
ออสเตรเลียประเทศต้นแบบที่ “ไม่มีอายุเกษียณ” กับ Un-retiring” เทรนด์แรง! วัยเกษียณไทยหวนคืนตลาดงาน
#อัษฎางค์ยมนาค
_______________________________________________
รายงานล่าสุดจาก Robert Walters บริษัทจัดหางานระดับโลก เผยแนวโน้มใหม่ในตลาดแรงงานไทยที่น่าจับตาอย่างยิ่ง — เทรนด์ “Un-retiring” หรือการจ้างงานผู้เกษียณให้กลับเข้าสู่ระบบอีกครั้ง กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในองค์กรไทย โดยเฉพาะในรูปแบบงานชั่วคราวและโปรเจกต์ระยะสั้นที่กินเวลาตั้งแต่ 6 เดือน ไปจนถึง 2 ปี
จากข้อมูลของกระทรวงแรงงาน พบว่าไทยกำลังเตรียมขยับอายุเกษียณจาก 60 เป็น 65 ปี ทั้งในภาครัฐและเอกชน ซึ่งสอดรับกับแนวโน้มการใช้ศักยภาพของ “วัยเก๋า” ที่ยังเปี่ยมประสบการณ์ และมีทักษะชีวิตอันเป็นประโยชน์ต่อองค์กร
“Un-retiring” ไม่ใช่แค่ลดต้นทุน แต่เติมเต็มทีมข้ามรุ่น
คุณปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา ผู้จัดการประจำประเทศไทยของ Robert Walters ระบุว่า องค์กรจำนวนไม่น้อยกำลังเผชิญภาวะขาดแคลนแรงงานคุณภาพ จึงเริ่มหันมาใช้แรงงานผู้เกษียณในบทบาทที่ปรึกษาเฉพาะทางหรือโครงการเฉพาะกิจ
ที่น่าสนใจคือ กลุ่มผู้เกษียณยังช่วยเสริมพลังให้เกิด Multi-Generational Teams หรือทีมงานข้ามรุ่น ที่ผสมผสานพนักงานวัยต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน เกิดการแลกเปลี่ยนมุมมอง กระตุ้นการคิดเชิงนวัตกรรม และช่วยลดช่องว่างระหว่างวัยในองค์กร
_______________________________________________
ออสเตรเลีย: ประเทศต้นแบบที่ “ไม่มีอายุเกษียณ”
ระบบแรงงานของออสเตรเลียไม่มีการบังคับและกำหนดอายุเกษียณ แต่เปิดโอกาสให้พลเมืองทำงานได้ตราบเท่าที่สุขภาพและความสามารถยังเอื้ออำนวย โดยไม่มีข้อจำกัดจากตัวเลขอายุ
รัฐบาลออสเตรเลียยังสนับสนุนการทำงานของผู้สูงวัยผ่านนโยบายแรงจูงใจทางภาษีและสิทธิประโยชน์อย่าง Age Pension ทำให้แรงงานอาวุโสยังมีบทบาททางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็ไม่เป็นภาระต่อระบบสวัสดิการรัฐ
ระบบแรงงานของออสเตรเลียไม่มีการบังคับหรือกำหนดอายุเกษียณ (No Mandatory Retirement Age) ด้วยเหตุผลและปัจจัยสำคัญทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และหลักสิทธิมนุษยชน ดังนี้:
_______________________________________________
1. เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชน (Anti-Discrimination Policy)
ออสเตรเลียมี กฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติด้านอายุ (Age Discrimination Act 2004)
ซึ่งห้ามไม่ให้นายจ้างกำหนดอายุเกษียณที่เป็นการเลือกปฏิบัติ เว้นแต่มีเหตุผลด้านความปลอดภัยหรือกฎหมายเฉพาะทางบางอาชีพ เช่น นักบิน
แนวคิดหลักคือ:
“อายุไม่ใช่ตัวชี้วัดความสามารถในการทำงาน”
หากบุคคลยังมีความสามารถ ก็สมควรได้รับโอกาสเท่าเทียมกับคนวัยอื่น
_______________________________________________
2. รองรับโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงวัย
ออสเตรเลียเผชิญภาวะ ประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น คล้ายกับไทย
การเปิดโอกาสให้ผู้สูงวัยทำงานได้ต่อไป
