธิปไตยจะยังมีความหมายอยู่แค่ไหน หากอำนาจตกอยู่ในมือคนไม่กี่กลุ่ม?
ถึงเวลาสร้าง “กลไกตรวจสอบอย่างเป็นระบบ”
เพื่อหยุดวังวนของการเมืองแบบอุปถัมภ์ และสร้างวัฒนธรรมการเมืองที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และยึดโยงกับประชาชนอย่างแท้จริง
ข้อสังเกตที่ 1: นี่คือการเมืองของประชาชน หรืออำนาจของตระกูล?
ในสังคมประชาธิปไตย การเลือกตั้งควรเป็นกระบวนการที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกผู้แทนที่มีความสามารถตามหลักคุณธรรมและความโปร่งใส แต่ในความเป็นจริง การเมืองไทยกลับเต็มไปด้วยโครงสร้างอำนาจแบบ “เครือญาติทางการเมือง” (Political Dynasty) ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
การสืบทอดตำแหน่งทางการเมืองจากรุ่นสู่รุ่นภายในครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าจะผ่านการเลือกตั้งโดยตรงหรือการแต่งตั้งโดยอำนาจที่สัมพันธ์กัน เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนาน และกำลังกลายเป็น “สภาพปกติ” ของการเมืองไทย
ข้อสังเกตที่ 2: ปัญหาทางจริยธรรมและธรรมาภิบาล (Ethics & Governance)
(ก) ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest):
เมื่อสมาชิกในครอบครัวเดียวกันดำรงตำแหน่งทางการเมืองหลายตำแหน่งพร้อมกัน ย่อมเกิดความเสี่ยงต่อการใช้ตำแหน่งเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กันเอง ทั้งในเชิงอำนาจและทรัพยากร
(ข) การผูกขาดโอกาสทางการเมือง:
ระบบเครือญาติทางการเมืองมีแนวโน้มจะปิดกั้นโอกาสของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่หรือผู้มีความสามารถที่ไม่มีสายสัมพันธ์ทางการเมือง ไม่สามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม
(ค) การแต่งตั้งโดยไม่ยึดหลักคุณสมบัติ:
การแต่งตั้งบุคคลใกล้ชิด เช่น คู่สมรส บุตรหลาน หรือเครือญาติ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา หรือบทบาททางการเมืองอื่น โดยไม่มีเกณฑ์คุณสมบัติที่โปร่งใส อาจสะท้อนการใช้ตำแหน่งทางการเมืองเพื่อจัดหาผลประโยชน์ให้ครอบครัว มากกว่ารับใช้ประชาชน
ข้อสังเกตที่ 3: บริบทของสังคมการเมืองไทย
ระบบเครือญาติทางการเมืองฝังอยู่ในโครงสร้างทางสังคมไทยมายาวนาน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ความสัมพันธ์แบบ “อุปถัมภ์-ลูกน้อง” (Patron-Client) ยังมีบทบาทสูง
ผู้มีอำนาจมักใช้ตำแหน่งหน้าที่รัฐในการจัดสรรทรัพยากร โครงการ หรือโอกาสทางอำนาจ ให้กับบุคคลในเครือญาติ เพื่อขยายฐานอิทธิพลและสืบทอดอำนาจ
ผลที่ตามมาคือการเมืองที่ไม่สะท้อนเจตจำนงของประชาชนอย่างแท้จริง แต่กลับสะท้อนระบบโครงข่ายผลประโยชน์ที่ยากจะตรวจสอบ
_____________________________________________
ประเทศไทยควรมี “ฐานข้อมูลประวัตินักการเมือง” ที่เปิดเผยและเข้าถึงได้ง่าย เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้วิจารณญาณก่อนเลือกตั้ง เหมือนที่เกาหลีใต้หรือหลายประเทศมี “ระบบบันทึกและตรวจสอบประวัติทางการเมือง” อย่างเป็นระบบ
คำอธิบายและแนวทางว่า จะทำให้เกิดขึ้นในไทยได้อย่างไร:
1. ตัวอย่างจากเกาหลีใต้
เกาหลีใต้มีกลไกตรวจสอบนักการเมืองอย่างเข้มงวด เช่น
- National Election Commission (NEC): หน่วยงานกลางที่ดูแลการเลือกตั้งและเปิดเผยข้อมูลผู้สมัครทุกคน รวมถึงประวัติการศึกษา อาชีพ คดีความ รายได้ ทรัพย์สิน
- เปิดเผย “Candidate Profile Portal”: มีเว็บไซต์ที่ให้ประชาชนค้นหาข้อมูลนักการเมืองได้แบบละเอียด
- องค์กรภาคประชาชน เช่น NGO อย่าง People’s Solidarity for Participatory Democracy (PSPD) ก็จัดทำ ฐานข้อมูลการลงมติของ ส.ส. เพื่อประเมินจุดยืนและความโปร่งใส
2. ถ้าจะทำในไทย ต้องมีอะไรบ้าง?
(ก) ต้องมีฐานข้อมูลกลางระดับชาติ
เสนอจัดตั้ง: “สถาบันข้อมูลนักการเมืองแห่งชาติ” (National Political Profile Institute)
โดยมีภารกิจหลัก:
- รวบรวมข้อมูลผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกระดับ (ท้องถิ่น-ระดับชาติ)
- เปิดเผย: ประวัติการศึกษา การทำงาน คดีความ ทรัพย์สิน คะแนนเลือกตั้ง ผลงาน การอภิปรายในสภา
- จัดทำเป็น “โปรไฟล์ประชาชนตรวจสอบได้” คล้าย Resume นักการเมือง
- มีระบบให้ประชาชนรีพอร์ตความผิดพลาดหรือประพฤติมิชอบ
(ข) ต้องใช้กลไกรัฐและภาคประชาชนร่วมกัน
- คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องเปิดเผยข้อมูลผู้สมัครมากกว่าที่เป็นอยู่
- ป.ป.ช. ควรมี API ให้สื่อ/นักพัฒนาเข้าถึงฐานข้อมูลทรัพย์สิน-คดีความ
- ภาคประชาชน ควรมีบทบาทในการพัฒนาเว็บไซต์/แอปเพื่อแสดงผลข้อมูล
(ค) ต้องผลักดันทางนโยบาย
- เสนอผ่านสภาฯ เป็น “ร่าง พ.ร.บ.ความโปร่งใสด้านการเมือง”
- หรือเสนอผ่าน พรรคการเมืองรุ่นใหม่ ให้บรรจุเป็นนโยบายหาเสียง
3. ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย
- ทำให้ การเลือกตั้งเป็นเรื่องของเหตุผล ไม่ใช่แค่ชื่อเสียงหรือบารมี
- ลดการผูกขาดทางการเมืองโดยครอบครัวหรือทุนใหญ่
- ทำให้นักการเมืองต้อง ระมัดระวังการกระทำตน เพราะรู้ว่าจะถูกบันทึกและเปิดเผย
- สร้างวัฒนธรรม “ตรวจสอบได้” ที่หยั่งรากลึก ไม่ใช่แค่เฉพาะช่วงหาเสียง
____________________________________________
ข้อเสนอในการจัดตั้ง “สถาบันข้อมูลนักการเมืองแห่งชาติ” จึงมีเป้าหมายเพื่อตอบสนองต่อปัญหาโครงสร้างเหล่านี้โดยตรง
ผ่านการเปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ประชาชนมีเครื่องมือในการตรวจสอบ คัดกรอง และตัดสินใจเลือกผู้แทนได้อย่างมีวิจารณญาณและตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่แท้จริง
เอกสารฉบับนี้จึงขอเสนอให้จัดตั้ง “สถาบันข้อมูลนักการเมืองแห่งชาติ” (National Political Profile Institute)
สถาบันที่จะทำหน้าที่เป็น “ฐานข้อมูลกลาง” เปิดเผยประวัติ ผลงาน พฤติกรรม และคดีความของนักการเมืองทุกระดับ — ให้ประชาชนใช้ตรวจสอบก่อนเลือกตั้ง และภาคประชาสังคมใช้เป็นเครื่องมือติดตามการใช้อำนาจ
เมื่อข้อมูลเปิดเผย… อำนาจก็ไม่อาจซ่อนอยู่ในเงามืดได้อีกต่อไป
_____________________________________________
ข้อเสนอเชิงนโยบาย: การจัดตั้งสถาบันข้อมูลนักการเมืองแห่งชาติ (National Political Profile Institute)
1. หลักการและเหตุผล
ในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนควรมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลของนักการเมืองอย่างรอบด้าน โปร่งใส และตรวจสอบได้ เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกตั้งและกำกับติดตามการใช้อำนาจของผู้แทนที่ตนเลือก
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มี ฐานข้อมูลกลางที่จัดเก็บและเผยแพร่ข้อมูลของนักการเมืองในทุกระดับ อย่างเป็นระบบและเข้าถึงง่าย จึงเกิดช่องว่างสำคัญในการตรวจสอบ ประเมินคุณภาพผู้ดำรงตำแหน่ง และเฝ้าระวังพฤติกรรมอันอาจนำไปสู่การทุจริตหรือการใช้อำนาจโดยมิชอบ
จากกรณีศึกษาหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน หรือฟิลิปปินส์ ต่างมีระบบเปิดเผยข้อมูลผู้สมัครและนักการเมืองแบบออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนมีวิจารณญาณและ “รู้เท่าทันอำนาจ” ได้อย่างแท้จริง
2. วัตถุประสงค์ของนโยบาย
- เพื่อจัดตั้งหน่วยงานกลางสำหรับรวบรวม ตรวจสอบ และเผยแพร่ข้อมูลของนักการเมืองทุกระดับ
- เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลประวัติส่วนตัว ผลงาน คดีความ ทรัพย์สิน และพฤติกรรมทางจริยธรรมของนักการเมืองได้โดยสะดวก
- เพื่อส่งเสริมความโปร่งใสและธรรมาภิบาลในระบบการเมืองไทย
- เพื่อสร้างมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลนักการเมืองเทียบเท่าประเทศประชาธิปไตยชั้นนำ
3. ขอบเขตและโครงสร้างของสถาบัน
ชื่อสถาบัน: สถาบันข้อมูลนักการเมืองแห่งชาติ (สคน.)