• ช่วยลดแรงกดดันต่อระบบสวัสดิการรัฐ
• เพิ่มแรงงานคุณภาพในระบบ
• รักษากำลังซื้อของประชากรวัยเกษียณ
_______________________________________________
3. สร้างแรงจูงใจให้คนทำงานนานขึ้น แทนที่จะพึ่งรัฐเร็วเกินไป
แม้รัฐมี Age Pension (เงินสนับสนุนผู้สูงอายุ)
แต่จะเข้าถึงได้ต่อเมื่ออายุถึงเกณฑ์ (66.5 ปี และจะขยับเป็น 67 ปี ในปี 2025) และต้องผ่านการทดสอบรายได้/ทรัพย์สิน
ดังนั้น หากยังมีศักยภาพทำงาน ผู้สูงวัยจะเลือกทำงานต่อ
เพื่อยังมีรายได้เต็ม และเลื่อนการขอรับ Age Pension ออกไป
_______________________________________________
4. สนับสนุนแนวคิด Lifelong Productivity
ออสเตรเลียมีนโยบายส่งเสริมการทำงานต่อเนื่องแม้หลังวัยเกษียณแบบดั้งเดิม
และส่งเสริม การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เพื่ออัปสกิลให้ผู้สูงวัยพร้อมทำงานในโลกยุคใหม่ เช่น ดิจิทัล, การบริการ, ที่ปรึกษา
_______________________________________________
5. สนับสนุนเศรษฐกิจผ่าน “แรงงานมีประสบการณ์” (Experienced Workforce)
คนวัย 60+ จำนวนมากมีทักษะ วิจารณญาณ และเครือข่ายที่ใช้ได้จริง
การปล่อยให้กลุ่มนี้ออกจากตลาดแรงงานเท่ากับ “สูญเสียทุนมนุษย์”
ดังนั้นภาครัฐและเอกชนจึงสนับสนุนการจ้างงานแบบยืดหยุ่น เช่น:
• พาร์ตไทม์
• งานที่ปรึกษา
• งานระยะสั้น
_______________________________________________
สรุป: ไม่มีเกษียณ = ไม่จำกัดศักยภาพ
ออสเตรเลียมองว่า “เกษียณ” ควรเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล ไม่ใช่ข้อบังคับของระบบ
และการไม่มีอายุเกษียณ ยังช่วยให้นโยบายแรงงานทันกับโลกที่อายุยืนขึ้น และโครงสร้างสังคมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
_______________________________________________
และโมเดลนี้… “เหมาะกับประเทศไทย” มากแค่ไหน?
เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างประชากรที่กำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ และจะกลายเป็น Super-Aged Society ภายใน 15 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจำเป็นต้องวางระบบรองรับแรงงานผู้สูงวัยอย่างจริงจัง
การปรับนโยบายแรงงานให้เปิดรับการทำงานของผู้เกษียณมากขึ้น ไม่เพียงช่วยลดภาระงบประมาณบำนาญ แต่ยังรักษากำลังซื้อของผู้สูงวัย และเสริมแกร่งให้ตลาดแรงงานด้วยคนที่พร้อมใช้ศักยภาพทันที ไม่ต้องเริ่มฝึกใหม่
_______________________________________________
ข้อเสนอเชิงนโยบาย
หากรัฐบาลไทยต้องการยกระดับ “Un-retiring” ให้เป็นวาระระดับชาติ ควรเริ่มจาก:
• ทบทวนข้อจำกัดด้านอายุในกฎหมายแรงงาน
• ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับคนวัย 50+
• ออกมาตรการภาษีจูงใจองค์กรที่จ้างแรงงานเกษียณ
• จัดตั้งแพลตฟอร์ม “จับคู่ความเชี่ยวชาญ” ระหว่างผู้เกษียณและผู้ว่าจ้าง
_______________________________________________
บทสรุป: ความจริงที่ไม่ควรมองข้าม
ผู้เกษียณวันนี้ ไม่ใช่แรงงานหมดไฟ
แต่คือสินทรัพย์ที่องค์กรควรรีบคว้า
และคือคำตอบสำคัญของเศรษฐกิจไทยในโลกที่สูงวัยขึ้นทุกวัน
_______________________________________________