หน่วยงานกำกับ: อาจอยู่ภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือจัดตั้งเป็นหน่วยงานอิสระโดยเฉพาะ
หน้าที่หลัก:
- รวบรวมข้อมูลของนักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่น เช่น ส.ส., ส.ว., นายก อบจ., นายกเทศมนตรี, สมาชิกสภาท้องถิ่น ฯลฯ
- ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ป.ป.ช., กระทรวงยุติธรรม, ศาล ฯลฯ
- จัดทำระบบฐานข้อมูลออนไลน์ให้ประชาชนเข้าถึงง่าย สะดวก ปลอดภัย
- รายงานสถานะของนักการเมืองเป็นรายปี
- เปิดช่องให้ประชาชนสามารถเสนอข้อมูล (Crowdsourcing) โดยมีกลไกตรวจสอบข้อเท็จจริง
4. แนวทางการดำเนินงานและระยะเวลา
ระยะสั้น (ปี 1-2):
- พัฒนาเว็บไซต์ต้นแบบและฐานข้อมูลระดับชาติ
- นำร่องรวบรวมข้อมูลนักการเมืองระดับชาติ (ส.ส., ส.ว.)
ระยะกลาง (ปี 3-4):
- ขยายข้อมูลครอบคลุมระดับท้องถิ่น
- เปิดรับข้อมูลจากภาคประชาชนผ่านระบบร้องเรียน
ระยะยาว (ปี 5 เป็นต้นไป):
- พัฒนา AI วิเคราะห์แนวโน้มพฤติกรรมทุจริตหรือจริยธรรม
- เชื่อมโยงกับระบบประเมินผู้แทนเพื่อปฏิรูปการเลือกตั้ง
5. กลุ่มเป้าหมายที่ได้ประโยชน์
- ประชาชนทั่วไป: ใช้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกตั้ง
- สื่อมวลชนและนักวิจัย: ใช้ตรวจสอบและวิเคราะห์การเมืองเชิงระบบ
- หน่วยงานรัฐ: ใช้ประกอบการประเมินคุณภาพผู้ดำรงตำแหน่ง
- พรรคการเมือง: ใช้เป็นแนวทางคัดเลือกผู้สมัครที่มีคุณภาพและโปร่งใส
6. ข้อเสนอเชิงกฎหมาย
- ผลักดันร่าง พระราชบัญญัติส่งเสริมความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูลนักการเมือง พ.ศ. ….
- แก้ไข กฎหมาย กกต. เพื่อให้สามารถเปิดเผยข้อมูลนักการเมืองมากขึ้น
- กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของการเปิดเผยข้อมูลของผู้สมัครรับเลือกตั้งในทุกระดับ
7. สรุป
“การเมืองที่โปร่งใสต้องเริ่มจากข้อมูลที่เปิดเผยได้”
ข้อเสนอนี้มิใช่เพียงเครื่องมือกำกับนักการเมือง แต่คือการฟื้นฟูศรัทธาของประชาชนต่อระบบประชาธิปไตย ด้วยหลักฐาน ความจริง และความโปร่งใสในทุกระดับของอำนาจ
หากภาคการเมืองจริงใจต่อการปฏิรูปประเทศ ข้อเสนอนี้คือหนึ่งในก้าวแรกที่ควรผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม